29 มกราคม 2547 07:29 น.
พี่ดอกแก้ว
คันฉ่องส่องสะท้อน
ภาพคืนย้อนสู่สายตา
มองตนเพื่อค้นหา
รูปรอยจริงสิ่งซ่อนตน
เพียงพบสบแสงเงา
มิอาจเข้าถึงกมล
แว่นธรรมจึงนำคน
เห็นจิตใจในเลวดี
ผลกรรมที่ผันผก
คือกระจกส่องชีวี
ถึงเหตุที่เคยมี
ทั้งฝ่ายดีและเลวทราม
เลนส์แว่นเห็นแก่นแท้
ก่อนผันแปรผลล้นหลาม
หยุดใจไม่ไหลตาม
กิเลสร้อนรอนชีวี
สงบพบจุดนิ่ง
ไม่ไหวติงในร้ายดี
ตามมรรคสามัคคี
ถึงจุดหมายที่ปลายทาง
29 มกราคม 2547 07:24 น.
พี่ดอกแก้ว
เดินดุ่มผ่านกาลเวลามาเกินกึ่ง
ยังไม่ถึงที่หมายสุดปลายฝัน
พบอรุณรัศมีที่สายัณห์
แล้วเหหันอัสดงลงลับทิว
สองตาจ้องปองหมายในเส้นทาง
หวังและฝันวาดร่างเป็นลายริ้ว
หล่อเลี้ยงใจแน่นจิตไม่ปลิดปลิว
ระร่วงลิ่วทิ้งหวังครั้งน้ำตา
เห็นชีวิตมากมายหลายหลากรส
ที่กำสรดโศกศัลย์พันปัญหา
ทั้งโชติช่วงเริงร่ายในมายา
แล้วพลันหายลับตาเข้ากองไฟ
เห็นวิถีทินกรโคจรภพ
ฤดูกาลผ่านกลบลบรอยไหม้
เห็นไม้ผลิแล้วร่วงทุกปวงใบ
กี่พฤกษ์ไพรล้วนพรากจากกิ่งกร
บางบุรุษพินิจพิศถึงธรรม
เห็นทางนำสู่สุขสโมสร
พบสิ่งใดไร้สิ้นจินต์อาวรณ์
เริ่มถ่ายถอนตัวตนพ้นอัตตา
แม้นต้องโต้คลื่นกรรมก็ย้ำใจ
ให้ผ่องใสเหตุผลพ้นปัญหา
สิ่งใดเกิดแต่เหตุเลศธรรมมา
ย่อมนำพาผลสู่ผู้ก่อการ
แสงรวีคลี่ม่านผ่านโลกหล้า
สองสายตาจับทิศจิตประสาน
มุ่งตรงสู่ผลสุดท้ายหมายพบพาน
พ้นกันดารเกษมสุขสิ้นทุกข์ภัย
28 มกราคม 2547 10:40 น.
พี่ดอกแก้ว
กวีหรือคือใคร....ใคร่รู้จัก
จะถามทักความนัยไถ่ปัญหา
เมื่อเขาเรียกกวีมีชั้นตรา
ฟังแล้วรู้สึกว่าเป็นอย่างไร?
งานกวี..เป็นเช่นใดก็ใคร่รู้
ต้องเป็นงานชั้นครูนั้นใช่ไหม?
มีระเบียบบรรทัดฐานประการใด
ไม่แจ้งใจกับกฎบทกวี
กวีหรือคือใคร...ใคร่เรียนร่ำ
ใช้ผู้นำทัศน์ใหม่ในวิถี
หรือผู้ปรับปรุงรสพจนีย์
ประทับตีตราผ่านการร้อยกลอน
งานกวี..เป็นเช่นใดใคร่เชยชม
ใช่นิยมเพียงเสียงเรียงอักษร
หรือสมเหตุสมผลบนวรรคตอน
ถ้อยสุนทรเช่นโบราณจารวจี
ความแตกต่างอย่างหนึ่งที่พึงรู้
คือเห็นผู้สร้างสรรค์วรรณศรี
บ้างก็คมคายคำล้ำวาที
บ้างก็มีคำฟุ่มเฟือยเอื่อยวาจา
ขอวาดหวังครั้งต่อไปได้เขียนพจน์
งามหมดจดรสกวีที่ภาษา
และสูงส่งด้วยนัยอักษรา
ให้คุณค่าแก่ผู้อ่านกานท์กลอนเอย
26 มกราคม 2547 19:56 น.
พี่ดอกแก้ว
หมายบุปผาคราแย้มแต้มเติมช่อ
นวลลออซาบกลิ่นระรินสาย
คลองจักษุลุภาพอันเพริศพราย
บัญชาใจให้คลายจากหนักทรวง
เพลินนิยมชมลดาคราอรุณ
กลิ่นหอมกรุ่นยวนใจให้แหนหวง
จึงเอื้อมช่อเชยรักหมายตักตวง
เพราะตกบ่วงความงามยามต้องตา
พลันพบหนอนซอนเคล้ากลีบเบาบาง
ความเคลือบคลางแคลงฤทัยใฝ่ถลา
คลองจักษุส่งสัญญาณผ่านอุรา
แล้วบัญชาให้แหนงแสลงใจ
ภาพงดงามหายไปในความหลง
สิ้นจำนงโดยพลันเพราะหวั่นไหว
ด้วยรังเกียจหมู่หนอนที่ชอนไช
ใจเปลี่ยนไปเพราะทาสขาดปัญญา
ดวงดอกไม้มิได้งามตามที่เห็น
ใจนั่นเองที่เป็นต้นปัญหา
เพราะความชอบสีสันนวลวัณณา
จึงพัดพากิเลสพราวคราวชอบใจ
พอชิดใกล้ได้เห็นเช่นรอยหมอง
ความขัดข้องเคืองโกรธก็โลดไหล
มูลโทสะคละเคล้าแผดเผาไฟ
ปัญหาใจเปลี่ยนโจทย์โทษเรื่องราว
เพียงสองตาพาชีวิตให้ติดกับ
ไม่อาจนับผลพวงล่วงสืบสาว
ถึงมีความกระจ่างอยู่พร่างพราว
มิอาจสาวแสงสว่างสู่กลางใจ
แม้นคืนนี้หรี่ลิบไร้พริบแสง
หากใจแจ้งจักพาดวงตาไสว
เห็นทุกสิ่งด้วยแสงจากห้วงใจ
พ้นผองภัยไร้ทุกข์รุกชีพตน
26 มกราคม 2547 19:51 น.
พี่ดอกแก้ว
กัมปนาทฟาดเปรี้ยงเสียงพิโรธ
ทุ่มความโกรธผ่านวิชชุที่ลุไล่
ทำลายภูตรงหน้าให้สาใจ
ฟาดลงไปสะกิดปลิวเป็นริ้วรอย
คราวเยือกเย็นเป็นวรรษามาซบเซาะ
เสียงเสนาะกล่อมผาคราเงื่องหงอย
ให้สดชื่นฟื้นชนม์ยามฝนปรอย
ลบร่องรอยอัสนีที่บีฑา
คราวอบอุ่นละมุนโลกโบกวายุ
คลายระอุเมทนีที่พื้นผา
กล่อมยอดเขาเร้าลมสมอุรา
นี่คืออารมณ์เพื่อนที่เยือนยล
ฉันเป็นเพียงภูผาศิลาแกร่ง
จะกี่แรงกัมปนาทที่ฟาดหน
ยังทะนงคงมั่นไม่หวั่นตน
รองอารมณ์ของคนเป็นเพื่อนกัน
ฉันเป็นเพียงภูผาศิลารัก
ให้สายฝนพิงพักยามวสันต์
ทอดเส้นสายพรายร่างให้พร่างพรรณ
มิเคยหันเหไปให้ไกลตา
ฉันเป็นเพียงภูผาศิลามั่น
มิมีวันเคลื่อนไปในใต้หล้า
รอสายลมพรมพริ้วเสมอมา
มิเคยลืมสัญญากับสายลม