21 กันยายน 2548 05:47 น.
พี่ดอกแก้ว
คราวดินแล้งแห้งผากจากความชื้น
ความขมขื่นเข้าข่มบ่มระแหง
ร้อนอากาศอบโลกให้อ่อนแรง
การขันแข่งเพิ่มฟอนให้ร้อนไฟ
กลียุคลุกไหม้จากใจก่อน
แล้วเร่งร้อนรอบตนจนหวั่นไหว
ทำลายสิ่งแวดล้อมให้เสียไป
ภายนอกจึงเผาไหม้ควบคู่กัน
ยิ่งร้อนรุ่มกลัดกลุ้มกับการขอ
และเฝ้ารอความเย็นเป็นสุขสันต์
แต่ทำตนสวนทางอยู่ทุกวัน
ร่วมแข่งขันเพิ่มร้อนย้อนสู่ตน
หยาดเม็ดฝนที่หล่นจากผืนฟ้า
จึงสูงค่าสยบร้อนผ่อนห้วงหน
หยาดน้ำใจการให้จากบางคน
สยบความทุรนทุรายทรวง
ท่ามกลางร้อนเร้ารุมสุมดวงจิต
ต่างเพิ่มฤทธิ์แรงไฟจนใหญ่หลวง
ด้วยการเสี่ยงการขอรอผลพวง
พลาดเสี่ยงดวงซัดกระหน่ำซ้ำทำลาย
ไหนเลยมีความเย็นเช่นน้ำทิพย์
หยาดระยิบบนเพลิงที่เริงฉาย
ไหนเลยมีความสงบไม่วุ่นวาย
อยู่ในงานท้าทายเพื่อแย่งชิง
เมื่อการให้จากใจใครคนหนึ่ง
ผู้ไร้ซึ่งหวังผลบนชายหญิง
เป็นการให้ด้วยใจที่แท้จริง
จึงเย็นยิ่งดั่งธารสานสุขเนาว์
ท่ามกลางความระอุที่คุโลก
สิ่งผ่อนโศกช่วยคลายไม่ผลาญเผา
คือเมตตาช่วยเหลือเกื้อบรรเทา
กอบกู้เอาความชื่นคืนโลกงาม
19 กันยายน 2548 06:02 น.
พี่ดอกแก้ว
มองด้วยศิลป์จินตาบุปผาชาติ
งามพิลาศทุกช่วงดวงบุปผา
ทั้งเริ่มตูมแรกแย้มแก้มผกา
และเบ่งบานเต็มค่าถึงกาลโรย
แต่ละช่วงปวงดอกบอกความงาม
บรรเจิดตามวัยอ่อนก่อนแห้งโหย
แม้นถึงคราวเฉาหม่นกลีบหล่นโปรย
ห้วงลมโชยยังงามยามพลิ้วลม
เหมือนดั่งคนเริ่มต้นในวัยเยาว์
งามตามวัยของเขาอย่างเหมาะสม
ไม่ทำตัวแก่แดดหรือแก่ลม
เป็นความงามน่าชมของวัยเยาว์
คราววัยรุ่นกรุ่นฝันผันสาวหนุ่ม
รู้จักกลุ่มเรียนจริงทิ้งโง่เขลา
ทำอาชีพการงานทั้งหนักเบา
รักหวานเศร้าอยู่ในศีลชีวินงาม
คราวผู้ใหญ่ตั้งใจรับผิดชอบ
หมั่นประกอบหน้าที่ไม่ผลีผลาม
ดูแลตนคนรอบขอบเขตคาม
ดำรงความช่วยเหลือเกื้อกูลใจ
คราวชราทำชีวาเปี่ยมกุศล
ไม่หมองหม่นทำจิตให้สดใส
กอปรเมตตากรุณาเผื่อแผ่ไป
เป็นความงามตามวัยไม่ชรา
ชีวิตคนยลเทียบเปรียบดอกไม้
แต่ละวัยล้วนงามไม่ทรามค่า
แม้นจะพลั้งไปบ้างบางเวลา
ยังกลับมางามมากหากรู้มอง
หาใช่เรื่องหนักหนาถ้าพลาดหวัง
หรือผิดพลั้งสิ่งใดอย่าใจหมอง
ทุกช่วงวัยมีความงามตามครรลอง
อย่าหยุดมองวัยใดเพียงวัยเดียว
15 กันยายน 2548 12:23 น.
พี่ดอกแก้ว
ถึงเวลาหน้าฝนดลอากาศ
สายฟ้าฟาดส่งเสียงลำเลียงสาร
เก็บไม่ไหวไหลหลั่งพรั่งเป็นธาร
แต่ละสายยาวนานไม่เท่ากัน
วันฝนตกวิหคล้วนเปียกปอน
มรสุมเข้าซ้อนเมฆมหันต์
พรำพร่างสายจากฟ้ามาโรมรัน
วิหคนั้นอดทนจนสุดใจ
แม้นยาวนานผ่านฝนปนลมหนาว
หยาดพิรุณหยดพราวสักเพียงไหน
มรสุมคลุมครอบนานเท่าใด
ความอดทนคือชัยในภัยพาล
ก้มหน้ารับวิบากตรากตรำสู้
รอโอกาสกอบกู้อย่างกล้าหาญ
ฝนต้องสิ้นรินหลั่งเมื่อถึงกาล
เริ่มอรุณเบิกบานได้สักคราว
อย่าท้อถอยปรอยฝนจนเจ็บจิต
ทุกชีวิตมีทุกข์รุกสืบสาว
เท่าเทียมกันวันฝนที่หล่นพราว
เหมือนวิหคเหน็บหนาวทุกรวงรัง
ผู้เข้มแข็งจะมีแรงบินสู่ฟ้า
ไม่พ้อว่าสายฝนในหนหลัง
ไปข้างหน้าฝ่าไปอย่างระวัง
เพื่อไปสู่ความหวังที่งดงาม
14 กันยายน 2548 09:18 น.
พี่ดอกแก้ว
ที่ยืนอยู่ตรงนั้นคือฉันหรือ
แววตาทื่อไร้ประกายไม่ฉายแสง
เหมือนคนใกล้สิ้นชีพเริ่มโรยแรง
ริมฝีปากแตกแห้งเหมือนเลือดซึม
ที่ยืนอยู่ตรงนั้นฉันใช่ไหม
ทอดอาลัยไฟหรี่มีแต่ขรึม
บางครั้งคราวส่งเสียงบ่นงำงึม
พูดพำพึมซ้ำความย้ำถามตน
ที่ยืนอยู่ตรงนั้นคือฉันหรือ
หูอึงอื้อสดับเสียงสับสน
สิ้นความชัดขัดข้องหมองกมล
ดูเหมือนคนย่อยยับกับชะตา
ที่ยืนอยู่ตรงนั้นฉันใช่ไหม
แต่เหมือนใครมาแทรกแปลกนักหนา
ความทรุดโทรมของใจหลั่งไหลมา
สู่พักตราฟ้องชัดวัดถึงใจ
ที่ตรงนั้นฉันเคยยืนอย่างชื่นจิต
ปวงความคิดพลังสะพรั่งไหล
ไฟต่อสู้โชนฉายประกายไฟ
เรื่องเล็กใหญ่ไม่ท้อขอเสี่ยงทำ
ที่ตรงนั้นฉับพลันฉันฝันร้าย
มรสุมคลุมกายไม่อิ่มหนำ
เกินเจ็ดครั้งเจ็ดหนจนระกำ
ผ่านชอกช้ำจนชาพาไฟโรย
ที่ตรงนั้นฉันเห็นคนแปลกหน้า
คิดทบทวนช้าช้าคราใจโหย
จะปล่อยให้คนแปลกหน้ามาขโมย
ยึดกอบโกยที่ไปคงไม่ดี
ที่ตรงนั้นฉับพลันฉันเริ่มรู้
เพ่งมองดูเงาสะท้อนย้อนวิถี
ฉันไม่ควรท้อแท้แพ้ฤดี
ที่ตรงนี้ที่ใจฉันนั้นต้องงาม
12 กันยายน 2548 05:54 น.
พี่ดอกแก้ว
เสียงเอะอะโวยวายคล้ายฟ้าร้อง
แผดความก้องสะทือนจนเลื่อนลั่น
หลายคนกรูมาดูในฉับพลัน
ว่าใครนั้นเปล่งเสียงเปรี้ยงปร้างมา
กลางไทยมุงพุ่งพล่านปานน้ำเดือด
คนหนึ่งเชือดอีกคนจนไร้ค่า
คนหนึ่งคล้ายยักษ์ใหญ่ใช้ศาตรา
แต่อีกคนสงบท่าหน้ายิ้มงาม
ไม่ทุ่มเถียงเกี่ยงใครใช้เสียงสวน
ไม่ยียวนย้อนใครไร้คำถาม
ไม่โยกโย้โอ้อวดประกาศนาม
ไม่ถือตนแก้ความตามเชือดคืน
หลายคนว่าเขาแพ้แก่เหตุผล
อีกหลายคนว่าเขาผิดไม่คิดขืน
หลายคนเจ็บร้อนแทนเป็นไฟฟืน
อีกหลายคนหยิบยื่นดอกไม้ไฟ
ในใจคนผู้ทนต่อเกมบ้า
มีหลักว่าอย่าพ่ายอนุสัย
ทุ่มเถียงกันพลันกิเลสลุกท่วมใจ
สงบไว้ใช่อ่อนแอหรือแพ้คน
ความถูกผิดคิดยากมากเงื่อนไข
ถูกของเราของใครให้ต่างผล
ถูกกฎหมายถูกใจให้สินบน
ถูกเหตุผลของธรรมนำถูกจริง
ทุ่มเถียงไปก็มิใช่จะชนะ
แพ้เป็นพระสุขใจได้หลายสิ่ง
ทำดีแล้วถูกว่าอย่าประวิง
เป็นคนจริงต้องทำต่ออย่าท้อใจ
ให้โอกาสเขาระบายใช้ศักดา
ดีกว่าให้เขาบ้าเป็นไหนไหน
เมตตาให้เขาได้รับอภัย
นี่แหละเป็นการให้โอกาสทอง
อย่าติดข้องหมองไหม้ในศักดิ์ศรี
ว่าเขายีเหยียบย่ำทำเราหมอง
เรื่องศักดิ์ศรีคืออัตตาอย่าหมายปอง
ที่ควรครองคือทำใจไร้อัตตา