14 มิถุนายน 2546 21:34 น.
พี่ดอกแก้ว
มาลีวัลย์สันสีมีปรากฏ
ความสวยสดหอมละไมให้กลิ่นซึ้ง
ดึงดูดใจให้ผู้พบสบคะนึง
ติดตราตรึงในกลิ่นสีมาลีงาม
เชิดดอกงามพร้อมความสวยด้วยจารีต
อยู่ในขีดขอบจรรยาพาไหวหวาม
ไม่ทอดร่างลงดินให้สิ้นงาม
ก่อนถึงความโรยแรงแห่งห้วงวัย
ดอกไม้งามด้วยสีที่สร้างสรรค์
สตรีนั้นงามด้วยศีลอันสดใส
พร้อมวาจาไพเราะเสนาะใจ
หวานละไมด้วยคุณค่าน่านิยม
ยามชราครากาลร่วงผ่านพ้น
ทุกผู้คนยังเห็นค่าว่างามสม
เพราะกลิ่นศีลสลักไว้ให้ชื่นชม
หอมทวนลมแม้นจางสีมาลีพันธุ์
13 มิถุนายน 2546 21:08 น.
พี่ดอกแก้ว
อาจจะมีบางหนมืดมนนัก
และไร้หลักกุมใจให้คลายร้าว
อาจจะมีค่ำคืนในบางคราว
ที่ใจหนาวเดียวดายไร้คู่เคียง
ยิ่งมองฟ้า....ฟ้าหมอง.. อยากร้องไห้
ไร้ดาวเดือนเตือนใจไร้สรรพเสียง
สงัดเงียบเยียบเย็นเยือกสำเนียง
บึ้งหัวใจก่นเสียงสะท้อนใจ
หลับตาเสียคดีคืนนี้นะ
แม้ว่าจะเนิ่นนานกว่ากาลไหน
แต่พรุ่งต้องมาถึงให้ซึ้งใจ
ยังมีวันสว่างไสวไร้มืดมน
ฟังหัวใจบรรเลงเพลงกล่อมห้อง
เป็นเพื่อนพ้องยามไร้รักในหน
เชื่อเถอะนะต้องมีใครสักคน
ที่รักล้นต่อเรา....อย่าเศร้าใจ
13 มิถุนายน 2546 20:38 น.
พี่ดอกแก้ว
หยุดตรงนี้ที่ยืนอยู่คือ.....ผู้แพ้
คงเป็นแค่ซากความหวังที่ยั้งอยู่
เพราะสิ้นไร้ความกล้าท้าศัตรู
ไม่รับรู้รอบกายไร้ดวงตา
นั่นเห็นไหม...ยังมีใครอีกหลายคน
ที่ร่วมทางทุกข์ทนเพื่อค้นหา
สองมือถากถางพงคงมรรคา
สองดวงตาเปล่งประกายหมายเส้นชัย
นั่นเห็นไหม...ยังมีใครอยู่เบื้องหลัง
รอความหวังจะเดินตามความสดใส
ยิ้มเจิดจ้าทอดสายตามาแต่ไกล
ฝันและหวังยังเปี่ยมในทุกสายตา
นั่นเห็นไหม...ราวพฤกษ์ไพรยังสดเขียว
แม้จะมีบางเสี้ยวของพฤกษา
ที่หักโค่นโอนกิ่งทิ้งกายา
เพราะแรงลมโหมพาคราขืนกาย
นั่นเห็นไหม...ใบไม้ไหวอยู่อีกข้าง
ค่อยค่อยสร้างร่มใบไว้สืบสาย
หาทดท้อพ้อลมอย่างงมงาย
ทำหน้าที่จวบพระพายจะโหมตน
นั่นเห็นไหม...ดาวดวงน้อยลอยบนฟ้า
แม้นเคยพบจันทราสักกี่หน
ดาวดวงนั้นยังคงมั่นวิถีตน
สาดลำแสงส่องหนแม้หม่นพราง
ลืมตาเถิดคนดีที่น่ารัก
จงตระหนักในค่าตนอย่าหม่นหมาง
บางครั้งอาจพบทุกข์แทบวายวาง
บางครั้งอาจเคว้งคว้างร้างแรงใจ
ลืมตามองรอบข้างอย่างยอมรับ
แล้วเริ่มนับก้าวหนึ่งขึ้นมาใหม่
ที่ผ่านมาถึงวันนี้คือมีชัย
ชนะภัยพ้นยากที่หลากมา
พายุอาจโหมใจให้เหนื่อยอ่อน
และทอดถอนอ่อนไหวใจเหนื่อยล้า
พักสักครู่ดูดาวที่พราวตา
จะเห็นฟ้าสว่างพร่างแสงดาว..
13 มิถุนายน 2546 09:24 น.
พี่ดอกแก้ว
ปุถุชนคนข้องย่อมหมองหมาง
ตกหลุมพรางเหยื่อล่อก่อบาปหนา
รับกิเลสทางทวารผ่านเข้ามา
แล้วปรุงค่าตามใจที่หมายชม
เห็นเพียงกรอบ...รอบจำกัดไม่หัดเห็น
สิ่งใดเป็นความงาม...ความขื่นขม
สิ่งใดยั่วยวนเย้าเร้าอารมณ์
สิ่งใดข่มกิเลสได้ไม่รู้เลย
จึงหลงไหลในซากอสุภะ
ไร้ปัญญาที่จะมาเฉลย
ที่กระทบพบเห็นนั่นนะเอย
คำเฉลยบอกให้รู้รูปารมณ์
หาได้มีคนสัตว์มาจัดสรร
หาได้มีชีวันที่งามสม
คือสภาพที่ต้องหม่นหมองตรม
เพราะไตรลักษณ์ครอบข่มอยู่ทุกกาล
น่าสงสารนักหนาว่าบาปนัก
หลงในปรักกิเลสเหตุสังสาร
หลงไม่รู้เพราะขาดปัญญาญาณ
ไร้สติครองกาลกระทบอารมณ์
13 มิถุนายน 2546 08:06 น.
พี่ดอกแก้ว
คำปุจฉาถามหาเชือกสำคัญ
ว่ามีแปดเกลียวนั้นเป็นไฉน
จึ่งสามารถลากจูงข้ามพ้นภัย
วิสัชชนาความนัยให้ทราบกัน
ย้อนเวลาล่วงไปในก่อนกาล
พระพุทธองค์ผู้ทรงญาณเป็นเอกนั้น
ทรงเสด็จแสดงธรรมที่สำคัญ
แก่บัวงามในขั้นอุคติตัญญู
คือปัญจวัคคีย์ผู้มีคุณ
ได้ฟังธรรมค้ำจุนให้จิตรู้
ธัมมจักป์สูตรแรกแจกบทครู
ได้สาวกหนึ่งผู้พิสูจน์ธรรม
ทรงตรัสถามถึงความบำเพ็ญตน
เพื่อประโยชน์มรรคผลที่เลิศล้ำ
มีสองทางสองอย่างไม่ควรทำ
ที่สุดโต่งน้อมนำให้งมงาย
ทรงชี้ทางสายกลางมัชฌิมา
เป็นทางแห่งมรรคาเชือกแปดสาย
รวมหนึ่งเดียวเกลียวกลมผสมลาย
ผนึกสายแปดเส้นเป็นหนึ่งเดียว
เกลียวที่หนึ่งเป็นที่พึ่งอันสำคัญ
ที่จะคล้องชีวันอย่างแน่นเหนียว
ให้ดำเนินถูกทิศไม่ผิดเทียว
สัมมาทิฏฐิเกลียวสายปัญญา
เกลียวที่สองตรึกตรองประคองจิต
ให้มุ่งคิดดำริเลิศเกิดคุณค่า
ให้มั่นคงอยู่ในสายแห่งปัญญา
มีชื่อว่าสัมมาสังกัปโป
เกลียวที่สามสัมมาวาจานั้น
สำรวมพลันไม่พลิกคำคุยเขื่องโข
มีองค์ศีลรักษาไว้ไม่อวดโว
เปล่งวาจาเพื่อโลกุตรธรรม
เกลียวที่สี่มีสัมมากัมมันตะ
คือการละทุจริตกายที่ใฝ่ต่ำ
มีองค์ศีลล้อมไว้ไม่ล่วงล้ำ
งดเว้นกรรมลามกตกอบาย
เกลียวที่ห้าสัมมาอาชีโว
มีธรรมโมเลี้ยงชีวาไม่โหดร้าย
หลอกลวงด้วยเล่ห์กลล้นอุบาย
มีองค์ศีลคุ้มใจกายให้เลี้ยงตน
เกลียวที่หกผกเพ่งพิศในฤทธิ์ทุกข์
เพียรกำหนดปลอบปลุกเพื่อมรรคผล
สัมมาวายามะชนะตน
เพียรเพื่อให้หลุดพ้นกิเลสมาร
เกลียวที่เจ็ดเผด็จธรรมย้ำความรู้
ระลึกอยู่ในอารมณ์สติปัฏฐาน
ไม่ประมาทพลาดหลงวงวิญญาณ
รู้ในการรับกระทบสบอารมณ์
เกลียวที่แปดสุดท้ายในสายทาง
รวมเกลียวสายทุกอย่างให้สวยสม
ไม่ฟุ้งซ่านพล่านไหลในทุกข์ตรม
สงบสมสัมมาสมาธิง
นี่คือเชือกเส้นเดียวแปดเกลียวกลม
ไม่อาจแยกออกมาชมอย่างเดี่ยวสิ่ง
ต้องใช้งานทั้งแปดเกลียวอย่างเหนียวยิ่ง
สรุปเป็นทางจริงแห่งมรรคา
เรือลำน้อยจึงลอยตรงคงสู่ญาณ
ที่ประหารกิเลสและตัณหา
ข้ามโอฆะละสังสารที่ผ่านมา
ไตรสิกขากำหนดรู้ผู้ละตน
ที่เรียกว่าวิปัสสนากรรมฐาน
ที่สืบสานเกลียวธรรมนำมรรคผล
ละบาปคือความลุ่มหลงในตัวตน
ละเหตุแห่งโลภล้นในสันดาน
เฝ้าเพียรดูรู้อารมณ์ที่กระทบ
และได้พบกับความจริงของสังขาร
คือไตรลักษณ์ประจักษ์แจ้งแห่งดวงมาลย์
เกิดขึ้นอยู่ไม่นานก็ดับลง
มิมีใดเหลืออยู่ให้รู้นาน
สรรพสิ่งพ้นผ่านไม่ไหลหลง
มีสืบต่อทันทีที่ดับลง
จึงเหมือนยังดำรงเพราะลวงตา
หากแจ้งใจว่าไร้แก่นสาระ
ทุกข์ก็จะผ่อนคลายไม่โหยหา
ไม่ดิ้นรนตัดพ้อต่อชะตา
มีวิชชาคมกล้าเพราะแปดเกลียว