11 มิถุนายน 2546 06:00 น.
พี่ดอกแก้ว
.....มองหนทางข้างหน้ามาแต่เช้า
สองตาเฝ้ารอคอยละห้อยหา
อยากจะเห็นใครคนนั้นเดินกลับมา
พร้อมรอยยิ้มเกลื่อนหน้าและทักทาย
....ตะวันคล้อยลอยเลื่อนเคลื่อนสูงแล้ว
ยังไม่มีวี่แววที่มาดหมาย
ตะวันเคลื่อนเลื่อนคู่เข้าสู่บ่าย
ไม่มีสายตาใครให้สบตา
...ตะวันย่ำค่ำแล้วโอ้แก้วเอ๋ย
ไฉนเลยยังไม่กลับคืนมาหา
มองหนทางอย่างนี้ตลอดมา
นับเวลาผ่านได้เป็นหลายปี
อยู่แนวไพรไกลนักพักในป่า
จากบ้านเมืองสู่พนาด้วยหน้าที่
รักษาชาติให้คงอยู่บนปฐพี
ใช้ชีพนี้พิทักษ์รักษาแดน
คนที่รออยู่เบื้องหลังยังคิดไหม
ว่ามีใครต้องลำบากอย่างสุดแสน
รักษ์แผ่นดินปกป้องถิ่นพร้อมตายแทน
หัวใจนี้มาตรแม้นมอบให้เธอ
เพราะความรักจึงยังความหวังไว้
ให้ตั้งจิตตั้งใจได้คืนหวน
มิต้องการพลัดพรากและเรรวน
หลายชีวิตต่างล้วนหวังเรื่อยไป
หวังสิ่งนั้นสิ่งนี้มีแต่หวัง
คิดเป็นจริงเป็นจังหวังสดใส
ยามผิดหวังจึงต้องนองชลนัยน์
ในหัวใจมีแต่แผลแก้ไม่คลาย
11 มิถุนายน 2546 05:49 น.
พี่ดอกแก้ว
.....ตะวันทอแสงอ่อนก่อนอรุณ
สัมผัสกลีบละมุนมวลดอกไม้
ขับสีสันให้กระจ่างพร่างพฤกษ์ไพร
ส่งกลิ่นหอมละไมไปกับลม
สายลมไหว..กลิ่นดอกไม้ก็กรายถิ่น
แมลงภู่เพียรโบยบินมาสู่สม
สัมผัสกลีบ.ดอกไม้.ได้เชยชม
และผสมเกสรก่อนจากไป
ธรรมชาติอิงอาศัยให้ประโยชน์
มิเคืองโกรธ หวงแหน แค้นสิ่งไหน
สุริยายังสาดแสงอยู่เรื่อยไป
มวลดอกไม้แย้มบานรับกับอุทัย
หมู่ภมรก็บินร่อนลงเชยกลิ่น
ผสมสิ้นเกสรก่อนผลักไส
เป็นพืชผลธรรมชาติดาษดื่นไป
หล่อเลี้ยงให้ชีวิตยั่งยืนมา
ทุกๆสิ่งมีหน้าที่ของตนเอง
อย่าหวั่นเกรง สับสน หรือค้นหา
ทำหน้าที่เต็มกำลังสติ-ปัญญา
ผลแห่งงานจะเจิดจ้าเยี่ยงสุรีย์
11 มิถุนายน 2546 05:44 น.
พี่ดอกแก้ว
วงรีกลางวงล้อม
เสียงเห่กล่อมคลอขับขาน
ใสใสใจเบิกบาน
สนุกสนานสนทนา
แจ้วแจ้วแว่วคำหวาน
พจมานเสน่หา
น้ำใจกลับชืดชา
หมายเข่นฆ่าเมื่อคล้อยกัน
นาวาไมตรีจิต
หวังผูกมิตรเพื่อสร้างสรรค์
ล่องเรือลำเดียวกัน
กลับแปรผันไม่ช่วยพาย
เท้าถ่วงล่วงวารี
มิตรไมตรีลางเลือนหาย
กลายหน้ากลับท้าทาย
ไม่รู้ร้อนห่อนรู้ความ
ชิงชังอย่างไรหรือ
จึงไขสือแกล้งเกรงขาม
ลับหลังกลับประนาม
ให้เสียหายทำลายกัน
พายเรือเมื่อคลื่นซัด
จ้วงพายตัดคลื่นเหหัน
สู้คลื่นที่ครืนครัน
เหนื่อยหนักหนาฝ่าแรงลม
สู้คนบนลำเรือ
ไม่ช่วยเหลือกลับทับถม
รับมือกับคลื่นลม
ยิ่งช้ำตรมเพราะมิตรลวง
10 มิถุนายน 2546 23:44 น.
พี่ดอกแก้ว
ชีวิตไร้ความหมายเพราะไร้หวัง
ไร้กำลังก้าวไปในวิถี
เพียงหยุดนิ่งซึมเซาไม่เข้าที
เวลาที่ผ่านไป.ไร้ค่าควร
หวังจะก้าว..ก้าวพลาดขาดหลักมั่น
ก็ล้มพลันแผลลึกนึกไห้หวน
พอสะดุดจึงหยุดยั้งพลั้งโอดครวญ
ใจเรรวนเคืองโกรธโทษชะตา
ระทมหมองครองขวัญกับวันเก่า
ความปวดร้าวจากแผลเป็นเข้าเข่นฆ่า
เป็นรอยแผลในใจไม่สร่างซา
และโหยหาโอสถมารดใจ
กว่าจะชินกับแผลร้ายในความคิด
แทบทิ้งสิทธิ์สร้างหวังในครั้งใหม่
เกือบทิ้งร่างลงกลางชลาลัย
แล้วปล่อยให้คลื่นลมถมนที
เห็นแสงไฟอยู่ไกลไกลที่ปลายฝัน
ก็อึดพลันแหวกคลื่นฝืนวิถี
หวังไปถึงแสงทองส่องปฐพี
สร้างพลังกายีขึ้นอีกครา
ล้มอีกครั้ง..อีกครั้งอีกหลายครั้ง
แผลเป็นฝังริ้วรอยแห่งความกล้า
อนุสรณ์เตือนใจในมรรคา
แห่งผู้กล้าก้าวสู้ไม่รู้โรย ...
10 มิถุนายน 2546 23:39 น.
พี่ดอกแก้ว
บุปผาชาติที่งามเลิศดูเพริศแพร้ว
สวยสะอาดดุจดั่งแก้วที่แววใส
ส่งกลิ่นหอมให้เนิ่นนานสักปานใด
มิอาจเทียบกับจิตใจผู้เชยชม
ธรรมชาติสวยงามได้เพราะใจงาม
แม้นรูปทรามก็พิศได้ไม่ขื่นขม
มองด้วยใจได้คุณค่าไม่หมองตรม
ความระทมสิ้นสลายเพราะใจดี
ดุจรอยทรายมิเหลือลายแห่งรอยช้ำ
คลื่นซัดซ่านทุกเช้าค่ำไม่หมองศรี
ทรายยังคงปรับพื้นทรายใต้นที
โอบอุ้มน้ำให้โลกนี้ได้ฉ่ำเย็น