5 สิงหาคม 2546 20:33 น.
พี่ดอกแก้ว
กระพริบตาพร่าเลือนเหมือนได้พบ
ไออุ่นนั้นยังอบอวลผิวแผ่ว
สัมผัสยิ่งกล่อมใจในรักแล้ว
สำเนียงแว่วกระซิบหวานผ่านโสตมา
ถามถึงความห่วงใยคราไกลกัน
ทุกคืนวันรู้ไหมใครห่วงหา
คำอ่อนหวานพร่ำขานเจรจา
ทบทวนคำสัญญาให้คำนึง
จึงลอยล่องท่องใจไปกับฝัน
ใครคนนั้นมาใกล้ชิดให้คิดถึง
รูปรอยยังฝังใจให้ตราตรึง
คำหวานซึ้งยังกึกก้องในห้องใจ
กระพริบตาพาใจให้รับรู้
แท้เพียงผู้เพ้อรักหนักพิษไข้
ใครคนนั้นยังคงอยู่ไกลแสนไกล
ได้แต่รอว่าเมื่อใดจักคืนมา
5 สิงหาคม 2546 14:57 น.
พี่ดอกแก้ว
อันยศศักดิ์อัครฐานตระการทรัพย์
หาใช่รับประกันถึงนิสัย
ตระกูลวงศ์พงศ์เผ่าจากเหง้าใด
ก็มิใช่วัดคุณค่าว่าเป็นคน
ทรัพย์สมบัติมากล้นปรนเปรอให้
ก็เป็นเพียงเครื่องไร้ความขัดสน
หากศีลทานราญบิ่นสิ้นกมล
คำว่าคนก็หมดค่าราคาบุญ
อยู่ตรงไหนในความเป็นมนุษย์
ที่สูงสุดปัญญาพาอุดหนุน
คือเมตตาอารีมีค่าคุณ
รู้จักบุญจักบาปทราบเรื่องกรรม
แม้นต่ำต้อยด้อยยศลดสรรเสริญ
ก็มีสิทธิจำเริญความเลิศล้ำ
ให้มีค่าควรคนบนรอยกรรม
เพื่อสร้างธรรมสร้างทานสานความดี
5 สิงหาคม 2546 14:49 น.
พี่ดอกแก้ว
เกลื่อนกลิ่นซาบอาบนาสาคราใกล้รุ่ง
กลางท้องทุ่งริมลำธารผ่านวิถี
มวลไม้ดอกบอกช่อล้อรวี
ผ่านแสงสีรุ่งรางกลางทุ่งทอง
ใบไม้หยอกบอกรักทักดอกไม้
ฝากหัวใจไว้ตรงนี้ที่เราสอง
อาบกลิ่นหอมย้อมใจให้ปรองดอง
และใฝ่ปองรักนี้ที่รักเดียว
เก็บดอกไม้มาถักร้อยเป็นสร้อยรัก
หมายสมัครหนึ่งใจให้แลเหลียว
รวมกลิ่นหอมงดงามความกลมเกลียว
มอบแด่เธอผู้เดียวนิจนิรันดร์
4 สิงหาคม 2546 23:04 น.
พี่ดอกแก้ว
ชั่วหายใจผ่านลับอาจดับจิต
สิ้นชีวิต ..สิ้นฝัน..อันสดใส
สิ่งที่สร้าง..เสกสรรค์..กีดกันไว้
จะนำไปได้กี่อย่างเมื่อวางวาย
หายนะคละคลุ้งพลุ่งกลิ่นสาป
ที่ทาทาบโลกพิษจิตสลาย
เพราะมัวเมาเขลามุ่นขุ่นมิคลาย
สร้างลวดลายอบายบาปอาบโลกงาม
เมื่อชีวิตยังมิไร้หายใจแล้ว
จะแน่แน่วความดีที่ถิ่นสาม
คือกายา วาจา และใจงาม
ให้ต้องตามคำสอนบวรวงศ์
แม้นจักพบสบร้ายที่หมายร้าง
จะมิจางแจ้งธรรมย้ำประสงค์
บำเพ็ญทานสานศีลอย่างมั่นคง
เพื่อดำรงมรดกธรรมให้ล้ำกาล
4 สิงหาคม 2546 15:27 น.
พี่ดอกแก้ว
ทีละนิด..ทีละน้อย..ค่อยประสาน
อณูแห่งวิมานที่อ่อนไหว
เป็นเมฆขาวพราวพร่างนภาลัย
ก็เคลื่อนไปตามลมที่พรมปลิว
เป็นกลุ่มก้อนสอนใจให้จินตา
ประดับฟ้าล่องลอยเป็นรายริ้ว
สมมุติลักษณ์ถักรูปรอยไปเรื่อยลิ่ว
ยามเมฆปลิวรวมกลุ่มรุมฟ้างาม
คราอุตุเปลี่ยนแปลงแจ้งความกด
อากาศลดรวมเมฆเสกให้คร้าม
ละอองน้อยคล้อยเคลื่อนเลื่อนติดตาม
กลายเป็นความหนาแน่นบนแผ่นฟ้า
แล้วครั่นครืนสะอื้นสั่งเสียงดังลั่น
แยกตัวพลันกลายเป็นฝนหล่นเป็นห่า
จนพอใจคลายฤดีที่อ่อนล้า
ดั่งโทสาหมดแรงแสดงฤทธิ์