31 ตุลาคม 2551 20:33 น.
พี่ดอกแก้ว
รอยยิ้มพลันหยุดแย้มเพราะแก้มขม
เกิดหนามปมในหูแทงสู่จิต
สนทนามาถึงบทเป็นพิษ
มิตรสนิทแปลงร่างสร้างภาพยักษ์
รื่นรมย์ใจกลับกลายเป็นร้อนแล้ง
ใจเหี่ยวแห้งกับคำพูดที่หาญหัก
เขาตำหนิติติงทิ้งคำทัก
เหมือนหินหนักถ่วงเท้าหยุดก้าวลง
หัวคะมำคว่ำคะเมนเลนกระจาย
ใจวุ่นวายพบเรื่องไม่ต้องประสงค์
อยู่ดีดีมาทักท้วงปล่อยหมัดตรง
ให้มึนงงมืดหน้าพาเดือดดาล
พาลไปที่ผู้มีวาจาวุธ
ไม่สะดุดเหตุผลบนถ้อยสาร
เกิดประมาทขาดมองให้ต้องการณ์
ไม่อยากให้ใครขานเรื่องท้วงติง
หากหวังได้รับแต่คำสรรเสริญ
มิตรสหายยอเยินไปทุกสิ่ง
หากคิดว่าเช่นนี้จักดีจริง
อาจพบสิ่งเลวร้ายในเร็ววัน
ก็เหมือนรถวิ่งไปบนถนน
มีบางหนต้องเหยียบเบรคกระทันหัน
และบางคราวต้องชะลอลดน้ำมัน
ไม่เร่งกันคงที่มีแต่ตาย
มองแง่ดีมีเบรคให้ใช้บ้าง
ดีกว่าห่างเบรคเร่งจนใจหาย
ลืมตัวเร่งเรื่อยเปื่อยตามสบาย
เบรคทีเดียวอาจถึงตายทุเรศตา
เบรคหัวทิ่มหัวตำทำตกใจ
ดีกว่าเบรคช้าไปสร้างปัญหา
ชินกับเบรคเพื่อปลอดภัยทุกเวลา
ดีกว่าไร้เบรคมาช่วยชีวี
27 ตุลาคม 2551 10:43 น.
พี่ดอกแก้ว
แผ่นดินร้อนเป็นไฟใครเผาผลาญ
เกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญพาหวั่นไหว
ภัยพิบัติเยือนถิ่นแผ่นดินไทย
สามัคคีเภทในนครา
คงถึงจุดตกต่ำธรรมชาติ
เคยผงาดเจริญสุขด้วยศาสนา
ที่พึ่งพิงเคยมีด้วยปัญญา
ถูกกระแสแปรค่าคุณธรรม
จิตใจร้ายกระจายไปในวงกว้าง
ทุกระบบอำพรางอุปถัมภ์
เป็นเครือข่ายเชื่อมโยงกิจกรรม
เพื่อหนุนนำกิเลสร้ายให้ใหญ่โต
เหมือนแม่เหล็กดึงดูดเหล็กทั้งหลาย
ผู้นำร้ายลูกน้องร้ายมากอักโข
จิตใจร้ายดึงความร้ายออกมาโชว์
เรื่องร้ายจึงผุดโผล่ทั่วถิ่นไทย
ได้แต่ทำกรรมดีเพิ่มที่ตน
เพื่อแผ่ผลความดีไปแก้ไข
รักษาชาติศาสน์กษัตริย์ให้พ้นภัย
เอกราชคงในสถาบัน
ให้ความร้ายคลายไปจากไทยแลนด์
เป็นดินแดนวิมานดุจสวรรค์
เทพเทวาพิทักษ์คอยคุ้มกัน
เริ่มต้นความสมานฉันท์อย่างจริงใจ
เลิกเข่นฆ่าด้วยวาจาในหมู่กลุ่ม
คลายทิฏฐิครอบคลุมจริตนิสัย
เอกราชของชาติสิ้นจากภัย
ไม่มีใครประหารใครให้ศพพะเนิน
22 ตุลาคม 2551 11:25 น.
พี่ดอกแก้ว
แก่นชีวิตคิดไปก็ไร้แก่น
มิหนักแน่นและไร้ซึ่งแก่นสาร
เพียงประชุมชั่วคราวก็ร้าวราน
ต้องถึงกาลแปรผันพลันเปลี่ยนแปลง
ผู้ถือตนยึดมั่นฝันคว้าสุข
จึงพบทุกข์ท่วมจิตพิษแสลง
ทุ่มเทกายและใจจนหมดแรง
เพื่อยื้อแย่งสุขไว้ให้นิรันดร์
มีความโลภผลักดันให้สรรหา
มีโทสาสุมใส่เติมไฟฝัน
ชีวิตเร่าร้อนรนทุกวี่วัน
เพราะขยันไขว่คว้ามาเพื่อตน
ละเลยการพินิจและพิศเพ่ง
ในบทเพลงแห่งกรรมที่นำผล
หาใช่พรหมลิขิตบงการชนม์
แต่เพราะกรรมของตนบงการมา
ความไม่รู้บงการใจให้สืบเนื่อง
หมุนฟันเฟืองกิเลสเหตุปรารถนา
เวียนวัฏฏะเรื่อยไปไร้ปัญญา
หลั่งน้ำตารำพันร้องคร่ำครวญ
แต่ผู้รู้เรียนธรรมนำอาวุธ
ตัดวัฏฏะให้หยุดการคืนหวน
รู้เท่าทันตัณหาเงื่อนโซ่ตรวน
สะบัดทวนปัญญาฆ่ากิเลสมาร
ไร้ครวญคร่ำอาลัยในเรื่องราว
ที่ปรุงแต่งชั่วคราวในสังขาร
สิ้นทุกข์จรสอนจิตอย่างเชี่ยวชาญ
รื้อรอยสานโซ่กรรมนำเสรี
เมื่อปัญญาเติบกล้าคราปฏิบัติ
ยิ่งรู้ชัดรูปนามตามวิถี
ล้วนไตรลักษณ์เป็นใหญ่ในชีวี
มิได้มีแก่นสารทุกวารวัน
ปวงกิเลสสิ้นฤทธิ์เพราะจิตรู้
ติดตามดูอาการที่แปรผัน
ความสงบเกิดขึ้นในฉับพลัน
เริ่มเดินทางสู่เขตขัณฑ์ความเสรี
15 ตุลาคม 2551 08:19 น.
พี่ดอกแก้ว
ยังคงมีสิ่งที่น่าสงสัย
ใครเป็นใครใบหน้าหาแจ้งจิต
มากเล่ห์กลปนเปื้อนเหมือนเป็นมิตร
แต่ความคิดอาจเป็นภัยไม่แจ้งชัด
เรื่องที่ฟังอาจยังไม่ทั้งหมด
เพราะผู้พูดเปลี่ยนบทตามถนัด
เรื่องที่อ่านอาจไร้ประเด็นชัด
เพราะผู้เขียนเจนจัดแทรกมุขตน
ฟังอะไรอ่านอะไรให้ระวัง
อย่าเพิ่งชังอย่าเพิ่งรักในแรกหน
อาจพลาดพลั้งเชื่อสิ่งอัปมงคล
ใจที่ดีของตนต้องหมองไป
บางเรื่องราวเขียนกล่าวอย่างเข้มขึง
คนฟังอึ้งเชื่ออย่างไม่สงสัย
ลืมคิดถึงผู้พูดที่เดาใจ
ทั้งผู้เขียนก็ไม่ใช้ผู้ร่วมวง
อย่าลืมหลักการพุทธหยุดจิตหมอง
อย่าลืมกรองถ้อยคำก่อนใหลหลง
อย่ายึดถือตามคำสืบจำนง
อย่าตั้งวงตื่นข่าวกล่าวเชื่อพลัน
อย่าเชื่อเพราะอ้างตำราพายึดติด
อย่าเพียงคิดเดาเองอย่างเพ้อฝัน
อย่าได้คาดคะเนว่าข้ารู้ทัน
อย่าสรุปสิ่งนั้นตามอาการ
อย่าได้ชื่นชมเพราะถูกใจตน
อย่าเชื่อคนที่พูดเพราะภูมิฐาน
อย่าเชื่อเพราะเห็นเป็นครูอาจารย์
อาจถึงกาลย่อยยับกับศรัทธา
ความเชื่อที่ไม่มีเรื่องเหตุผล
มักพาคนไปพบกับปัญหา
ความเชื่อที่ไร้ซึ่งกุศลปัญญา
เกิดกระแสโหมกล้ากิเลสนอง