10 ตุลาคม 2547 19:50 น.
พี่ดอกแก้ว
ล้นกระถางร่วงหล่นจนพื้นไหม้
กลุ่มควันคลุ้งลอยไล่จากธูปหอม
บ้างสายตามุ่งหวังบ้างตรมตรอม
ปักธูปแล้วนบน้อมบรรยายความ
อธิษฐานขานกล่าวเรื่องราวขอ
ใจจดจ่อขอไปบ้างไถ่ถาม
บ้างโอดครวญเรื่องร้อนที่ลุกลาม
สรุปความว่าขอให้พอใจ
ในบางคนเฉยเมยไม่เคยสร้าง
ความเพียรเป็นโครงร่างกลับเฉไฉ
ไม่เคยสร้างความพร้อมจากภายใน
รอหวังให้เทพบันดาลปานเสกมนต์
มีหรือที่โอ่งเปล่าคราวหน้าแล้ง
น้ำขอดแห้งโอ่งไปไม่หาบขน
แต่บนบานศาลกล่าวกับเบื้องบน
ให้โอ่งน้ำของตนเต็มดังเดิม
ความสำเร็จจักเสร็จสิ้นด้วยอินทรีย์
พร้อมพละที่มีมาสร้างเสริม
ผลบุญเก่าจึงตามมาแต่งเติม
ต้องพูนเพิ่มด้วยตนก่อนวอนขอบุญ
ร่องรอยไหม้ยังเรียงเคียงกระดาน
หลายปีผ่านม่านควันนั้นยิ่งหมุน
เหนือกระถางล่องลอยคอยพึ่งคุณ
ผู้สร้างทุนจากเครื่องเซ่นเช่นบนบาน
8 ตุลาคม 2547 16:05 น.
พี่ดอกแก้ว
ธรรมดาชาวพาราชอบของงาม
ทุกเขตคามปรุงแต่งแหล่งสถาน
ให้สดสวยทั้งนอกในเรือนชาน
ออกแบบงานฝีมือสื่อตรึงตรา
เครื่องประดับประดาสารพัน
หลากสีสันสดใสในภูษา
จิตรกรรมนำศิลป์ถิ่นนานา
เครื่องคาวหวานลานตาน่าลิ้มลอง
ผู้ใจสูงจึงสร้างสรรค์อันลือค่า
สิ่งงดงามต้องตามาสนอง
แก่ตนเองและผู้อื่นให้สมปอง
จิตกลั่นกรองประณีตการณ์งานสมบูรณ์
แต่ในความงดงามที่ปรากฏ
หากใจไร้กำหนดเรื่องเสื่อมสูญ
ลุ่มหลงกับความงามที่เทิดทูน
หรือเพิ่มพูนความจีรังอย่างฝังใจ
เมื่อความงามเสื่อมไปวัยชรา
หรือความเก่าคร่ำคร่ามาชิดใกล้
หรือถึงคราวแตกแยกทำลายไป
ความยึดในดวงใจก่อน้ำตา
ผู้สร้างสรรค์จริงแท้แค่สร้างสรรค์
ไม่ยึดมั่นให้ยืนยงคงวรรษา
มีเป้าหมายเพียงสร้างเต็มพลา
ให้สำเร็จจินตาคราเริ่มจินต์
ทั้งงานทอภูษาเครื่องอาหาร
ทั้งอาคารบ้านช่องห้องหอศิลป์
ทั้งระเบียบปกครองของแผ่นดิน
ทั้งหลั่งรินน้ำใจให้เด็กดี
เมื่อถึงกาลผ่านไปไม่งามแล้ว
หรือสิ้นแววเรืองรองผ่องราศี
มีถ้อยคำตำหนิเป็นราคี
ยอมรับได้ว่าชีวีย่อมเปลี่ยนแปลง
7 ตุลาคม 2547 19:59 น.
พี่ดอกแก้ว
เพราะสามเงื่อนเหมือนเกลียวเกี่ยวชีวิต
ให้ต้องติดบ่วงเกิดกำเนิดขันธ์
เหตุและผลสืบต่อความสัมพันธ์
มีสามชั้นสามเชิงระเริงชนม์
หนึ่งนั้นคือเหตุเก่าคราวอดีต
ที่เคยขีดรอยกรรมทำสับสน
ทั้งบุญบาปอาบไว้ในกมล
เป็นสังขารนำกลสู่วิญญาณ
คำวิญญาณท่านกล่าวเรื่องราวไว้
เป็นสองนัยคือจิตที่สืบสาน
ขณะเกิดเรียกปฏิสนธิวิญญาณ
และปวัตติกาลหลังเกิดมา
เงื่อนที่สองคล้องไว้ในคราวพบ
เมื่อประสบอารมณ์ที่โถมถา
ทางทวารทั้งหกก่อเวทนา
นำเข้าสู่ตัณหาความติดใจ
เห็นแล้วชอบครอบครองปองใจสุข
เห็นแล้วทุกข์ต่อต้านการผลักไส
แล้วไขว่คว้าหาชอบครั้งต่อไป
เวทนาพาให้ตัณหาครอง
เงื่อนที่สามความภพสบกับชาติ
คือกรรมเป็นเบื้องบาทส่งสนอง
ทำชาตินี้ส่งต่อไปตามครรลอง
เหมือนต้นคลองสู่ปลายคลองสนองกรรม
บุญและบาปที่อาบไว้ในอวิชชา
จะนำมาการเกิดใหม่ไม่เคยหนำ
เพราะไม่สิ้นยางใยในกระทำ
มีภพภูมิรองกรรมเกิดต่อไป
6 ตุลาคม 2547 17:41 น.
พี่ดอกแก้ว
เงียบสงบพบเงาความเขลาตน
เหตุไม่พ้นความไหวให้หมองหมาง
ใจปรวนแปรเปลี่ยนไปไม่ตรงทาง
เดี๋ยวเคว้งคว้างเดี๋ยวชื่นระรื่นใจ
ในเบื้องปลายท้ายเงาความเขลานั้น
แบ่งสีสันเป็นสองให้ตรองไข
สีของสุขกับทุกข์เคล้ากันไป
ทาบฤทัยทุกวันที่ผันมา
เพราะเห็นผิดคิดมีเรา-เขาอยู่จริง
อัตตาสิงจนแน่นดุจแผ่นผา
จึงกำหนดกฎเกณฑ์กันขึ้นมา
เป็นรูปแบบคุณค่าสไตล์ตน
หากถูกต้องตามแบบที่แนบจิต
ความสุขก็สัมฤทธิ์เป็นพวงผล
หากขัดแย้งกับความชอบส่วนตน
ความทุกข์ทนก็ตามติดจิตอัตตา
เขาทำไม่ถูกใจเราเขานั้นผิด
เรามีสิทธิ์ตัดสินพิพากษา
เขาไม่ควรหยามเราด้วยวาจา
เรามีสิทธิ์ด่าว่าคนของเรา
ของของเราเขาไม่ควรมาทำลาย
เรามีสิทธิ์อยากได้ของของเขา
ของดีดีคือของที่ถูกใจเรา
เรื่องของเขาเรามักเปรียบเทียบไม่วาย
ชีวิตนี้หาได้มีเรื่องเรา-เขา
สิ่งสร้างเงาคือรูป-นามความสืบสาย
คือสองส่วนประกอบของใจ-กาย
ที่ผู้เขลามากมายถือเขา-เรา
4 ตุลาคม 2547 17:50 น.
พี่ดอกแก้ว
ณ ห้วงหนึ่งถามถึงเรื่องชีวิต
ด้วยสะกิดจิตใจจึงใคร่ถาม
ว่าชีวิตหามีสิ่งดีงาม
ทำอย่างไรจึงพบความงามที่ดี
พระท่านสอนเทศนาว่าเรานั้น
มีชีวิตแสนสั้นแล้วเป็นผี
เด็กทารกเกิดมาไม่กี่ปี
บ้างถึงที่สิ้นชีวิตปลิดชีพไป
หากเติบถึงผู้ใหญ่ก็ใช่ว่า
จะสบายอุรานี่ไฉน
บ้างยากจนข้นแค้นแสนเข็ญใจ
บ้างป่วยไข้ใจเฉาเมาโลกธรรม
กินกี่มื้อซื้อกี่หนบนข้าวของ
กี่จับจองแย่งชิงสิ่งอิ่มหนำ
มีหรือไม่ที่เคยพอต่อกระทำ
ชีวิตจึงเดินย่ำความไม่พอ
รอสุดท้ายสิ้นลายไร้แรงคว้า
อนิจจาอนิจจังนั่งร้องขอ
ให้ชาติหน้าเกิดดีที่คอยรอ
ลืมว่าการเกิดต่อนั้นเพื่อตาย
เปลี่ยนภพชาติสู่ภพชาติไม่ขาดโซ่
เหมือนเล่นโล้ชิงช้าน่าใจหาย
เวียนในวงกงล้ออย่างวุ่นวาย
ด้วยกระหายอยากมีซึ่งชีวิต