1 มกราคม 2552 12:06 น.
พี่สาว
วันนี้ตื่นตีสี่ครึ่ง
ทำอาหารเช้าให้น้องฝนและสามี
ก่อนไปทำงาน 6 โมงเช้า
น้องพิม ไปค้างบ้านพ่อ
เผลอแป้ปเดียว ลูกๆโตกันหมดแล้ว
ปีนี้ครบรอบสิบสองปีที่เราอยู่ด้วยกันมา
กับหนุ่มน้อยคนเดิม คนบ้านเดียวกัน
ร่วมสุขร่วมทุกข์ด้วยกัน พากันทิ้งงานอาชีพที่เรารักจากเมืองไทย
ทิ้งแม่ผู้เฒ่าชรา ทิ้งบ้านที่ร่มรื่น
มาอเมริกาด้วยเหตุผลที่อยากให้น้องพิมได้พบพ่อ
ได้มีโอกาสอยู่กับพ่อ
ลูกที่พ่อแม่แยกทางกันนั้น ไม่มีใครเข้าใจจิตใจอันปวดร้าว
เมื่อวานน้องพิมร้องไห้ บอกว่าพ่อกำลังจะมีน้องอีกคน
กลัวพ่อจะลืมหนู หนูอยู่เมืองไทย 10 ปี โดยไม่ได้อยู่กับพ่อ
เลยโทร.ไปหาพ่อน้องพิม บอกว่าลูกคิดยังไง
เขาร้องไห้.....ทำให้เราพลอยร้องไปด้วย
สอนลูกว่า อย่าจมอยู่กับอดีต วันหนึ่ง พ่อแม่ตายไป
ลูกต้องเข้มแข็ง เป็นที่พึ่งให้น้องๆ
พ่อแม่รักลูกเท่ากันทุกคน
อากาศ...หนาวจับใจ
ชีวิตต่างแดน แสนลำบาก
กว่าจะมีวันนี้
29 ธันวาคม 2551 18:34 น.
พี่สาว
ขุดบ่อ...หาปลา
ฤดูเกี่ยวข้าวผ่านไปแล้ว
ปีนั้นชาวนาได้ข้าวกันน้อยมาก
ฝนไม่ค่อยตกเลย
บ่อปลาของแม่ย่า เป็นสระใหญ่
ถึงเวลาขุดลอกสระ หาปลา แบ่งให้ลูกๆหลานๆ
สามีมีพี่น้องเจ็ดคน
ทุกคนจะหอบลูกเต้ามาค้างกันที่บ้านแม่ย่า
พ่อสามีเสียชีวิตแล้ว
พวกเราพากันปูเสื่อริมทุ่งนา
บรรดาลูกชายและลูกเขยนุ่งผ้าขาวม้าลงลุยโคลนในบ่อ จับปลา
ลูกสาวและลูกสะใภ้เตรียมทำส้มตำ ปลาเผา ต้มยำปลา
คุยกันอย่างสนุกสนาน ได้ปลามาก็แบ่งออกเป็นกองๆ
ใส่ข้องหอบกลับบ้าน ปลาตัวเล็กๆเอาไว้ทำปลาร้า
ตัวใหญ่ถ้าตายก็แล่หมักเกลือ ตากทำปลาแห้ง
ตัวเป็นๆเอาไว้ทำปลานึ่งกับดอกแค หน้าบ้าน
และทำต้มยำ แกงปลา อ่อมปลา
วันหยุด สามีก็ชวนเพื่อนๆมาสังสรรค์กันตามเคย
ได้เมนูปลาแป๊ะซะ เป็นกับแกล้ม
เรียกว่าเหล้ายาปลาปิ้ง
ชีวิตพวกเราก็มีความสุขกันดี ทำให้คิดถึงอดีต(อีกแล้ว
28 ธันวาคม 2551 04:18 น.
พี่สาว
...ชีวิตแสนสุข....
ตกพุ่มม่ายมาหลายปี มีเรือพ่วงหน้าตาน่ารักยังกะเด็กญี่ปุ่น คือน้องพิม เราสองคนแม่ลูกใช้ชีวิตกันอย่างมีความสุข
อดีต สามีอยู่นิวยอร์ค(ต้อง)ซื้อรถซื้อบ้าน ในกรุงเทพฯ มีค่าเลี้ยงดูทุกเดือน ตามคำสั่งศาล แบบว่าไม่ค่อยงกเท่าไหร่ อยากได้สามีชั้นเหรอ เอาไปเลย
ห้าม ส่งคืนก็แล้วกัน บ้านอยู่ในซอยวัชรพล บางเขน ทำงานที่ก.ส.ท ลูกเรียนอยู่ร.ร ผไทอุดมศึกษา ป.1 ทุกวันศุกร์ พาลูกไปช้อบปิ้ง กินอาหารอร่อยๆ
ในห้างสรรพสินค้า ไปเที่ยวที่โน่นที่นี่ สบายใจ มีความสุขที่สุดในโลก
แผน..ของพ่อแม่
พ่อแม่พี่อยู่ที่แอลเอ (ร้อยเอ็ด) เดือนหนึ่งก็จะพากันนั่งรถทัวร์ปุเลงๆมาเยี่ยมลูกกะหลาน หอบข้าวปลาอาหารแห้ง พวก ปลาย่าง น้ำพริกปลาร้าภาษาพื้นเมือง คือปลาแดก (ปลารับประทาน) เนื้อแห้ง พริกแห้ง พริกป่น ข้าวคั่ว มาส่งเสบียง กลัวลงแดงตายเสียก่อน แบบว่าชีวิตนี้ขาดมานานตอนอยู่เมืองนอกมาเกือบสิบปี มาทีไรก็จะคอยถามว่า เหงามั้ยลูก ไม่คิดจะมีคู่อีกเหรอ พ่อแม่จะจับคลุมถุงชน เอ้ย ไม่ใช่ จะแนะนำให้เอามั้ย
ใครกันเนี่ย......ไม่เคยเห็น
เช้าวันนี้ พ่อกะแม่ดูแปลกๆยังไงพิก้นพิกล ตื่นกันแต่เช้ามาทำความสะอาดบ้านช่องห้องหอ เอ้ย ขอโทษห้องหับ ยังกะว่าจะมีแขกบ้านแขกเมืองมาจากไหน แต่ก็ไม่ได้ถามเพราะต้องรีบอาบน้ำแต่งตัวให้ลูกกะตัวเองก่อนไปทำงาน ก่อนออกจากบ้านก็สั่งแล้วสั่งอีกให้กลับบ้านเร็วๆ อย่าพาลูกไปช้อปกันแหลกราญบานตะไท พ่อแม่รอกินข้าวเย็นด้วย จะทำลาบปลาดุก ส้มตำ ไก่ย่าง ของโปรดไว้ให้ เป็นงง อะไรกันหว่า พ่อแม่ฉันสงสัยกินยาลืมเขย่าขวด
ขับรถเข้าบ้าน ใหรู้สึกแปลกใจ พ่อแม่กำัลังนั่งคุยกับหนุ่ม....ที่ไหนก็ไม่รู้หน้าตาเชยๆแปลกๆดี
เป็นเพื่อน .........ลูกอา
แนะนำตัว และสนทนากันด้วยภาษาต่างประเทศ (ลาว) หนุ่มคนนี้เป็นทั้งญาติและเพื่อนรุ่นเดียวกับเจ้าหนึ่ง ลูกชายของอาที่ร้อยเอ็ด เรียนจบรัฐศาสตร์รามฯ ตอนนี้ทำงานอยู่แถวหัวหมาก (คิดในใจ ....จะมาสมัครเป็นอะไรกันกับชั้นเนี่ย อ่อนกว่าตั้งเจ็ดปี) ตอนนั้นเีราเพิ่งเริ่มแตกเนื้อสาว(แก่)
35 หยก ๆ 36 หย่อนๆ คุยกันไปนิดๆหน่อย รู้สึกเขินเหมือนกัน เพราะพี่แกมาดนิ่ง สุขุม เกินวัย
ออกเดท....ครั้งแรก
หลังจากนั้น...หนุ่มคน นี้ก็จะมาขอกินข้าวที่บ้านอยู่ประจำ แถมชมว่าทำกับข้าวอร่อย มาด้วยมอเตอร์ไซด์คู่ชีพ วันหนึ่งมาแปลก มีหมวกกันน้อคมาสองใบ ด้วยความสงสัยก็เลยถามว่า ...เอาไปให้ใครเหรอ...เขาตอบว่า อยากชวนไปบางแสน กับไหว้หลวงพ่อโสธรฯที่แปดริ้ว พ่อกะแม่ก็บอกว่าไปกันเถอะ
จะเลี้ยงน้องพิมให้ไม่ต้องห่วง( แบบว่าเีชียร์กันจั้ง) เขาและเราก็เลยไปขออนุญาตจากน้องพิม ซึ่งเป็นเด็กเรียบร้อย ไม่เคยร้องงอแง
สายฝน....และความรัก
ซ้อนมอตอร์ไซด์ พาักันไปทำบุญไหว้พระ หลวงพ่อโสธรฯ เลยไปถึงบางแสน ขากลับฝนตกหนักกลางทาง ต้องจอดพักที่ศาลาริมทาง
ข้าง หลังเป็นทุ่งนากว้าง ......ไกลสุดสายตา ขอบฟ้าสีคราม เต็มไปด้วยเมฆหมอกปกคลุม ....ต่างคนต่างเงียบ...แล้วเขาก็หยิบผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋ากางเกง มาเช็ดหมวกกันน้อคให้ (แอบคิดแบบนางเอ้ก นางเอกว่า จะคุกเข่าขอแต่งงานด้วยหรือเปล่าเนี่ย) ปรากฏว่าเปล่าหรอก แต่สายตาที่ต่างมองดูกันก็รู้และเข้าใจว่า.....ใช่แล้ว.......คนนี้
ฝัน....เห็นงูรัดคอ
คืนวันหนึง....ฝันว่ามีงูตัวใหญ่มากมารัดพันคอพันตัวเสียแน่น ตื่นเช้าเลยเล่าให้แม่ฟัง แม่บอกว่าโบราณท่านว่าจะพบเนื้อคู่
ปลาสลิด....จากบางบ่อ
หนุ่ม น้อยคนนี้ พูดไม่เก่ง ค่อนข้างเงียบขรึม ยิ้มลูกเดียว(วางมาด มั้ง) ทุกวันหยุดสุดสัปดาห์จะขี่มอเตอร์ไซด์จากบ้านพักที่บางพลี มาบางเขน ไม่เคยมามือเปล่า จะเอาปลาสลิดบางบ่อที่มีชื่อลือชาว่าอร่อยนักหนามาฝากทุกครั้ง (ลาภปากเรา) ที่บ้านก็ชอบกันทุกคน กินกันทุกวันไม่เคยเบื่ิอ(ก็ของฟรีน่ะ ) ปลาสลิดทอดกรอบ กับแกงส้มมะละกอ โห.......กินกับข้าวสวยร้อน อาหารเหลาเหลิวที่ไหนก็สู้ไม่ได้ กินไปก็นึกเห็นหน้าเจ้าของปลาสลิดอยู่ร่ำไป เอ๊ะ ชักสงสัยหัวใจตัวเองว่าจะต้องมาพ่ายเจ้าปลาสลิดกันแล้วหรือไร
ข่าวร้าย...ทีุ่สุดในชีวิต
โรงเรียนน้องพิมใกล้จะปิดเทอมแล้ว ตายายขอกลับบ้านร้อยเอ็ด จะเตรียมทำความสะอาดบ้านและสวนเพื่อรอลูกหลานไปเยี่ยม
พี่ กับลูกและหนุ่มคนนั้น ไปส่งขึ้นรถบัสที่หน้าวัดลาดพร้าว เำพราะมีรถกลับถึงตำบลที่อยู่เลย นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้เห็นหน้าพ่อ พ่อผู้มีพระคุณสูงสุดในชีวิต รู้สึกสังหรณ์ใจอย่างบอกไม่ถูก ทำไมพ่อเงยหน้ามองดูวัดแล้วบอกว่า่ วัดนี้สวยงามมากน่าอยู่ พ่อหมดห่วงแล้ว พ่อหันหน้าไปพูดกับเขาว่าฝากดูแลน้องพิมกับแม่ ให้ดีๆแทนตายายด้วย เขาตอบว่า ...ครับ...ไม่ต้องเป็นห่วง
อีกไม่กี่วันหลังจากนั้น เพิ่งกลับจากที่ทำงาน ได้ยินเีสียงโทรศัพท์ดัง เมื่อยกหูก็ได้ยินเสียงญาติโทร.มาบอกว่า่่่ พ่อเสียชีวิตแล้ว หัวใจวาย ที่โรงพยาบาลให้รีบกลับด่วน แม่ทำอะไรไม่ได้ เอาแต่ร้องไห้อย่างเดียว
กลับบ้าน...ไปรับพ่อ
สมัยนั้นยังไม่มี โทรศัพท์มือถือ มีโทรศัพท์บ้านอย่างเดียว นั่งอึ้งแป้ปเดียวก็ได้ยินเสียงมอเตอร์ไซด์จอดหน้าบ้าน หนุ่มคนนั้นรีบเดินเข้ามาบอกว่าได้ข่าวจากทางบ้านร้อยเอ็ด ก็รีบลางานออกมาหาด้วยความเป็นห่วง จะพาขึ้นรถทัวร์กลับบ้านคืนนี้ ทำให้เริ่มซึ้ง....กับนำ้ใจไมตรีที่เขามีให้
ไปถึงบ้าน กอดแม่ร้องไห้ ญาติๆบอกว่าต้องไปรับพ่อทีโรงพยาบาล พี่ชายคนกลางกับพี่สะใภ้กำลังเดินทางมาจากนิวยอร์คจะถึงพรุ่งนี้ พี่สา่วคนโตกับพี่เขยจากชลบุรี ก็มาถึงไล่ๆกัน เรามีกันสามคนพี่น้อง
ส่งพ่อ.....สู่สวรรค์
งานศพ...พ่อได้ผ่านไป อย่างเศร้าสร้อย วันสุดท้ายเป็นวันเผา ส่งพ่อสู่สวรรค์ พระคุณพ่อนั้น..ล้นฟ้า ลูกมิอาจชดใช้ได้หมด ขอให้ดวงวิญญาณของพ่อจงไปสู่สรวงสวรรค์.......ไม่ต้องห่วงแม่และลูกๆหลานๆ
ความทรงจำ....ในวัยเยาว์
ยังจำได้ถึงวัน เก่าๆในวัยเยาว์ พ่อลาออกจากครูใหญ่ที่ร้อยเอ็ด พาพวกเราอพยพมาอยู่ที่ชลบุรี ทำงานที่สำนักงานปศุสัตว์จังหวัด เราเช่าห้องแถวไม้สองชั้นในซอยมีสองห้องโดดๆ เขตตำบลบ้านสวน อ.เมือง อยู่ติดกับลุง(พี่ชายแม่ )ซึ่งเปิดร้านขายอาหารอีสาน และมีรถสามล้อถีบให้เช่า แม่ก็เปิดร้านขายอาหารเหมือนกันชื่อ....ร้อยเอ็ดโภชนา...โรงเรียนอนุบาลที่ เริ่มเรียนชื่ออนุบาลธารทิพย์ อยู่ในซอยเดียวกัน ชีวิตมีความสนุก ร่าเริงมากตามประสาเด็กๆ ลุงป้ามีลูกแปดคน แม่มีสามคนบ้านอยู่ติดกันสองหลัง พากันวิ่งเข้าวิ่งออก เล่นกันได้ทุุกวันไม่มีเื่ื่บื่อ จนจบป.4
อพยพ.....สู่เมืองหลวง
พ่อแม่พาพวกเราอพยพ อีก....เพราะอยากให้ลูกๆได้เเล่าเรียนในกรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมร ไปเช่าบ้านอยูในสวนซอยวัดนาคปรก ฝั่งธนบุรี แล้วย้ายมาอยู่ทุ่งมหาเมฆ ยานนาวา พี่ชายได้ทำงานราชการที่กรมไปรษณีย์โทรเลข พี่สาวทำงานเป็นครู แต่งงานกับหนุ่มชลบุรี ย้ายไปอยู่บ้านพ่อแม่สามี
พ่อแม่ต้องขายนาที่ ร้อยเอ็ดเพื่อส่งลูกเรียน อยู่กรุงเทพฯ ได้เข้าไปเช่าร้านขายอาหารอีสาน ในวิทยาลัยเทคนิคทุ่งมหาเมฆ และทำอีกร้านปากซอยคอกม้า ไม่ไกลจากร้านแรก พ่อแม่จะจ้างคนมาช่วย พวกเราก็ไปเรียนหนังสือกัน วันหยุดถึงพากันไปช่วย ชีวิตพวกเราจะเห็นพ่อแ่ม่ทำงานไม่มีวันหยุด อาหารการกิน เราก็กินกันอย่างอุดมสมบูรณ์ ทั้ง ลาบ น้ำตก ไก่ย่าง ส้มตำ ข้าวเหนียว ปลานึ่ง ปลาทอด แกงหน่อไม้ แกงอ่อม แกงปลา ฝีมือแม่ ไม่เป็นสองรองใครเลย
กลับ...บ้านเกิดเมืองนอน
ช่วงปิดเทอมเราพา กันกลับบ้านเกิดพ่อแม่ที่ร้อยเอ็ด อยู่คนละอำเภอ ไปเยี่ยมย่า ลุง ป้า น้า อา ได้เห็นทุ่งนาที่ไร มีความสุขมากเหมือนฝังแน่นในสายเลือด ขอสารภาพว่าทำนาไม่เป็นจริงๆ แต่ชอบนั่งนอนเล่นบนเถียงนาน้อย มองดูนกบิน มองดูชาวนาทำนา เกี่ยวข้าว ค่ำลงพากันจูงวัว ควายเข้าคอก ก่อไฟ หุงหาอาหาร บางบ้านนั่งดีดพิณ จุดตะเกียงน้ำมัน คุยกัน ไม่มีทีวี พัดลม ไม่มีไฟฟ้่า น้ำประปา อยู่กับธรรมชาติจริงๆ นี้คือความบริสุทธิ์
สงบ ของชีวิต
ตัดสินใจ...แต่งงาน(อีกครั้ง)
เมื่อความรัก สุกงอม ก็ตัดสินใจแต่งงานอีกรอบกับหนุ่มน้อยคนนั้น ตั้งครรภ์ลูกอีกคน เขาก็สอบบรรจุปลัดอ.บ.ต.ได้ไปร้อยเอ็ดบ้านเกิด พี่ลาคลอดพากันไปอยู่บ้านแม่ย่า แ่ม่พี่ก็ไปอยู่ด้วยกัน บ้านน้าๆเขาอยู่ติดกันหลายหลัง ชีวิตช่วงนี้เปลี่ยนไปมาก จากที่เคยอยู่กันไม่กี่คนกลายเป็นครอบครัวใหญ่ ทำให้ปรับตัวแทบไม่ทัน สุขบ้าง ทุกข์บ้าง เป็นธรรมดา
สายฝน......และน้องฝน
ใกล้คลอดแล้ว.....น้องพิมจะตื่นเต้นมาก อยากเห็นหน้าน้องตัวน้อยๆ วันคลอด สามีพาไปโรงพยาบาลตอนเช้า ฝนตกปานกลาง อากาศเย็น
ชุ่่มฉ่ำ ไปด้วยละอองฝน เป็นที่มาของชื่อ.....น้องฝน..... เรารู้สึกรักกัน ชอบกัน ก็ตอนฝนตก......สายฝน เป็นพยานรัก...ของเรา
เพลง.....กล่อมลูก
น้องพิม...เกิดและเติบโต ที่นิวยอร์ค จน 4 ขวบได้กลับเมืองไทย ลูกสองคนอายุห่างกัน 8 ปี น้องพิมเลยถูกเลี้ยงแบบให้นอนในคริบ หรือเตียงเด็ก ผ้าอ้อมก็ใ้ช้แบบใช้แล้วทิ้งเลย
น้องฝน...เกิดที่ร้อยเ็อ็ด แม่ย่าให้ช่างไม้ประกอบอู่นอนแบบโบราณ แ่ม่พี่ก็เตรียมผ้าขาวม้าหลายผืนฝีมือทอของแม่เองสำหรับผูกหัวท้ายอู่เป็น เปลนอน ผ้าอ้อมเป็นผ้าขาวนุ่มลายตุ๊กตา บ้านเราแดดร้อน ใช้แล้วซัก ตากแดดแป้ปเดียวก็แห้ง เลี้ยงแบบไหนก็เหมือนกัน หัวใจแม่ รักลูกเท่ากันเสมอ
เพลงกล่อมลูก......เป็นเพลงที่ไพเราะ น่าฟัง อ่อนโยน ออกมาจากหัวใจ....ของแม่
แม่หัดร้องเพลงกล่อมน้องพิมตามวี ดีโอเทป .....Hush a little baby don't say a word
Mama gonna buy you a mocking bird
แม่หัดร้องเพลงกล่อมน้องฝนจากย่าและยาย....นอนเด้อหล่า หลับตาแม่สิก่อม .....เจ้าบ่นอน
นอน....บนรถทัวร์
ครบกำหนดลาคลอด เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้สี่เดือน ต้องกลับไปทำงานที่ก.ส.ท จะขอย้ายออกต่างจังหวัดก็ไม่ไ้ด้ เย็นวันศุกร์พากันขึ้นรถทัวร์กับน้องพิมกลับร้อยเอ็ด เช้าวันอาทิตย์พากันกลับกรุงเทพ คิดถึงลูกน้อยมาก สงสารน้องพิม นั่งรถนานๆก็เหนื่อย อ่อนเพลีย เทียวไปเทียวมาได้ไม่นาน ตัดสินใจลาออกจากงาน ไปอยู่บ้านเลี้ยงลูก ย้ายน้องพิมไปเรียนที่ร้อยเอ็็ด ดูหนังสือสอบบรรจุครูเอกอังกฤษของกรมสามัญศึกษาที่กาฬสินธุ์ ปีนั้นไม่เปิดสอบที่ร้อยเอ็ด โชคดีสอบได้ เลือกลงโรงเรียนที่มีตำแหน่งว่าง น่าจะอยู่ใกล้ร้อยเิ็อ็ดมากที่สุด ที่ตำบลหนึ่งในอำเภอยางตลาด ทางไปทุรกันดารพอสมควร
ปลูกบ้าน.....ที่ร้อยเอ็ด
มีทีอยู่แปลง หนึ่งในอ.เืมืองร้อยเอ็ด ซื้อไว้ตั้งแต่ตอนยังเป็นโสด ไปอยู่นิวยอร์คกับพี่ชาย ได้เรียนภาษา ทำงานร้านอาหารญี่ปุ่นไปด้วย ส่งเงินให้พ่อแม่ใช้ พ่อแม่ก็เอาไปซื้อที่เ็ก็บไว้ให้แปลงหนึ่ง เมื่อได้งานใหม่เป็นครูที่กาฬสินธุ์ ก็พากันปลูกบ้าน เอาเงินเก็บเราสองคนรวมกัน ซื้อบ้านไม้หลังหนึ่ง ยังไม่เก่ามาก จ้างช่างยกมาปลูกใหม่ ชั้นล่างเป็นตึก ชั้นบนเป็นไม้ พออยู่ได้ ยังไม่ทาสี ชั้นล่างไม่มีหน้าต่าง ใช้สังกะสีปิดไว้ งบหมดพอดี
ที่แปลงนี้ พ่อแม่ปลูกต้นไม้ไว้หลายชนิด มะพร้าว มะม่วง มะนาว ต้นแค มีพืชผัก สมุนไพรกินได้ตลอดปี ร่มรื่นมาก
บ้าน หลังนี้ปลูกด้วยแรงรัก แรงใจของเราสองคน ไม่เคยคิดว่าของฉัน ของเธอ แต่เป็นของเรา เราดูแลก่อสร้างด้วยกัน ได้อยู่กับแม่ สามีและลูกสองคน นี่เป็นความฝัน
สังคม......อันอบอุ่น
อาชีพปลัดอ.บ.ต มีหมู่บ้านในตำบลที่ต้องดูแลเกือบยี่สิบหมู่ แต่ละบ้านก็มีบัตรเชิญ งานบุญ งานบวช งานแต่ง งานศพ อยู่ตลอด
อาีำ ชีพครูก็มีงานสอน ทำผลงาน ออกเยี่ยมบ้านนักเรียน ตรวจการบ้าน มีกิจกรรมมากมาย แต่ละวัน มีอะไรต้องทำมากมาย ช่วยกันเลี้ยงลูก โชคดีมีแม่คอยดูแลหลาน ทำอาหารอร่อยๆ แม่ย่าก็มาอยู่ด้วยเป็นครั้งเป็นคราว
บาง อาทิตย์วันหยุดก็ออกไปค้างที่บ้านแม่ย่าอีกอำเภอหนึ่งเวลารวมญาติพี่น้องของ สามี เพื่อนฝูงนักเรียนรุ่นเดียวกับสามี ได้ทำงานที่ร้อยเอ็ดหลายคน เป็น ตำรวจ ทหาร ครู จะนัดสังสรรค์กันประจำ แบบลูกผู้ชาย มาว บ้างไม่มาวบ้าง หน้าบ้านเราเป็นสนามกว้างมีต้นมะม่วงใหญ่ ต้นแค ต้นชัยพฤกษ์ เป็นที่นัดพบกับกลุ่มเพื่อนๆ และญาติๆ พากันมาทำอาหาร อร่อยๆ พวกเนื้อย่างกะทะ ปลาแป๊ะซะ ส้มตำ เวลามาก็หอบหิ้วอาหาร เครื่องดื่ม มากันคนละไม้คนละมือ เจ้าของบ้านเตรียมน้ำแข็ง สถานที่ นึ่งข้าวเหนียวไว้ ก็พอ
กินกันไป คุยไป สักพัก ใครที่ชอบร้องเพลงก็จะเข้าไปในบ้านร้องคาราโอเกะ ไม่อยากเชื่อว่า ตำรวจ ทหาร ร้องเพลงเก่งทุกคน ปลัดต้องยอมแพ้ ส่งแม่บ้านไปร้องแทน พี่เป็นคนชอบร้องเพลง ฟังเพลง งานไหนงานนั้น แบบไม่ไล่ ไม่เลิก ลูกกรุง ลูกทุ่ง สากล ขอให้มีไมค์เถอะ ต้องหัดซ้อมที่บ้านเสมอ บางคนแม่บ้านก็ร้องหมอลำเก่งมาก
เราช่วยกันทำอาหาร เก็บล้าง บรรดาสามีก็พากันคุยอย่างสนุกสนาน เป็นเพื่อนอยู่บ้านเดียวกัน เรียนด้วยกันมาต้งแต่ประถม ดูเขารักใคร่กลมเกลียวกันดี
น้ำท่วม.....น้ำตาฟ้า
ปีนั้น นำ้ท่วมร้อยเอ็ด ในอำเภอเมืองและอำเภอใกล้เคียง ถนนขาด น้ำหลากไหลท่วมบ้านเรือน ไร่นาขาวบ้านเสียหายมากมาย สามีชวนพี่ตื่นแต่เช้าออกไปสำรวจความเสียหาย ทำรายงานขอความช่วยเหลือจากทางราชการ เราสองคนยืนมองดูสายน้ำด้วยความเศร้า
ธรรมชาติใย... ช่างไม่ปราณี ข้าวในนาเสียหาย ชาวบ้านเดือดร้อนกันทั่วหน้า
ชีวิตครู......ชนบท
ออกจากบ้านที่ร้อยเอ็ดแต่เช้ามืด ขับรถไปสอนที่กาฬสินธุ์ ไปเช้าเย็นกลับ 170 กม. ได้เงินเดือน 6,730 บาท ค่าน้ำมันก็หมดพอดี
โรงเรียน อยู่ในป่า ไม่มีบ้านพักครู มีภารโรงหนึ่งคน สภาพเป็นอาคารชั้นเดียวหนึ่งหลังมีหลังคากระเบื้อง แบ่งเป็นห้องพักครูและห้องเรียน
สามห้อง อาคารอีกหลังมุงหลังคาด้วยสังกะสี ไม่มีฝาห้อง มีเพิงหลังคามุงจากขายส้มตำ ขนมจีน อาหารทอดเล็กๆ มีครูอังกฤษคนเดียว สอนทุกชั้น
ม. 1-4 ม.5-6 ยังไม่เปิดสอน ครูวิทยาศาสตร์ต้องมาแบ่งชั่วโมงไปช่วยสอน งานหนัก แต่อิ่มใจ เวลาเงินไม่พอใช้ก็กู้สหกรณ์ เซ็นต์ค้ำประกันช่วยกัน
บางวันขับรถไม่ไหว เป็นไข้หวัด กินยาแล้วจะง่วงนอน ก็จะขึ้นรถโดยสาร สามต่อ จากร้อยเอ็ดไปกาฬสินธุ์ ต่อรถขอนแก่น ไปลงที่อำเภอยางตลาด
ต่อ สามล้อเครือง (รถตุ๊กตุ๊ก)เข้าไปในโรงเรียนอีก 7 ก.ม. ทางเป็นดินแดง ลูกรัง หน้าฝน ถนนเละตุ้มเป้ะ๊ อย่าบอกใคร นักเรียนจะพากันดีใจมากที่เห็นครูเดินทางอย่างปลอดภัยมาได้ ปรบมือ ร้องเฮกันลั่น อยู่ไ้ด้ สองปี มีสิทธิ์ขอย้ายกลับบ้านเกิด ได้ไปลงที่ตำบลในอำเภอหนึ่งห่า่งจากบ้าน 45 ก.ม. ค่อยใกล้้บ้านมาอีกนิด ถนนก็เป็นดินแดง ลูกรัง เหมือนกัน สอนได้อีกสามปี................