4 กรกฎาคม 2546 15:40 น.
พี่ดอกแก้ว
.....ตะวันโรยโปรยแสงแฝงรอยเศร้า
ดูเงียบเหงามัวหม่นทุกหนแห่ง
ความกระจ่างจัดจ้ามาอ่อนแรง
ความเข้มแข็งคลอนคลายสลายลง
...สายนทีรี่ไหลไปเรื่อยเรื่อย
สวะลอยเรื่อยเปื่อยราวใหลหลง
สายธารามีขึ้นและมีลง
สวะยังอยู่คงเพื่อล่องลอย
...สายลมพัดแกว่งกวัดใบไม้ไหว
อาจปลิดปลดบางใบร่วงลงผล็อย
หรือปลิดดอกปลิดผลช่อน้อยน้อย
ให้ล่องลอยหล่นล่วงควงลงดิน
...มองท้องฟ้า ใบไม้ และสายน้ำ
ล้วนมีความเปลี่ยนแปรไม่สุดสิ้น
ใจก็ปรุงไปตามที่ยลยิน
และตัดสินไปตามความหมายปอง
...ใบไม้หล่น..บางคน...มีความสุข
บางคนทุกข์...เสียดาย..ใบไม้หมอง
เศษสวะ..มากมาย...ลอยในคลอง
บางคนมอง..ว่าสวย...ช่วยทิ้งเติม
....คราอาทิตย์..อัสดง..ลงขอบฟ้า
บางคนว่า..ช่างสุขใจ...ได้สร้างเสริม
บรรยากาศ..ตามแสงไต้...และคบเพลิง
ดูร่าเริง..ก่อกองไฟ...ได้ชีวา
บางขณะของชีวิตคิดเช่นนั้น
พอเปลี่ยนวันก็เปลี่ยนไปไม่หรรษา
บางขณะ...ของคนที่มีปัญญา
จึงรู้ค่าความเปลี่ยนไปในเปลี่ยนแปลง
4 กรกฎาคม 2546 06:13 น.
พี่ดอกแก้ว
ความเข้าใจจึงสร้างใจให้รู้ชอบ
รู้ประกอบกิจเมตตาพาใจสูง
รับผิดชอบด้วยธรรมมาค้ำจูง
ดั่งนกยูงแวววาวคราวรำแพน
หน้ากากหนักเพราะรักดีมีความคิด
เหนื่อยสักนิดไม่ท้อใจไม่เคืองแค้น
เพื่อผู้อื่นแม้นทำได้จะทำแทน
ใส่หน้ากากอุลตร้าแมนเพราะเมตตา
หน้ากากนั้นมีไว้ให้คนสุข
แม้นตนเองเปี่ยมทุกข์อยู่ในหน้า
ก็บดบังพรางไว้ไม่นำพา
เพราะมุ่งหมายสร้างค่าแก่ผู้คน
ถอดหน้ากากยากนักเพราะรักมั่น
ในตัวฉันสรรเสริญที่เพลินผล
ก็มากมีมากมายในผู้คน
หน้ากากนี้หนักกมลจนคลั่งใจ
ใสหน้ากากฉากไหนให้ควรคิด
ดัดจริตเพื่อสนองครองสิ่งไหน
ดีหรือชั่วไม่เกรงกลัวต่อทุกข์ภัย
หน้ากากฟ้องเนื้อในของใจคน
4 กรกฎาคม 2546 06:08 น.
พี่ดอกแก้ว
คุณธรรมนำจิตไซร้ . . .ร่มเย็น
เพราะช่วยคลายทุกข์เข็ญ . . มากด้าน
ด้วยตนมิได้เป็น . . . . . . . . . ผู้ก่อ เรื่องแฮ
ทั้งช่วยเป็นหน่วยก้าน . . . . . แก่นแท้ความเจริญ
คุณธรรมดุจเกราะป้อง . .กันภัย
จึ่งร่มเย็นสุขใจ . . . . . . . ทั่วหน้า
เกื้อกูลทุกคนให้. . . . . . .เป็นสุข
ผองเภทภัยทั่วหล้า . . . . .จึ่งเร้นธรรมคุณ
3 กรกฎาคม 2546 20:34 น.
พี่ดอกแก้ว
เมื่อคราร้อนโลกแล้งแห้งจากน้ำ
แผ่นดินถามท้องฟ้าหาเมฆฝน
เหล่าพฤกษ์ไพรไร้ธารผ่านชุบชนม์
กลายสีเขียวหมองหม่นปนน้ำตาล
เมื่อต้องลมใบระทมก็พรมร่าง
ลอยเคว้งคว้างเบี่ยงกายไหวสะท้าน
สู่ใต้ต้นวนพลิ้วปลิวละลาน
ตามแต่สายลมผ่านจะพาไป
ดินที่เคยชื้นเย็น...เห็นรอยแยก
ระแหงแตกลายริ้วผิวเกรียมไหม้
ยิ่งแตกลึกยิ่งตรึกหาค่าน้ำใจ
ยิ่งนับวันยิ่งไร้เพราะร้อนรน
เสียงลมครางบางเบาราวในฝัน
เร่งคืนวันผันฤดูสู่หน้าฝน
ความเร่งเร้ายิ่งเผาใจให้กังวล
รอเม็ดฝนหล่นจากฟ้ามาสู่ดิน
ลมกรูเกรียวเหนี่ยวกิ่งแห้งที่แล้งน้ำ
ให้ไหวตามแรงลมพัดระบัดสิ้น
ทุกคืนวันฝันใฝ่เพื่อได้ยิน
เสียงแผ่นดินตอบรับกับฝนพรำ
รออย่างมีความหวังทุกครั้งคราว
ฟังลมกล่าวกระซิบแผ่วแว่วเสียงย้ำ
อีกไม่นานฝนจะหวนทวนความจำ
และเติมคำลงช่องว่างระหว่างดิน
ความสดเขียวจากเรียวใบที่คลายต้น
จะผลิพ้นแตกตาพาคืนถิ่น
ปีกที่เคยชะงักจักโบยบิน
ระเริงสายวารินจากนภา
ดั่งน้ำคำยามแล้งที่แห้งโหย
มาโปรดโปรยรดใจให้ฟื้นค่า
ดุจเม็ดฝนฟื้นดินถิ่นพนา
คือเมตตาเย็นล้ำฉ่ำหทัย
3 กรกฎาคม 2546 20:24 น.
พี่ดอกแก้ว
เมื่อใจนี้มีรักมาทักถาม
ความงดงามผลิช่อก่อบุปผา
ที่หอมหวลยวนเย้าเคล้าอุรา
ชุบชีวาให้โลกสวยด้วยสองเรา
บรรจงแต่งเติมฝันวันฟ้าสวย
ประดับด้วยหัวใจภักดิ์สลักเสลา
เริ่มโครงการสานหัวใจไว้แนบเนาว์
วันฟ้าเศร้า..โลกก็ใสเพราะใจดี
ทุกสิ่งมีความหมายในความรัก
อุปสรรคดูเล็กน้อยด้อยศักดิ์ศรี
ระหว่างคนสองคนบนปฐพี
จึงไม่มีความหมองครองรักกัน
คราสวาทขาดสายวายรักแล้ว
ดุจดังแก้วร้าวฉานปานเสียขวัญ
กระทบเพียงนิดน้อยพลอยแตกพลัน
กลายสวรรค์กลับวิโยคโศกฤดี