4 ตุลาคม 2546 11:11 น.
พี่ดอกแก้ว
ริบหรี่ลงตรงปลายเทียนที่เนียนแสง
เคยสว่างกระจ่างแจ้งแข่งแขไข
มาวูบวับวิบลงตรงกลางใจ
โรยแรงไฟไร้แรงเพลิงให้เริงชนม์
ฝ่าเหนื่อยยากตรากตรำจนชำนาญ
ไม่เคยขานท้อใจเลยสักหน
เพียงเพื่อหมายส่องทางกระจ่างมล
แก่ปวงคนเยาว์วัยให้ไตร่ตรอง
รู้ความดีหนีความร้ายไม่กรายกล้ำ
และลอบย้ำปัญญาพาพ้นหมอง
สร้างนิเวศน์เขตไทยใฝ่ประคอง
ด้วยครรลองของใจได้พัฒนา
ในสว่างกระจ่างนั้นพลันเผาไหม้
เล่มเทียนให้ละลายตนบนศาสนา
พลีชีพพร้อมน้อมใจในพุทธา
ชุบชีวาท้าแรงกรรมนำแสงไฟ
ผ่านมาเกินกึ่งหนึ่งครึ่งเทียนแล้ว
ลมพัดแผ่วน้ำตาเทียนยิ่งเวียนไหล
ความสว่างเริ่มลดลงในทันใด
รัศมีแห่งไฟก็แคบตาม
เหลียวมองหาเทียนใหม่ให้ต่อแสง
ทุกหนแห่งมีแต่รอยคอยเหยียดหยาม
ไม่มีเทียนเล่มใหม่ที่งดงาม
มาต่อความสว่างให้พร่างใจ
อีกไม่นานกาลหนึ่งถึงเบื้องหน้า
ชวาลาคงดับเพราะหลับไหล
ด้วยหมดแรงแห่งกรรมนำชีพไป
สู่วงเวียนวัฏฏ์ใหม่ไม่รู้วาร
4 ตุลาคม 2546 11:03 น.
พี่ดอกแก้ว
ชีวิตคนหนึ่งคนบนโลกนี้
ล้วนมากมีเรื่องราวให้กล่าวขาน
มีความหวังตั้งไว้ในวันวาน
และถักสานใส่ฝันวันต่อไป
ผ่านทางเลี้ยวทางแยกคนแปลกหน้า
พบศาลาพักร้อนนอนผ่อนไข้
บางครั้งพบความหนาวจนร้าวใจ
บางครั้งเห็นแสงไฟตอนมืดมน
ลวดลายกรรมนำชีวิตให้คิดผัน
แต่ละวันหมุนเวียนเปลี่ยนสับสน
กำหนดทางอย่างทะนงองอาจตน
ทั้งที่ไม่รู้หนจะก้าวเดิน
เพียงแต่ใจไม่ไร้สิ้นความกล้า
หวังทายท้าขวากหนามข้ามโขดเขิน
ทั้งคนดีคนร้ายหมายเผชิญ
เส้นทางเดินสู่เป้าหมายที่ใฝ่ปอง
ความสำเร็จสมหวังดังใจฝัน
มีความมั่นมุ่งใจไม่หม่นหมอง
กล้าจะก้าวเท้าตามความหมายปอง
ปลายทางต้องถึงสักวันฉันมั่นใจ
2 ตุลาคม 2546 05:46 น.
พี่ดอกแก้ว
อวลละมุนอุ่นไอในความรัก
เฝ้าถามทักห้วงใจให้ครวญหา
ความคิดถึงตรึงกระแสแผ่สัญญา
ติดตามมาทวนคำตอบที่ชอบใจ
สำเนียงหวานยังแว่วแผ่วริมหู
ที่เคยบอกให้รู้รักเพียงไหน
ใจก็จำย้ำคำหวานประสานใจ
จนแน่นหนักทรวงในทุกเวลา
คราวที่ผ่านกาลทุกข์รุกโรมไล้
ไม่มีใครมีเพียงคำที่ล้ำค่า
ก่อพลังยิ่งใหญ่ในวิญญา
ปลุกความกล้าไม่ท้อต่อเภทภัย
กี่ครั้งคราวหนาวร้อนย้อนเป็นพิษ
กระแสรักแห่งจิตอันผ่องใส
ก็คลายร้อนถอนหนาวที่ร้าวใจ
ให้เยือกเย็นอยู่ในรักศรัทธา
จะเนิ่นนานปานไหนไม่อาจรู้
ความรักยังคงอยู่อย่างแน่นหนา
ทุกครั้งคราวที่หายใจในชีวา
คำสัญญามิเคยเลือนเคลื่อนจากใจ
อวลละมุนอุ่นใจในรักแท้
มิเคยแปรเปลี่ยนผันแม้วันไหน
ถึงจะอยู่ห่างกันไกลแสนไกล
กระแสรักยิ่งใหญ่ไม่เคยจาง
2 ตุลาคม 2546 05:41 น.
พี่ดอกแก้ว
เมื่อได้รับสัมผัสรัดรึงจิต
สร้างนิมิตต่อเนื่องเรื่องตัณหา
คราวที่ชอบกอปรในอภิชฌา
ยามที่ล้าโทมนัสสกัดใจ
ตาเห็นรู้หูยินเสียงสำเนียงถ้อย
จมูกคอยสูดกลิ่นลิ้นชิมไล้
กายสัมผัสเย็นร้อนผ่อนพิษภัย
ทวารใจรับทราบฉาบอัตตา
หากกำหนดรู้ได้ในอารมณ์
จะไม่ขมขื่นใจในตัณหา
แยกเป็นรูปและนามตามธรรมา
ได้ปัญญาคราสัมผัสตัดวัฏฏ์กรรม
คือหนทางย่างไปให้พบสุข
พ้นจากทุกข์เกี่ยวคล้องกองความช้ำ
รู้สิ่งเดียวรู้ที่ใจไม่จดจำ
ไม่ต้องย้ำความอดทนบนทวาร
เมื่อสงบจากตัณหาในคราไหน
มีทวารหรือไม่ก็สุขสานต์
เพราะอารมณ์บ่มไว้ในนิพพาน
สิ้นสังสารการเกิดกำเนิดชนม์
2 ตุลาคม 2546 05:37 น.
พี่ดอกแก้ว
ช่วงรอยต่อก่อกาลให้สานฝัน
หมดตะวันสนธยาคราสิ้นแสง
ความหวังยามเหนื่อยล้าก็กล้าแรง
ด้วยปลอบแปลงแสงดาวสาวสู่ใจ
กายเหนื่อยอ่อนอ้อนวอนขอที่พัก
ได้รู้จักดาวศรัทธาบนฟ้าใส
พบแสงเดือนเตือนตาคราห่างไกล
ฝันในใจลอยล่องฟ่องโพยม
คราราตรีเคลื่อนไปในอรุณ
ฝันละมุนแปลงร่างอย่างฮึกโหม
สดับเสียงสกุณามาเล้าโลม
กล่อมประโคมฤดีที่ชีวิต
ฉากเปลี่ยนผันฝันเปลี่ยนด้านตามกาลแล้ว
ใจที่แผ่วสู้ต่อไปหมายลิขิต
สร้างสาระยิ่งใหญ่ให้มวลมิตร
แม้นมีสิทธิ์เพียงขณะ...จะกระทำ