12 กันยายน 2548 05:54 น.
พี่ดอกแก้ว
เสียงเอะอะโวยวายคล้ายฟ้าร้อง
แผดความก้องสะทือนจนเลื่อนลั่น
หลายคนกรูมาดูในฉับพลัน
ว่าใครนั้นเปล่งเสียงเปรี้ยงปร้างมา
กลางไทยมุงพุ่งพล่านปานน้ำเดือด
คนหนึ่งเชือดอีกคนจนไร้ค่า
คนหนึ่งคล้ายยักษ์ใหญ่ใช้ศาตรา
แต่อีกคนสงบท่าหน้ายิ้มงาม
ไม่ทุ่มเถียงเกี่ยงใครใช้เสียงสวน
ไม่ยียวนย้อนใครไร้คำถาม
ไม่โยกโย้โอ้อวดประกาศนาม
ไม่ถือตนแก้ความตามเชือดคืน
หลายคนว่าเขาแพ้แก่เหตุผล
อีกหลายคนว่าเขาผิดไม่คิดขืน
หลายคนเจ็บร้อนแทนเป็นไฟฟืน
อีกหลายคนหยิบยื่นดอกไม้ไฟ
ในใจคนผู้ทนต่อเกมบ้า
มีหลักว่าอย่าพ่ายอนุสัย
ทุ่มเถียงกันพลันกิเลสลุกท่วมใจ
สงบไว้ใช่อ่อนแอหรือแพ้คน
ความถูกผิดคิดยากมากเงื่อนไข
ถูกของเราของใครให้ต่างผล
ถูกกฎหมายถูกใจให้สินบน
ถูกเหตุผลของธรรมนำถูกจริง
ทุ่มเถียงไปก็มิใช่จะชนะ
แพ้เป็นพระสุขใจได้หลายสิ่ง
ทำดีแล้วถูกว่าอย่าประวิง
เป็นคนจริงต้องทำต่ออย่าท้อใจ
ให้โอกาสเขาระบายใช้ศักดา
ดีกว่าให้เขาบ้าเป็นไหนไหน
เมตตาให้เขาได้รับอภัย
นี่แหละเป็นการให้โอกาสทอง
อย่าติดข้องหมองไหม้ในศักดิ์ศรี
ว่าเขายีเหยียบย่ำทำเราหมอง
เรื่องศักดิ์ศรีคืออัตตาอย่าหมายปอง
ที่ควรครองคือทำใจไร้อัตตา
8 กันยายน 2548 20:21 น.
พี่ดอกแก้ว
คล้ายดั่งมีดกรีดกดจรดคมเฉือน
เลือดปริ่มเปื้อนปรี่ใจได้บาดแผล
คำตัดรอนย้อนย้ำซ้ำดวงแด
ลึกเกินแก้ความเจ็บที่เหน็บทรวง
แม้นผ่านกาลนานวันผันเวลา
บาดแผลเก่ายังตรารอยใหญ่หลวง
ภายในมีเลือดช้ำเป็นด่างดวง
กลัดหนองอยู่เต็มห้วงไม่เคยคลาย
กลายเป็นแผลเรื้อรังฝังรากลึก
ปิดผนึกไมตรีที่หลากหลาย
เปิดรอยแค้นแน่นจิตคิดไม่วาย
มองโลกร้ายหน่ายดีมีแต่ตรม
ความระแวงแต่งเติมเพิ่มความเศร้า
หยิบเรื่องเก่ามาเปรียบเทียบผสม
กลัวเรื่องใหม่ซ้ำรอยให้ระทม
เกิดกับดักอารมณ์ไม่ไว้ใจ
เริ่มเป็นคนขรึมเครียดและเสียดสี
เมื่อพาทีเรื่องเก่าก็หลั่งไหล
เข้าตัดสินปัจจุบันในทันใด
ความน้อยใจรวมพลสนทนา
รอยแผลเก่าเน่ากลางหว่างหัวใจ
คำอภัยหายลับกลับถือสา
คำเริ่มใหม่..ไม่เป็นไร..ไม่เอื้อนมา
มิตรระอาความคิดติดเรื่องเดิม
นอกจากตนไร้สุขมาปลุกปลอบ
ก็ยังชอบแผ่ทุกข์เข้ารุกเสริม
เปิดกลิ่นเหม็นแผลเก่าเข้าซ้ำเติม
สูดดมเพิ่มจนชินสิ้นหอมใจ
กี่นาทีกี่วันกี่พันครั้ง
เสียเวลากับความชังมากแค่ไหน
ปล่อยความสุขปัจจุบันให้พ้นไป
ทิ้งโอกาสเริ่มใหม่ไม่ควรเลย
6 กันยายน 2548 13:38 น.
พี่ดอกแก้ว
ดอกไม้งามยามตะวันเริ่มผันสี
ดุจมณีเปล่งประกายให้วาบหวาน
ดอกไม้เฉาด้วยลำแสงสุรีย์ราน
ดุจดวงมานแหลกลงตรง....ปุถุชน
ต่างกับพระอริยะผู้ละหลง
และปลดปลงไม่รู้สู่มรรคผล
แม้นดอกไม้เฉาลับกับตาตน
กลับงามล้นยิ่งงามยามเพ่งมอง
เพราะรับรู้ดูสิ่งที่จริงแท้
ความเปลี่ยนแปรดับไปในธรรมผอง
มีดวงตาดุจแก้วอันเรืองรอง
ที่เพ่งมองทะลุผ่านม่านบังทรวง
ความอับโชคโศกศัลย์อันทุลักษณ์
ได้ประจักษ์เข้าใจใช่ใหญ่หลวง
พบชีวิตไร้สิทธิ์สิ่งทั้งปวง
มิอาจทวงถามคืนคราวชื่นบาน
เห็นดอกไม้อับเฉาทุกคราวดอก
คือการบอกชีวิตไร้แก่นสาร
มีไตรลักษณ์ครอบครองนิรันดร์กาล
ดอกไม้ธรรมจึงบานในหัวใจ
2 กันยายน 2548 08:13 น.
พี่ดอกแก้ว
ปลูกต้นไม้ลงกระถางอย่างตั้งใจ
บำรุงให้ปุ๋ยดีที่สรรหา
ดูแลกิ่งก้านใบไร้เชื้อรา
มีลำแสงส่องมาอย่างสมบูรณ์
หมั่นรดน้ำตามดัดตัดกิ่งเสีย
เด็ดใบเพลี้ยทิ้งไปให้สาบสูญ
ส่งพลังจากใจไปเพิ่มพูน
ให้ช่อดอกจำรูญเจริญดี
เมื่อดอกบานส่งผ่านมวลกลิ่นหอม
ก็หมายน้อมคัดช่อละออศรี
ที่งามเด่นกลิ่นกรุ่นละมุนดี
ไปฝากพี่ฝากน้องผองมิตรา
แต่บางครั้งเขาชังดอกไม้ฝาก
แถมถางถากว่าไม่เคยปรารถนา
รับดอกไม้ต้องดูแลเสียเวลา
เช่นหวังดีบางคราไม่ต้องการ
จึงเก็บคืนไม่ยื่นดอกไม้ให้
และเก็บใจคืนถิ่นก่อนสิ้นฐาน
นำดอกไม้ร้อยเรียงลงในพาน
วางไว้กลางเรือนชานเพื่อชื่นชม
ที่ชูช่อล้อลมพรมกิ่งไหว
เก็บมาร้อยมาลัยให้งามสม
เพื่อบูชาพระพุทธาถวายบังคม
สร้างอารมณ์กุศลผลจิตงาม
หมั่นดูแลต้นไม้ไร้ทดท้อ
กำลังใจเกิดก่ออย่างไหลหลาม
หากวันหนึ่งมิตรต้องการสักชั่วยาม
จะมอบดอกไม้งามได้อย่างใจ
31 สิงหาคม 2548 21:11 น.
พี่ดอกแก้ว
หน้าหม่นหมองร้องไห้เขียนลายเฉา
เมื่อความเหงามาเยือนเป็นเพื่อนบ้าน
ตีสนิทเข้าออกอยู่ไม่นาน
ยึดถิ่นฐานบ้านเราเข้าครอบครอง
ความกังวลเพื่อนอีกคนของความเหงา
เห็นเพื่อนเก่าได้ดีมีข้าวของ
รีบมาเยือนเรือนเหงาเข้าเกี่ยวดอง
ทำปากหวานเรียกพี่น้องสนิทใจ
เจ้าของบ้านถึงกาลไร้ที่อยู่
เพราะความเหงายึดตู้เตียงอาศัย
ความกังวลยึดห้องรับแขกไป
เชิญความกลัวเพื่อนใหม่มาสนทนา
เหลือเพียงเสาสองเสาให้เจ้าบ้าน
เดินทำงานย้ำคิดจิตโหยหา
ก้าวจากเสาต้นแรกตัดอุรา
เดินกลับไปกลับมาตัดไม่ลง
คงเฝ้ามองสองเสาอย่างเศร้าสร้อย
เรือนหลังน้อยไม่สุขดังประสงค์
เล่นวิ่งเปี้ยวกับเยื่อใยไม่คลายวง
พื้นสึกลงกร่อนจิตติดกระดาน
คบเพื่อนผิดคิดสั้นพลันเกิดได้
เพราะไม่คลายปัญหาน่าสงสาร
ทั้งช่วยเติมช่วยซ้ำคำระราน
เป็นเรือนชานไร้ค่าน่าเสียดาย