21 กรกฎาคม 2547 06:43 น.
พี่ดอกแก้ว
ความล้มเหลวไม่ใช่เรื่องเลวร้าย.......แต่การคิดฆ่าตัวตายนั้นเลวร้ายยิ่งกว่า ในบรรดาสัตว์มีชีวิตทั้งหลาย มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐที่สุดที่สามารถดำเนินชีวิตไปให้เกิดความสุขและความเจริญได้ ด้วยความรู้ความเพียรที่ถูกต้อง ตามทำนองคลองธรรม อาศัยความอดทน ( ขันติธรรม ) และการรู้จักประมาณตนในการกินการอยู่ หรือจะให้แจ่มชัดยิ่งขึ้นก็คือ การรู้จักพอ นั่นเองจะทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ไม่เหนื่อยหนักจนพักไม่ได้ และจบชีวิตลงด้วยความเลวร้ายดั่งที่มีเป็นข่าวกันอยู่เสมอๆ.
ท่านที่รักทั้งหลาย....โปรดคิดสักนิดชีวิตจะมีพลังใจ.
อุปสรรคและความพ่ายแพ้.....เป็นบทพิสูจน์ถึงความอดทน
ไม่มีใครไม่เคยชอกช้ำและจะชอกช้ำอยู่ชั่วชีวิต
เตือนตนเองอยู่เสมอ...อุปสรรคนั่นแหละท้าทายความสามารถ
เตือนตนเองอยู่เสมอ...ให้ขยันและมีความหวัง
เตือนตนเองอยู่เสมอ...ยังมีโอกาสสำหรับเราเสมอถ้าเราไม่ยอมแพ้
พลังของชีวิตและการแสวงหา...ปรากฏอยู่ในความไม่หวั่นกลัวอนาคต
ขอเพียงก้าวไปอย่างมั่นคง...และไม่ประมาทขาดสติ.
คนเราผิดหวังได้เสมอ...แต่อย่ายอมอยู่อย่างสิ้นหวัง
กำลังใจจาก พี่ดอกแก้วค่ะ.
15 กรกฎาคม 2547 15:15 น.
พี่ดอกแก้ว
บ่อยครั้งที่คนเรารู้สึกผิดกับหลายๆอย่างที่ได้ทำลงไป
บ่อยครั้งที่เราอยากแก้ตัวใหม่ อยากที่จะย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีต
นั่นก็เพราะตัวของเราเองยังไม่ดีอย่างที่เราคิดนั่นเอง
แล้วเราจะไปหวังให้คนอื่นๆเป็นได้ดังใจของเราได้อย่างไร
การที่เราคบใครสักคนต้องใช้เวลามหาศาล.... เวลาเช่นนั้น
จึงมาแบ่งชีวิตของเราจากโลกที่เราเคยมีโอกาสทำสิ่งต่างๆตามอำเภอใจออกไป
เฉกเช่นการวาดรูปภาพด้วยสีน้ำมัน ต้องอาศัยพู่กันหลายขนาด
อาจต้องใช้สีหลายประเภท ต้องมีการลบ การแก้ไข วาดใหม่อยู่หลายครั้งหลายครา
แม้กระนั้นภาพที่ปรากฎออกมา อาจไม่เป็นเหมือนที่เราฝันไว้ก็ได้
แต่การวาดรูปดังกล่าวอย่างน้อยก็ควรจะต้องมีอะไรสักอย่างที่ไปในทิศทางเดียวกันบ้าง
เช่นโทนสี ถึงจะไม่ใช่โทนเดียวกัน แต่ก็ไม่ควรขัดแย้งกันจนดูผิดไปจากความตั้งใจ
ดังนั้นถ้าจะเปรียบกับการคบหาสมาคมกันแล้วแม้ไม่จำเป็นจะต้องเหมือนกันทุกอย่าง
แต่ก็ไม่ควรที่จะต่างกันไปทุกเรื่อง...
หากแม้คนที่เราคบบางคนไม่ได้เป็นและไม่ใช่อย่างที่เราคิด ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก..
เพราะบางทีก็ต้องปล่อยให้ชีวิตมันได้เรียนรู้บ้าง ขึ้นชื่อว่าคน มีทั้งดีบ้าง...เลวบ้าง
...ใช่บ้าง..ไม่ใช่บ้าง จึงไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่เราจะต้องเกิดความปวดร้าวเลย..
เพราะจิตใจนั้นมีกลไกที่สลับซับซ้อนมีความรู้สึกที่ยากหยั่งถึง
จนแม้แต่ตนเองก็ไม่สามารถบอกอะไรได้ว่าตนเองเป็นอะไรไป...
ด้วยทุกคนรู้ว่า สิ่งที่เข้าใจยากที่สุด คือสิ่งที่ไม่มีวันเข้าใจ
จิตใจคนเรานั้นอยู่เหนือการควบคุม ...เมื่อสุดความสามารถแล้วก็จงปล่อยมันไป
อย่าเก็บกลุ้มจนเป็นปัญหา....เพราะปัญหานั้นจะจับเราโยนเหวี่ยงเข้าไปขังในห้องมืดทึบอย่างแรง แต่ทว่าพลาดไปก็ไม่จำเป็นต้องตกใจมากมาย
จนเสมือนรีบร้อนหาทางออกมา
หยุดนิ่งๆ นั่งปรับใจ...ปรับอารมณ์..เสมือนปรับสายตาให้เคยชินสักพัก
การที่เราปลีกตนเองออกมาเงียบๆไม่มีคนรบกวน ทำให้เรามีเวลาทบทวนอะไรต่างๆมากขึ้นโดยให้กำลังใจตนเองด้วยความจริงว่า..
ห้องทุกห้องในโลกนี้ย่อมมีประตู แต่เพราะความมืดมีมาก
จึงทำให้เราหาประตูนั้นยากสักนิด
จงอย่าท้อถอย...แสงสว่างที่ลอดมาจากช่องประตูอาจเลื่อนรางยิ่งนัก
แต่นั่นก็เป็นสิ่งเดียวที่จะบอกเราได้ว่า...เรายังมีความหวัง
ด้วยเพราะแสงสว่างเพียงเล็กน้อยนั้นนั่นเอง..
ความจริงที่เราทุกๆคนไม่อาจโต้แย้งได้นั้น ก็คือ..
เราแต่ละคนมีความรักตัวเองเป็นอย่างยิ่ง
มีพุทธภาษิตตรัสไว้ว่า....ทรงตรวจดูไปทั่วทิศทั้งปวงแล้ว ก็ทรงพบว่า
ตนเองนี่แหละเป็นที่รักของตน เพราะฉะนั้นเมื่อรักตนและมีความยึดชีวิตยิ่งอย่างนี้ สิ่งที่ต้องกลัวด้วยกันทั้งนั้นก็คือ...กลัวตาย
เพราะความตายนั้น เป็นสิ่งที่มาเด็ดเอาสิ่งที่รักยิ่งไป
คือมาตัดรอนตน...ฆ่าตนนี้เองให้สิ้นไป
หรือหากจะเปรียบชีวิตของคนเราก็เหมือนใบไม้...
ก็เป็นใบไม้ที่ไม่รู้วันร่วงหล่นของตนเอง
เมื่อถึงเวลาที่ปลิดขั้ว....ก็เพียงปลิดปลิวลงจากกิ่งก้าน
ใบไม้สีน้ำตาลที่ร่วงหล่นตามกาลเวลา ก็ได้ทำหน้าที่ของมันมาแล้วอย่างดี
หน้าที่ที่ได้เคยมอบร่มเงาให้ผู้คนได้พักพิง เคยให้อากาศยามเช้า และให้ความสดชื่นอวดใบที่สะพรั่งให้ต้นไม้สวยงามและสมบรูณ์ ก่อนที่จะปลิดปลิวลงสู่พื้นดิน
หลากหลายเหตุผลที่ทำให้ใบไม้สีเขียวต้องร่วงหล่น
ด้วยเพราะแรงลม และบางใบก็โดนเด็ดเล่น
จะเห็นได้ว่าทุกอย่างอยู่เหนือการคาดคิด...และเกินกว่าจะตั้งตัวทัน
เช่นเดียวกับชีวิตของเราทั้งหลายที่ยังมีชีวิตอยู่..ไม่อาจกำหนดวันสุดท้ายของตนเองได้
แต่ถึงอย่างไรก็ต้องมีวันสุดท้ายด้วยกันทั่วถ้วน..
จึงไม่ควรลังเล ที่จะรอเวลาที่จะทำประโยชน์ให้กับโลก...
เพราะโลกไม่มีเวลาให้ใครมากพอ
วันนี้เท่านั้น..วันนี้..จงเริ่มต้นเป็นร่มเงา เป็นที่พักพิง
เป็นทุกๆอย่างเท่าที่สามารถเป็นจงเริ่มหยิบยื่นน้ำใจไมตรีให้คนรอบข้าง
คนทีเรารัก คนที่เรารู้จัก..และคนแปลกหน้า
เพราะหากถึงเวลาดังเช่นใบไม้ใบนั้น
เราจะได้ไม่ต้องถามว่า....มีอะไรอีกไหมที่เรายังไม่ได้ทำ
เพราะกาลเวลา..ที่นำพาทุกอย่างมาสู่ชีวิต และก็พร้อมที่จะเอากลับคืนทุกวินาที....
จึงควรสะสมคุณค่าแห่งความดีให้มีมากขึ้นในตัวเองเถิด
เพราะขณะที่เราใช้เวลามากขึ้นๆๆ..ชีวิตของเราก็เหลือน้อยลงทุกที
ถ้าเราไม่สร้างประโยชน์ทิ้งไว้...สักวันชีวิตเราก็จะหายไปจากโลก
โดยไม่เหลืออะไรเลย...
ด้วยความปรารถนาดีเสมอค่ะ
พี่ดอกแก้ว