24 มกราคม 2547 07:54 น.
พี่ดอกแก้ว
ม่านดวงตาพร่าแสงแห่งชวาล
ส่องประกายสักการที่เบื้องหน้า
ประทีปคู่บูชิตพระศาสดา
สาดมรรคาสว่างฉายให้เส้นทาง
กว้างแสนกว้างร้างมิตรสนิทใคร่
คือโลกใหญ่มืดมนจนอ้างว้าง
ดุ่มเดินเวียนทางรกปรกอำพราง
ต้องครวญครางกลางวัฏฏ์มัดชีพตรึง
ร้อยอารมณ์ถมใจไว้ด้วยช้ำ
ร้อยกงกรรมเกี่ยวเกาะเพาะบาปขึง
ร้อยชีวิตติดตมจมใต้บึง
ร้อยชาติหนึ่งกับอีกชาติขาดปัญญา
พบแสงทองส่องประกายยามใกล้ค่ำ
คือแสงธรรมจากพุทธศาสนา
ปริยัติปฏิบัติจัดชีวา
ก้าวเข้าสู่มัชฌิมาสามัคคี
ประทีปธรรมนำทางสว่างจิต
ดุจมิ่งมิตรเคียงข้างสร้างราศี
ไม่โดดเดี่ยวเปลี่ยวร้างคว้างฤดี
ทุกถิ่นที่สว่างไสวในแสงธรรม
15 มกราคม 2547 08:13 น.
พี่ดอกแก้ว
คุณเอ๋ย...คุณครู
ท่านคือผู้ประสิทธิ์วิชชาให้
อนุเคราะห์ขยายอรรถชัดความนัย
กระจ่างใจต้องความตามวิธี
เพียรบ่มเพาะเกาะเกี่ยวไม้เรียวรัก
กระหวัดสัก..รอย..อดทนบนศักดิ์ศรี
ให้กลับตัวกลับใจใฝ่รักดี
สมกับที่เกิดมามีค่าคน
ท่านโอบเอื้อเกื้อศิษย์ด้วยเมตตา
ดุจนาวาบรรทุกผู้อยู่กลางหน
โต้กระแสชลากล้าผจญ
ขึ้นฝั่งชลพ้นห้วงจากบ่วงพาล
แม้นศิษย์ดื้อถือวาทะระรานจิต
ยังอุทิศเวลามาเพียรขาน
ให้รักตนรักรู้วิชาการ
และเชี่ยวชาญเพื่อชนม์ได้พ้นภัย
พระคุณท่านนั้นเหลือจะแทนทด
เกินกำหนดกล่าวขานเทียบสิ่งไหน
น้อมเกศก้มประนมกรด้วยอ่อนวัย
กราบดวงใจด้วยเคารพนบนอบเอย
8 มกราคม 2547 21:34 น.
พี่ดอกแก้ว
แสงพร่างพรายรายระยับวับวิบแวม
แตะแต่งแต้มติดตรึงถึงห้วงฝัน
ส่องประกายเฉิดฉายใต้แสงจันทร์
คือดวงตาคู่นั้นที่งดงาม
บ่งความนัยบอกถึงใจที่เปี่ยมรัก
แจ้งความภักดิ์ซื่อตรงคงล้นหลาม
เผยถึงห้วงห่วงใยในทุกยาม
สรุปความว่ามิตรแท้แน่แก่ใจ
สายลมหนาวคราวนี้ที่ต้องผิว
ชำแรกริ้วคำถามยามหวั่นไหว
ตาคู่นั้นจักสุขทุกข์ประการใด
ฝากลมไกวปลอบขวัญวันห่างกาย
8 มกราคม 2547 07:17 น.
พี่ดอกแก้ว
สายลมพรูกรูเกรียวเกี่ยวช่องาม
ละลิ่วความอ่อนช้อยลอยลงพื้น
กลีบบางเบาเคล้าลมดูกลมกลืน
ความสดชื่นแผ่ซ่านกลางลานดิน
ชมพูพันธุ์ทิพย์สรวงควงสู่หล้า
พรมบุปผาทอดกายเป็นลายศิลป์
ขับความเขียวขจีสีแห่งติณ
ธรณินทร์กลายสวรรค์วันเยี่ยมยล
ใจละล่องต้องมนต์ในหนนั้น
นึกถึงวันเคียงข้างอยู่กลางหน
ชมพูพันธุ์ทิพย์ซ่านหวานกมล
ผูกใจคนสองคนเป็นหนึ่งใจ
สายลมกรูพรูก้านหวานหวามนัก
ดวงใจภักดิ์คงคู่อยู่ชิดใกล้
แม้วันนี้อยู่ห่างกันแสนไกล
รู้เถิดใจดวงหนึ่งคิดถึงเธอ
7 มกราคม 2547 18:20 น.
พี่ดอกแก้ว
เสียงบ่นเพ้อเกลอเก่าคราวช้ำหมอง
คือเสียงของหัวใจอันไร้ค่า
ที่โรยแรงสิ้นไร้ไฟศรัทธา
หมดความกล้าคราแพ้ท้อแท้ใจ
พร่าเวลานาทีที่เร่งรุด
ให้สะดุดหยุดเดินทางห่างสดใส
เพราะล่องลอยถอยย้อนซ้อนห้วงใจ
กลับคืนไปครวญคร่ำพร่ำอดีตกาล
ทิ้งนาทีเริ่มต้นหนทางสู้
เฝ้าคุดคู้อยู่กับซากปากสุสาน
ดุจใบไม้ถมเน่าเคล้าโคลนดาน
ไม่อาจถึงซึ่งกาลที่เติบโต
ถอดหัวใจไม่รับรู้อยู่อย่างศพ
รอเพลิงคบเผาร่างกลางโทโส
เก็บไฟมาสุมใจไว้กองโต
เกลือกซัดโซกำสรวลร้องครวญคราง
ทุกนาทีมีค่าครารู้จัก
แพ้ชนะมิใช่หลักที่ควรสาง
รู้ทุกสิ่งผ่านไปใจละวาง
ว่าทุกอย่างมิควรข้องให้หมองใจ
นาทีก่อนชนะเขา...เราชื่นฉ่ำ
นาทีนี้เราช้ำตรมหมองไหม้
นาทีหน้าไม่รู้ว่าเป็นผู้ใด
ทุกสิ่งย่อมผ่านไปไม่คงทน
เสียงบ่นเพ้อเกลอเก่า..เราขาดกัน
ไม่มีวันพบพานในเบื้องหน
ไร้อัตตาพาใจไร้ตัวตน
จึงหลุดพ้นดั่งบัวบานกาลอรุณ