4 พฤศจิกายน 2547 17:36 น.
พี่ดอกแก้ว
บางครั้งอาจหยุดนิ่ง
ดูทุกสิ่งที่เคลื่อนไหว
มองความเปลี่ยนแปลงไป
ตามดูใจที่เปลี่ยนแปร
เหนื่อยไหม?..ใช่เหนื่อยมาก
ฝ่าลำบากจนท้อแท้
มองใจที่อ่อนแอ
เห็นความแปรของจิตใจ
มองเพ็ญที่เด่นโฉม
ปลอบประโลมความอ่อนไหว
แสงจันทร์อันพิไล
พลันส่องนัยถึงธรรมา
ชีวิตที่ติดข้อง
กับความหมองของปัญหา
เพราะชีพมีมารา
ตามบีฑากันทุกคน
มารหนึ่งคือขันธา
มีกองห้ากายกมล
มารสองกองไฟลน
กิเลสตนพลมาร
มารสามความก่อกรรม
บุญบาปนำวนสังสาร
มารสี่ปรีชาการณ์
เทวบุตรมารและอารมณ์
มารห้าพาพินาศ
สิ้นชีพชาติตายทับถม
รวมความตามพื้นปม
ความหมองตรมจากมารา
เกิดจากตนสร้างเหตุ
เป็นอาเพศแก่ชีวา
กิเลสก่อกรรมา
เบียดขันธาถึงความตาย
ละมารผสานสุข
เลิกเคล้าคลุกหมู่อบาย
สร้างมงคลใจกาย
มารแพ้พ่ายพ้นผจญ
1 พฤศจิกายน 2547 09:57 น.
พี่ดอกแก้ว
คลื่นทะเลเพพัดลัดเลาะทราย
วาดลวดลายความแท้ว่าแปรผัน
กระแสลมโหมพามาพบกัน
ณ ฝั่งนั้นพลันพรากจากรอยทราย
เมื่อยามรักคลื่นทักกระทบฝั่ง
ที่พร้อมพรั่งเสียงเสนาะเพราะเหลือหลาย
น้ำทะเลสีฟ้าดูพร่าพราย
เหมือนดังร่ายมนต์ลวงบ่วงทะเล
แต่ไม่นานหวานคลายสลายห่วง
คลื่นละล่วงเลยลับกลับหักเห
ทิ้งผืนทรายกับลายที่ปนเป
ใจซัดเซแยกทางร้างคนคอย
กี่หาดทรายก็คล้ายกันเช่นนี้
เหมือนใจที่รักริดปลิดร่วงผล็อย
คลื่นกระทบสบหาดสาดริ้วรอย
เพียงนิดน้อยเวลาพาร่วงโรย
ขณะหนึ่งอาจซึ้งคลึงเคล้าคลื่น
อีกขณะอาจสะอื้นจนใจโหย
เหลือขยะคลุมทรายไร้ผู้โกย
ต้องโอดโอยเพราะพิษที่ติดใจ
29 ตุลาคม 2547 19:10 น.
พี่ดอกแก้ว
เลียบเรือน้อยลอยชลยลฝั่งคลอง
มุ่งหมายมองความงามตามพฤกษา
เห็นโพงพางกางกั้นชั้นชลา
บ่งวิธีจับปลาของชาวคลอง
ล่องลอยไปหัวใจกลับสงบ
เมื่อได้พบความหมายในฝั่งสอง
หนึ่งนั้นพลุ่งพล่านไปในครรลอง
ที่หมายปองขายค้าเพื่อหากิน
ชนมากมายวุ่นวายแข่งขันเสียง
ตะเบ็งเถียงราคาค่าทรัพย์สิน
เรียกตลาดขายขาดเป็นอาจิณ
หลายชีวินคร่ำเคร่งเก็งราคา
อีกหนึ่งฝั่งยังเรือนเหมือนต้นไม้
สงบกายไร้พล่านขานโทสา
มีไม้ใหญ่ให้ร่มบ่มธารา
ไร้แสงสีร้านค้ามาเลียบเคียง
สองฝั่งคลองมองไปใจตรึกตรอง
ฝั่งที่ซ้องเซ็งแซ่ด้วยสรรพเสียง
ไม่ต่างจากชีพเราที่ร้อยเรียง
สร้างเสบียงโลกีย์ธรรมจนช้ำใจ
อีกฝั่งหนึ่งเปรียบซึ่งผู้หยุดคว้า
มีปัญญานำตนพ้นวิสัย
ทิ้งโลกีย์ไว้อีกฟากฝั่งไกล
สันโดษในความพร้อมย้อมจิตตา
กลางลำคลองล่องยลชนสองฝั่ง
ชีพนี้ดังเรือน้อยลอยถลา
ผ่านคลื่นลมโหมไล่ใส่ชีวา
ยอมจมเรือ...หรือว่าเลือกฝั่งใด
28 ตุลาคม 2547 07:11 น.
พี่ดอกแก้ว
ในห้องเรียนเขียนอ่านชำนาญเวทย์
มนต์วิเศษแคล่วคล่องท่องศึกษา
ทฤษฎีขึ้นใจในวิชา
กระบวนท่าสวยงามยามร่ายรำ
ฉากทดลองคล่องการทุกงานฝึก
เหตุผลลึกล้ำความแสนงามขำ
กอปรหลักการทุกหนผลกระทำ
วิจารณ์คำคมคาดแสนบาดใจ
รอยยิ้มเหยียดเดียดผู้สู้พ่ายแพ้
ชี้ทางแก้ข้อบกพร่องต้องวิสัย
ของผู้อื่นอย่างเชี่ยวชาญชำนาญนัย
ดุจตนเองเกรียงไกรในตองอู
แล้ววันหนึ่งถึงซึ่งผู้เก่งกาจ
ล้มระนาดศึกแรกแบกอดสู
หนีซมซานผิดหวังครั้งพันตู
ลืมหมดสิ้นความรู้ทฤษฎี
เปลี่ยนเป็นคนแพ้พ่ายไม่คลายแพ้
ผงเข้าตาไม่อาจแก้ให้สุขี
โทษหลายอย่างสร้างเหตุเภทไพรี
แต่ไม่โทษตนนี้ว่าอ่อนการณ์
เรียนวิธีสร้างสุขคลายทุกข์โศก
กลับวิโยคกอดตำราคราหักหาญ
ย้อนอดีตคร่ำครวญทวนสัญญาณ
สอบไม่ผ่านภาคสนามความเสียใจ
26 ตุลาคม 2547 22:32 น.
พี่ดอกแก้ว
หอมกำจายกรายกรุ่นละมุนจิต
ให้เพ่งพิศหากลิ่นจากถิ่นไหน
เห็นมาลีพลีช่อล้อลมไกว
พุ่มไสวเบ่งบานริมน่านบึง
สูดหายใจรับไว้ด้วยกลิ่นหอม
แล้วยั่วย้อมตรึงจิตให้คิดถึง
โอบอวลกลิ่นผกามาเคล้าคลึง
และรำพึงหลงใหลในกลิ่นยวน
หอมผกาเหมือนวาจาแสนเสนาะ
ความไพเราะดุจกลิ่นไม่สิ้นหวน
ชนผู้หวังชื่นฉ่ำก็คร่ำครวญ
ไม่ถี่ถ้วนความจริงสิ่งธรรมา
อันชีวิตนิดน้อยคอยหายใจ
เพียงอาศัยอากาศปราศฝุ่นหนา
พยุงยังร่างกายให้ชีวา
มิได้มุ่งไขว่คว้ากลิ่นหอมใด
เมื่อมีคำหวานหวามมาหลามจิต
ผู้อ่อนแอแพ้พิษก็หลงใหล
ติดในคำหวามหวานซ่านฤทัย
และต้องการต่อไปไม่สิ้นกาล
คราใดพบประสบคำทำขมจิต
จึงครวญคิดตัดพ้อและต่อขาน
พกความโกรธอาฆาตประกาศพาล
ตัดสายธารสัมพันธ์ผันผวนไป
ผู้รู้จริงจึงนิ่งไม่เกลียดชัง
ห้วงหายใจทุกครั้งก็แจ่มใส
ไม่ติดข้องหมองหมางกลิ่นจางไป
แต่ใส่ใจสูดอากาศไม่ขาดทรวง