15 กันยายน 2546 09:53 น.
พี่ดอกแก้ว
ในรังสีสุรีย์ฉายกายก้าวย่าง
สู่เส้นทางบากบั่นมั่นเป้าหมาย
ผ่านความเหน็ดเหนื่อยยากมามากมาย
ด่านเรียงรายรอรับกับชีวัน
ร้อนรุ่มร้อนถอนใจในทางก้าว
ยังทอดยาวไม่รู้จบวันพบฝัน
หมดแรงเอื่อยเหนื่อยท้อพ้อรำพัน
เมื่อใดจักถึงวันที่พบชัย
กายอ่อนล้าใจอ่อนค่าไม่เข้มแข็ง
อุปสรรคเชี่ยวแรงยิ่งหลามไหล
โถมทำนบทบประตูเข้าสู่ใจ
ความถวิลรินไหลไปทั่วทรวง
ตะวันรอนตอนค่ำย่ำราตรี
พบแสงสีจากดาวดูพราวสรวง
คลายความอ่อนผ่อนใจไปทั้งดวง
ได้พบช่วงเยือกเย็นเห็นดารา
ขอหยุดเท้าพักก้าวให้เข้มแข็ง
อยู่ใต้แสงดาวระยิบวิบเวหา
เติมความฝันสรรค์ใจให้โสภา
ประทับแสงดาริกาเข้าสู่ใจ
ขอทุกก้าวพร่างพราวด้วยคุณค่า
ดุจดาราส่องแสงความสดใส
กี่รอยเท้าที่ก้าวเดินต่อไป
จงเปี่ยมหวังดังไฟในดารา
ทะเลดาวพราวฟ้าที่ปรากฏ
จารจรดคำมั่นที่ฝันหา
ไม่เคยมืดมิดไปในมายา
แต่เจิดจ้าจับใจไปทุกยาม
13 กันยายน 2546 06:36 น.
พี่ดอกแก้ว
ในดวงจิตสถิตไว้หลายสิ่งนัก
ผู้ที่จักพบได้ต้องใจนิ่ง
มีสติสังเกตพิเศษจริง
จะพบสิ่งแปลกปลอมห้อมล้อมใจ
เมื่อแรกรู้ดูอารมณ์ที่ข่มจิต
ว่าเป็นมิตรหรือศัตรูผู้ควรไส
ที่รู้สึกตามมานั้นเช่นใด
เป็นสุขใจหรือทุกข์ที่รุกตน
หากเป็นสุขในกุศลผลเอิบอาบ
ก็ซึมซาบสุขไว้ในโภชน์ผล
หากเป็นทุกข์รุกใจให้พิกล
ก็พิศตนดูตามความเป็นไป
เพราะอารมณ์สิ่งใดไหนกันเล่า
ที่คลุกเคล้าจนเกิดความหวั่นไหว
ให้รู้สึกโลภหลงอยู่ภายใน
และโกรธไปในสิ่งอิงทวาร
หากเป็นคำพูดคนบนโทสา
ที่แช่งด่าตำหนิติหักหาญ
ก็เพียงคลื่นเสียงกระทบสบทวาร
เกิดโสตวิญญาณคือได้ยิน
สิ่งที่ทำให้ใจได้รับโทษ
คือความโกรธที่แปลคำตามท้องถิ่น
มิเคยมีความรู้สึกแค่เพียงยิน
ใจจึงบินไปตามความถือตน
ว่าตัวเขาตำหนิเรา..ไม่เข้าท่า
ว่าเสียงเขากล่าววาจาที่หยาบล้น
ว่าเขามุ่งความหมายเชือดกมล
ว่าเขาด่าเราเสียจนไม่เหลือดี
เพราะตัวตน ..ทุกคน..จึงถือโกรธ
จำบัญญัติมาเพ่งโทษกันอย่างนี้
วิปลาสติดตัวที่มากมี
มาช่วยแปลอีกทีในถ้อยคำ
จึงผิดซ้ำผิดซากจากการรู้
ไร้ปัญญาตามดูจึงเพลี่ยงพล้ำ
ไม่รู้จักวิบากคือผลกรรม
ที่เคยทำตามมาคราทันกาล
หากเกรี้ยวโกรธโทษเขาเรายิ่งบ้า
ถือเสียงเป็นวาจาน่าประหาร
ถือตัวเขาตัวเราทุกวันวาร
หมดซึ่งญาณพิเคราะห์เพราะไร้ธรรม
13 กันยายน 2546 06:21 น.
พี่ดอกแก้ว
ความใสงามยามตะกอนได้นอนก้น
ทำให้ชลห่างภัยไร้ปัญหา
เพ่งผืนน้ำแผ่นใสในธารา
เห็นทุกสิ่งชัดตาที่ว่ายวน
ดุจดังใจได้สงบจบขุ่นข้อง
กิเลสกองเบื้องล่างอย่างพื้นหน
ไม่หลากข้นท้นใจให้ร้อนรน
จึงเป็นคนงดงามยามเยือกเย็น
แต่หากใครกวนใจให้ตะกอน
ได้โผล่พลุ่งสัญจรอย่างเคืองเข็ญ
คนงดงามจะทรามตามกระเส็น
เปื้อนผู้อื่นจนเป็นด่างร่องรอย
ความสงบจึงไม่จบสิ้นปัญหา
แต่ต้องใช้ปัญญาอย่าล่าถอย
เติมน้ำใหม่ไล่ตะกอนนอนทะยอย
ขับโคลนตมสิ้นรอยจากพื้นใจ
แม้นเวลาเนิ่นนานกี่ปานวรรษ
น้ำยังนิ่งสงัดงามสดใส
ถึงใครกวนรวนคำทำการใด
มิกระทบถึงภัยได้อีกแล้ว
12 กันยายน 2546 05:44 น.
พี่ดอกแก้ว
หมอกโรยสายรายล้อมกรอบเรือนไม้
ดูพร่างพรายพลิ้วภาพอาบไอฝัน
วิมานแมนแสนงามอร่ามพรรณ
ก็ปรากฏกลางไพรวันในทันที
หนาวชำแรกแทรกลมมาห่มป่า
กล่อมนิทราชาวไพรให้สุขขี
ความชุ่มเย็นชะล้างลางอัคคี
ให้ผ่อนกายพ่ายหนีไปชั่วคราว
หลับเถิดหนาอย่าร้อนรุ่มกลุ้มดวงจิต
ชำระพิษเพลิงใจไล้ลมหนาว
เมื่อวันพรุ่งรุ่งแสงแจ้งอีกคราว
บนภูหนาว...จะสวยงามตามตะวัน
11 กันยายน 2546 20:58 น.
พี่ดอกแก้ว
ระเบียงบรรณพรรณรายพรายแสงสูรย์
เจิดจำรูญสะท้อนแพรวแวววาบไหว
ประกายทองส่องสะท้อนก่อนครรไล
แล้ววูบวับลับไปกับสุรีย์
เสียงกังวานประสานมนต์ดลวัตรค่ำ
สาธยายพระธรรมเป็นสักขี
จรรโลงศาสตร์บริสุทธิ์พุทธมณี
ประนมน้อมอัญชุลีพระศาสดา
ยะเยือกเย็นดื่มด่ำคำพระกล่าว
ถึงเรื่องราวคำสอนพระศาสนา
พลันประกายโชติช่วงชวาลา
ก็เจิดจ้ากลางใจทำลายกาฬ
ความมืดมนภายนอกเพียงบอกว่า
กาลเวลาล่วงไปไร้แก่นสาร
คุณความดีอยู่ที่ใจบันดาล
ทำลายม่านอวิชชาฆ่าศัตรู
บังคมน้อมค้อมกายถวายเศียร
แด่พระผู้ทรงเพียรตรัสรู้
แด่พระธรรมล้ำค่าควรเชิดชู
แด่พระสงฆ์องค์ผู้สืบสานธรรม