9 กุมภาพันธ์ 2547 09:33 น.
พี่ดอกแก้ว
กี่คราวครั้งยังย้ำทำความผิด
มิเคยคิดเปลี่ยนแปรเพื่อแก้ไข
เสียงตักเตือนเหมือนลมที่พัดไกล
หาหวั่นไหวใจนึกให้ตรึกตรอง
สาดแสงทองส่องให้ด้วยใจรัก
กลับหันพักตร์ปิดนัยน์ใฝ่ความหมอง
ส่องแสงธรรมนำใจให้ครรลอง
กลับปิดป้องหัวใจให้มากเงา
ร้องร่ำเรียกเพรียกหาอย่าเหหัน
ก็ผลุนผลันทิ้งไปเพราะใจเขลา
เห็นมิตรเป็นศัตรูผู้หมายเอา
ชีวิตเป็นเช่นเป้าฆาตกรรม
หมายเป็นเช่นนาวาพาข้ามฟาก
กลับตีจากลงแพแคร่ถลำ
ได้แต่ยืนมองคลื่นแห่งกฎกรรม
มาโหมซ้ำแพแยกแตกกระเซ็น
9 กุมภาพันธ์ 2547 09:29 น.
พี่ดอกแก้ว
ฟ้าสีหม่นเมฆหมองลอยฟ่องฟ้า
แว่วเสียงครืนครื้นมาเสียงฟ้าแว่ว
แนวพุ่มพฤกษ์พัดไหวลมไล่แนว
ตาเห็นฟ้าเลือนแล้วเพราะน้ำตา
แปลกหนอใจเมื่อได้โศกโลกผิดแปลก
ฟ้าพลันแยกสีไปไร้สีฟ้า
พาใจไร้หลักเกาะเพราะลมพา
รินน้ำตาแทนฝนล้นหลั่งริน
น้ำตานองร้องไห้กลายสายน้ำ
สิ้นชีพซ้ำร้องใหม่ไม่จบสิ้น
ชินกับทุกข์หลากมาจนชาชิน
กลายเป็นสินธุ์มหาสมุทรสุดกลับกลาย
วัฏฏะกรรมร้อยวงเป็นกงวัฏ
สายสัมผัสหลอกลวงเป็นบ่วงสาย
วายวุ่นกับกิเลสจนวางวาย
ภพมากมายเวียนไปไม่ไร้ภพ
9 กุมภาพันธ์ 2547 09:27 น.
พี่ดอกแก้ว
เพลิงแผดผลาญเชื้อไฟในเตาเผา
ฟืนเร่งเร้าร้อนระอุให้คุโหม
หลอมเหล็กไหลให้กล้าฝ่าเปลวโลม
จึงถั่งโถมแรงไฟให้เหล็กแดง
ตีเหล็กร้อนสร้างรอยคอยขึ้นรูป
เพิ่มลมสูบเร่งเพลิงให้เริงแสง
ใจจดจ่อก่อจิตคิดดัดแปลง
จากทึบแท่งเป็นชิ้นงานผ่านเวลา
เหงื่อหยาดหยดรดร่างกลางความร้อน
มิเคยผ่อนแรงแพ้แก่เหล็กหนา
แต่ละครั้งตีลงตรงจินตา
ด้วยมุ่งหวังสร้างค่าประณีตงาน
เหล็กถูกหลอมคนถูกย้อมด้วยตบะ
เพิ่มพละฝ่าภัยด้วยใจหาญ
ด้วยชีวิตมีแต่แล้งแห้งกันดาร
หาได้ปานกลีบกุหลาบอาบกลิ่นอวล
หากมุ่งสู่เส้นชัยในทางยาก
ต้องอดทนลำบากสู้ผันผวน
อย่ายอมพ่ายใจท้อพ้อโอดครวญ
แม้นสิ้นมวลมิตรไปอย่าไหวตรม
ดั่งเหล็กร้อนรอค้อนตีกระหน่ำ
ลงรอยย้ำแปรลายเพื่อคลายขม
เปลี่ยนทึบแท่งเหล็กกล้าให้น่าชม
ไฟลวกผิวเกรียมระบมก็สมใจ