9 กรกฎาคม 2546 06:00 น.
พี่ดอกแก้ว
เมาไม่ขับ ...หลับใน....ให้จอดรถ
เคารพกฎ...จราจร...ไม่บ่อนใบ้
รักษาทาง....มารยาท ...ไม่ปาดไป
ไม่ซิ่งแข่ง...แซงไล่....ให้รบกวน
มิใช่เพียงตัวเองจะช้ำชอก
หากพลาดพลั้งวิ่งออกเจอรถสวน
ไม่หยุดยั้งรั้งรถไม่ให้รวน
สิ่งไม่ควรอาจเกิดได้ในพริบตา
มือถือพวงมาลัยใจถือกฎ
จะขับรถต้องระวังทั้งซ้ายขวา
ชีวิตตนและผู้อื่นนั้นมีค่า
และรักษาค่านี้ให้มีนาน
9 กรกฎาคม 2546 05:55 น.
พี่ดอกแก้ว
หวานใดล้ำคำรักมาทักถาม
เพียงชั่วยามก็หวามหวานซ่านแดนสรวง
ฤดีดอมหอมรักตลบอวล
ตราตรึงจิตพิษรัญจวนซึมซาบใจ
คีตกานท์สานเพลงรักสลักถ้อย
บรรเลงกล่อมหัวใจน้อยให้ฝันใฝ่
ลอยละล่องท่องทำนองของห้วงใจ
ร่ายกวีพลีดวงใจไว้เพื่อรัก
ลมรำเพยเชยกลิ่นสุคนธา
เคลือบนาสาให้หอมหวานสานสลัก
รัดรึงใจให้แน่นิ่งในความรัก
มิอาจผลักสลักใจให้ไหวติง
จะขออยู่ดูห้วงฟ้าคราจันทร์ฉาย
เพื่อวาดลายรักแท้แก่ทุกสิ่ง
จะวาดรักให้มวลมิตรได้พึ่งพิง
จะวาดทุกทุกสิ่งให้สวยงาม
ฟังเพลงพิณ กลิ่นสุคนธ์ ดลใจนัก
ให้ตระหนักในมวลมิตรจิตวาบหวาม
แว่วคำรัก ที่มิเลือน เคลื่อนตามยาม
แม้นเดือนแรม ยังคงความ สว่างใจ
แม้นพิบัติพลัดพรายกระจายถิ่น
ต้องยลยินทุกข์ยากฉากโหยไห้
มิเคยคิดลืมเลือนเป็นเพื่อนใจ
เธอที่รักอย่าหวั่นไหว.ในรักเลย
9 กรกฎาคม 2546 05:41 น.
พี่ดอกแก้ว
ตะวันลาฟ้าหมองครองความหม่น
ผ่านเวลามาจนใกล้พลบค่ำ
กายที่แกร่งเริ่มอ่อนแรงแฝงความช้ำ
ใจที่ตรำตรากการงานถึงกาลโรย
มองลำแสงสุดท้ายที่ปลายฟ้า
เอ่ยคำลากับดวงใจที่แห้งโหย
อย่าสิ้นแรงพร้อมตะวันที่ร่วงโรย
เจ้าจงโปรยรัศมีที่งดงาม
ยังมีผู้มืดมิดไร้ทิศหลง
และบุกฝ่าป่าดงกลางพงหนาม
ในคืนค่ำราตรีที่คล้อยยาม
รอรับความช่วยหลือเกื้อชีวี
อย่าเสียดายมาลีที่กลีบท้อ
และพันห่อเกสรซ่อนลายสี
จงไปดอมบุปผาราชาวดี
ส่งกลิ่นหอมย้อมเสรีราตรีกาล
ตะวันเร้นเช่นหลบหน้าอย่าท้อทอด
จงโอบกอดบุหลันไว้ด้วยใจหาญ
ทุกนาทีมีค่าเอนกการณ์
ใช่ทุกสิ่งจะอวสานต์เพระตะวัน
จะขืนดวงจันทราอย่าปรากฏ
จะรั้งรถทินกรอย่าคลอนฝัน
ไม่อาจรั้งหรือขืนได้ดุจเดียวกัน
ต่างเส้นทาง..ต่างความฝัน...ถึงวันลา
9 กรกฎาคม 2546 05:35 น.
พี่ดอกแก้ว
ตรึงใจในมนต์ดลจิต
เพียงพิศคลื่นเล่ห์เสน่หา
เมามายกับสายธารา
พร่างพร่ากับทรายร่ายมนต์
หลงลมชมวิวทิวทัศน์
คลื่นซัดแกล้งทรายหลายหน
หยอกเย้าเคล้าเมทนีดล
ทิวสนพริ้วไหวคล้ายพ้อ
รอคอยรอยคำรำพัน
รักนั้นจริงหรือหยอกล้อ
ฤามนตราเสื่อมแล้วหนอ
จึงพ้อกับห้วงทะเล
8 กรกฎาคม 2546 20:51 น.
พี่ดอกแก้ว
เมื่อโบกโบยโปรยหมอกกลอกเมฆคล้ำ
ความระกำแผ่ซ่านปานมารสิง
ใจระรัวกลัวภัยให้เกรงกริ่ง
เห็นทุกข์สิ่งเป็นทุกข์ไม่สุขใจ
เขม้นมองจ้องฟ้าคราครึ้มฝน
หมายท่องบ่นมนต์สู้กู้ความใส
ยิ่งคลุ้มคลั่งถั่งโถมโหมในใจ
มรสุมคลุมไหวไม่แน่นอน
พินิจความมืดมนบนฟากฟ้า
และเร่งหาหนทางอย่างครั้งก่อน
มีแสงเรืองเปลื้องเมฆมาสะท้อน
เร่งสังวรภาวนาครามืดมน
พบรอยแยกแตกช่องให้มองเห็น
พลันฟ้าแปลบแลบเป็นวิชชุหน
ถึงสามครั้งรั้งจิตพินิจตน
สำเร็จผลวชิรูปมาธรรม
สิ้นกิเลสทุกเศษเสี้ยวอนุสัย
สว่างไสววิปากธรรมนำสู่ผล
พ้นจากเมฆหมอกร้ายใจหลุดพ้น
หมดจากหนสังสารสิ้นกาลเอย.