28 มิถุนายน 2547 16:57 น.
พี่ดอกแก้ว
ผ่านเหตุการณ์ร้ายดีมีความหมาย
ผ่านบทเรียนมากมายที่มีค่า
ผ่านความแปรเปลี่ยนไปในเวลา
ผ่านการบ่มกายาให้อดทน
เป็นลำต้นแผ่ก้านบนลานดิน
ไม่เคยสิ้นพลังสร้างปวงผล
กี่ใบบางร่วงโรยโปรยพื้นดล
ยังแกร่งตนผลิใบให้ร่มเย็น
ความร้อนแล้งแห้งฝนจนพื้นผาก
เปลือกร่อนจากเนื้อต้นบนความเข็ญ
เป็นลายริ้วร่องรอยของแผลเป็น
ยังใจเย็นรอเวลารักษากาย
ถึงคราวพรากจากใบและไร้ผล
ยังยืนต้นรอฝนหลั่งพรั่งเส้นสาย
สะสมความสมบูรณ์สู่ยอดปลาย
ไม่เคยวายความหวังตั้งใจรอ
ดำเนินตามความพร้อมของปัจจัย
ไม่หดหู่หมองไหม้ใฝ่ร้องขอ
ไม่ใจเร็วด่วนเร่งเพ่งเกินพอ
อดทนรอความเหมาะสมปมสำคัญ
25 มิถุนายน 2547 23:04 น.
พี่ดอกแก้ว
๛ สุนทรภู่ครูกลอนบวรวัฒน์
ดาวจรัสรัตนโกสินทร์
กวีแก้วแววมณีแห่งแผ่นดิน
อักษรศิลป์งามคมสมกวี
๛ นับร้อยปีที่งานมรดก
ถูกหยิบยกชูเชิดเทิดศักดิ์ศรี
เป็นแบบเรียนเขียนอ่านวรรณคดี
ก่อให้มีเยาวชนสืบผลงาน
๛ กล่อมเกลาใจให้งามตามลีลาศ
เฉลียวฉลาดในคำที่พร่ำขาน
สุภาษิตสอนใจในนิทาน
เป็นตำนานเตือนจิตให้คิดดี
๛ ยี่สิบหกมิถุนาเวียนมาถึง
ให้คนึงหาครูผู้เป็นศรี
เพชรน้ำเอกแห่งวงศ์พงศ์กวี
กราบบูชาด้วยฤดีอนุชน
23 มิถุนายน 2547 10:51 น.
พี่ดอกแก้ว
หมู่พฤกษ์เขียวเรียวไหวไกวตามแรง
คล้ายลมแปลงร่างซ่อนซ้อนไพรสณฑ์
ระบัดความอ่อนช้อยคล้อยตามกล
ไม่หาญหักลมบนที่ลิ่วแรง
แฝงความหมายคล้ายน้ำเชี่ยวหมุนเกลียวหลาก
เรือข้ามฟากอย่าฝืนคลื่นผาดแผลง
ต้องพลิกคว่ำไม่อาจวาดกรรแซง
ความเปลี่ยนแปลงกลบกลืนดุจคลื่นธาร
เทียบภาพธรรมชาติวาดภาพจริง
มีหลายสิ่งถึงซึ่งอวสาน
เพราะแข็งขืนยอมหักอย่างแหลกราญ
ไม่ยอมงอต่อการณ์ไม่ถูกใจ
หากอีกมุมกลุ่มมองให้ตรองตรึก
ผ่อนความลึกเพียงนิดคิดแก้ไข
รู้กาละเทศะแห่งเภทภัย
ปรับตัวไปตามระบอบครอบชีวี
หลิ่วตามองผองชนคนตาหลิ่ว
ไม่ยักคิ้วยียวนกวนวิถี
หากแต่ใจไม่หลิ่วเพราะรักดี
ยังคงศักดิ์และศรีเช่นสนไพร
เมื่อลมพาลผ่านไปได้สงบ
ไม้ยังครบยืนต้นสนไสว
มีจุดยืนไม่ฝืนกระแสใคร
มีจุดใจไม่ฝืนกระแสคน
ความอ่อนน้อมค้อมใครใช่อ่อนแอ
หาใช่ความพ่ายแพ้หรือหวังผล
รู้จักกาล รู้ประมาณ รู้ชุมชน
รู้เหตุผล ตนผู้อื่น ต่างพื้นเพ
ลมจะบ้ากี่คราครั้งยังคงอยู่
เพราะใจรู้จักพาลกาลหันเห
ทำที่ตนฝึกที่ตนอย่างทุ่มเท
ไม่ซวนเซหวั่นไหวไร้รากธรรม
22 มิถุนายน 2547 07:40 น.
พี่ดอกแก้ว
เสียงฝนพรำพร่างฟ้า ........ หนาวใจ
บาปกรรมนำซัดไกล ........... เกลือกกลิ้ง
ระหกระเหินไร้..............ร้างถิ่น
แพล่องถูกทอดทิ้ง ............. วนห้วงชลาลัย
กว่าปีที่พรากพ้น .................. พ่อไป
เหินห่างร้างแลนัยน์ ............ เนตรหล้า
ยิ่งมืดหม่นฤทัย ................... หมองจิต
สิ้นสูญแสงจากฟ้า ............... ส่องไล้ให้ทาง
บทกรรมนำฉากเศร้า ............ สุดใจ
สิ้นสั่งเสียงเอื้อนให้............. แกร่งสู้
สิ้นเสียงสั่งสอนใจ ............. ให้สงบ
จึงพบความไม่รู้ .................. เนตรน้ำท่วมนอง
ไร้พ่อมาปกป้อง ................. ปลอบขวัญ
ไกลห่างต่างภพกัน ............ เช่นนี้
หวังเพียงบุญตามทัน ........ ผลส่ง
พบพ่อมาแนะชี้ ............... ที่บ้านหลังเดิม
หวังนี้เพียงหวังไว้ ........... เจือจาง
ด้วยมืดมนหนทาง ........... พบได้
ยังหวังอย่างเลือนลาง ...... อีกหนึ่ง
มรณาสันนกาลไซร้ ......... จักได้พบกัน
หวัง..หวังและบ่นเพ้อ........รำพัน
หวังเร่งคืนเร่งวัน ..............พบหน้า
หวังสดับพระธรรม์............จากพ่อ
หวังอุ่นไอรักกล้า ..............ลูกน้อยคอยรอ
19 มิถุนายน 2547 07:41 น.
พี่ดอกแก้ว
ครืน ครืน ฟ้าพาลมมาห่มโลก
ให้ไหวโยกแมกไม้ไม่เว้นหน้า
เสียงสำแดงแสงประกายในฟากฟ้า
อย่างเจิดจ้าแล้ววูบวับสับเปลี่ยนกัน
ไม่รู้ว่าฟ้าไฉนไม่มั่นคง
ไม่รู้ว่าฟ้าประสงค์สิ่งใดนั่น
บัดเดี๋ยวร้อนบัดเดี๋ยวฝนจะหล่นพลัน
ใจไหวหวั่นตามผืนฟ้าคราเปลี่ยนแปลง
ที่เหมือนกันกับฉันและท้องฟ้า
คือเวลาฟ้าหลั่งสั่งกรรแสง
เป็นเวลาเงียบเหงาและโรยแรง
ได้ถ่ายเทสิ่งแสลงให้สิ้นไป