2 กันยายน 2546 13:54 น.
พี่ดอกแก้ว
ในมุมหนึ่งซึ่งไร้ใครแลเหลียว
เป็นมุมเปลี่ยวปลดมาดที่อาจหาญ
เหลือเพียงใบหน้าเศร้าที่ร้าวราน
และความทุกข์คืบคลานเข้าสู่ใจ
สิ้นเสียงก้องร้องถามหาความหมาย
สิ้นสลายในรักเขาผลักไส
สิ้นสวาทขาดเยื่อไม่เหลือใย
สิ้นสุดในเส้นทางระหว่างเรา
เหลือเพียงความทรงจำย้ำเตือนใจ
ถึงวันที่เคียงใกล้ไร้ความเหงา
มีเพียงรอยแผลใจให้หลงเงา
เหลือเพียงเราเฝ้าใจใว้ลำพัง
2 กันยายน 2546 13:48 น.
พี่ดอกแก้ว
ริมนทีมีมนต์ขลังดั่งภาพวาด
ดารดาษเขียวขจีสีพฤกษา
สะท้อนเงาในงามจับตา
สายลมพัดแผ่วมาช่างสุขใจ
เรือลำน้อยลอยเลื่อนจากเรือนแพ
หมายมุ่งแท้สู่หมู่ไม้ที่สดใส
คลื่นเล็กเล็กพลิ้วระลอกชลาลัย
ธรรมชาติงามจับใจในอรุณ
หมู่เถาวัลย์พันเกี่ยวเหนี่ยวกิ่งไม้
ม่านแห่งไทรโบกสะบัดพัดไออุ่น
จิตรกรรมธรรมชาติช่างละมุน
กล่อมใจให้เห็นคุณของพงไพร
เลาะริมฝั่งยังแมกหมายที่หมายตา
พากันเหนี่ยวกิ่งพฤกษาทรงกายไว้
ปีนป่ายตามกิ่งก้านอย่างว่องไว
เสียงหัวเราะสดใสและเบิกบาน
สู่ยอดไม้เสียงใสใสเจรจา
ชวนกันชมท้องธาราสนุกสนาน
เห็นเรือนแพที่ผูกไว้ในสายธาร
ดุจเรือนชานวิมานสรวงล่วงแดนดิน
ครายามสายแสงแดดกรายให้ร้อนรุ่ม
จากยอดไม้มารวมกลุ่มเหนือสายสินธุ์
ลงเรือน้อยเพื่อคืนสู่วิมานดิน
เร่งฝีพายกันจนสิ้นทุกผู้คน
จ้วงไม้พาย วาดลงไป ในผืนน้ำ
อนิจจา เรือเพลี่ยงพล้ำ เริ่มสับสน
ไปตามแรง แห่งความเชี่ยว ของสายชล
ลำน้ำวน เรือหมุนคว้าง กลางนที
เสียงตะโกน ลั่นไป ที่ชายฝั่ง
ให้ระวัง อันตราย ให้รีบหนี
เขาเปิดเขื่อน ปลดปล่อย สายวารี
กระแสเชี่ยวไหลปรี่ ทะลักมา
เรือลำน้อยค่อยค่อยจมกระแสสินธุ์
ต่างแหวกว่ายหาแผ่นดินต่างไขว่คว้า
ยึดเหนี่ยวกิ่งกอไม้ริมธารา
ไม่นำพาต่อเรียวหนามตามเกี่ยวกาย
เกือบจะทิ้งชีวิตไว้ในสายน้ำ
ความงดงามในยามเช้าสิ้นสลาย
เหลือแต่ริ้วรอยแผลตามร่างกาย
กับนาทีเป็นตายให้จดจำ
2 กันยายน 2546 07:45 น.
พี่ดอกแก้ว
แม้เป็นเพียงความฝัน
ที่ฉันคิดไปฝ่ายเดียว
แม้เธอไม่แลเหลียว
เห็นเป็นเพียงเศษเสี้ยวธุลี
ก็ยังคงมั่นใจ
และจะรักเธอไปอย่างนี้
อย่าถามกี่เดือนปี
เพราะเทียบเท่าชีวีที่ยืนนาน
ขออยู่ตรงนี้ได้ไหม
แม้ไกลเกินจะเรียกขาน
แต่เป็นความชื่นบาน
ที่ได้พบพานกันไกลไกล
แม้นรู้ว่าปวดร้าว
ผะผ่าวน้ำตารินไหล
ที่เห็นเธอเคียงใคร
แม้ต้องเสียใจก็ยอมทน
2 กันยายน 2546 07:40 น.
พี่ดอกแก้ว
กวีเปรียบเทียบน้ำตามอารมณ์
ยามสุขสมท่านหมายคล้ายกระจก
สะท้อนภาพงดงามตามหยิบยก
ทั้งภาพบกภาพฟ้าตราตรึงจินต์
ยามขมขื่นท่านหยิบยื่นคำคลุ้มคลั่ง
ที่โถมฝั่งซัดคลื่นกลืนจนสิ้น
เกรี้ยวกระแสแพ้ลมตรมชีวิน
ชลสินธุ์ผินสายกลายโลกันต์
ยกแผ่นน้ำข้ามใจไปพิสูจน์
ถึงคำพูดท้วงเทียบมาเปรียบสรรค์
หากใจหรือคือน้ำความสำคัญ
ก็จักต้องมีวันควบคุมใจ
เมื่อลมริ้วปลิวสายกลายเป็นคลื่น
คือใจตื่นต่ออารมณ์ที่ขมไหม้
ความขมเข้มคือกระแสวาตภัย
ที่ทำให้ไหวสะท้อนเป็นลอนเพลิง
ยามน้ำเรียบเปรียบสงบพบกุศล
มิร้อนรนปัญหาพายุ่งเหยิง
ไม่หวั่นไหวไร้ลมคอยระเริง
จึงสิ้นเพลิงคลุ้มคลั่งยั้งทำลาย
หากจะเปรียบเทียบน้ำตามใจฉัน
หมายจิตนั้นคือน้ำที่ผ่องสาย
มิคลุ้มคลั่งพังใครให้วอดวาย
เป็นเพียงน้ำพร่างพรายไม่ร้ายแรง
แต่สายน้ำนั้นมีสีที่ต่าง
สะอาดบ้างขุ่นข้นจนกินแหนง
เปรียบจิตดีคือน้ำใสไร้จำแลง
เปรียบจิตร้ายระแวงคือน้ำครำ
อันความใสคือมุ่งใส่ความงดงาม
ลงในน้ำแม้ขุ่นจนหนาคล้ำ
ยิ่งเนิ่นนานสารใสใส่ประจำ
ขุ่นน้ำครำก็จะคลายกลายน้ำดี
ตกตะกอนนอนก้นจนเห็นชัด
เพราะบำบัดน้ำใสให้ไร้สี
แล้วกำจัดตะกอนนอนชีวี
เป็นวิธีทีละขั้นอย่างมั่นใจ
คือหนทางรักษ์ใจให้คลายโทษ
อันความโกรธ โลภ หลง ปลงนิสัย
อย่าเพียรเติมเพิ่มความทรามลงไป
เทความใสใส่สงบจบนิวรณ์
2 กันยายน 2546 07:32 น.
พี่ดอกแก้ว
เสียนวลครวญคร่ำระกำจิต
เสียมิตรมืดหน้าน้ำตาไหล
เสียตัวมัวเมาเคล้าพิษภัย
เสียใจในเขลาเมามายา
เสียมิ่งสิ่งถนอมตรอมคิด
เสียจริตเพราะใฝ่ในปัญหา
เสียแล้วเสียไปไม่คืนมา
เสียแล้วจึงรู้ค่าที่เสียไป
เสียรู้สู้ยอมรับกับพลั้ง
เสียหวังเพราะชะล่าว่าเป็นใหญ่
เสียโอกาสพลาดแล้วก็พลาดไป
เสียใจก็เท่านั้น...พึงหมั่นทบทวน