11 เมษายน 2549 07:55 น.
พี่ดอกแก้ว
คือสัญญา..สัญญาณการสืบต่อ
เป็นวงล้อของวัฏผลัดเวียนผัน
เมื่อกระทบอารมณ์ในฉับพลัน
ความจดจำยึดมั่นก็ตามมา
จำเอาไว้ในเรื่องขุ่นเคืองจิต
จำแล้วเก็บไปคิดริษยา
จำไปสร้างฝึกหัดพัฒนา
จำเอาไปโศกาซ้ำซากใจ
ก่อเรื่องราวไม่สิ้นชีวินสาน
ก่อการงานดีชั่วเพราะหวั่นไหว
ก่อสร้างเหตุของกรรมนำเภทภัย
ก่อเรื่องใหญ่กระทบกระทั่งครั้งไม่ปลง
คือสัญญา...สัญญาณฟุ้งซ่านจิต
ความทรงจำเป็นพิษให้ลุ่มหลง
เพราะจำผิดคิดผิดจิตมึนงง
การตัดสินจึงคงไม่ถูกจริง
ปรับสัญญาแปลงสัญญาณในการรู้
เพียงเฝ้าดูการเกิดของบางสิ่ง
ใช้บทธรรมนำปัญญามาพักพิง
กำหนดตามความจริงของรูปนาม
คือสัญญา...สัญญาณการสิ้นวัฏ
ปัญญาตัดกิเลสสิ้นเขตสาม
กรรมวัฏเปลี่ยนทิศสิ้นจิตทราม
พบวิบากงดงามสิ้นสุดกรรม
6 เมษายน 2549 07:18 น.
พี่ดอกแก้ว
สัญลักษณ์จักรตรีที่ปรากฏ
อย่างยิ่งใหญ่งามงดเกินขับขาน
คือเครื่องหมายแผ่นดินถิ่นสราญ
เยี่ยงอมรพิมานบนแดนทอง
ใต้ธงทิวปลิวไสวไล่อริ
คือเสรีบานผลิไร้หม่นหมอง
กอบกู้ชาตินำชัยได้สมปอง
สถาปนาเขตของคำว่าไทย
หลายร้อยปีมากมีพัฒนา
บำรุงชาติประชาให้ผ่องใส
ยอยกศาสน์กอบกู้สู่เวไนย
กางร่มฉัตรคุ้มไทยให้ยืนยง
หกเมษาเวียนมาอีกคราครั้ง
แม้นชีวิตภินท์พังเป็นผุยผง
ตั้งสัจจารักษาชาติให้ธำรง
เป็นคนไทยซื่อตรงสุจริตการ
น้อมถวายกุศลผลงามจิต
สักการะเจ้าชีวิตผู้สืบสาน
นับแต่องค์ปฐมราชสมภาร
ถ้วนครบเก้ารัชกาลด้วยภักดี
5 เมษายน 2549 20:14 น.
พี่ดอกแก้ว
ชีวิตงามยามใจใช้หิริ
กายวาจาจึงผลิความอ่อนหวาน
สิ้นกระด้างห่างร้ายไกลจากมาร
กั้นขอบรั้วกักพาลเข้าโจมตี
เกรงความชั่วปลีกตัวห่างชั่วช้า
อายเกินกว่าแตะต้องสิ่งหมองศรี
จึงสังวรทุกสิ่งเพื่อทำดี
ไม่ต้องการให้มีความหมองตรม
ชีวิตงามยามใจใช้โอตตัปปะ
หลีกลดละเรื่องทรามความขื่นขม
กลัวโทษทัณฑ์บั่นทอนรอนชีพจม
ตกสู่บ่วงระทมอันต่ำทราม
เพราะกลัวบาปหยาบช้ามาแตะต้อง
กลัวโทษของความผิดมาไถ่ถาม
ความกลัวผลจึงดลบุญหนุนตาม
รักษาศีลทุกยามไม่ล่วงเกิน
ชีวิตงามยามธรรมค้ำคูณสอง
พ้นหม่นหมองด้วยธรรมนำห่างเหิน
กายวาจางดงามความเจริญ
ไม่เพลิดเพลินผิดศีลสิ้นปัญญา
ชีวิตทรามยามเกลือกทุจริต
หลงมัวเมาเบือดบิดความมุสา
ละเมิดศีลสิ้นสวยด้วยอวิชชา
นำความเสื่อมตามมาอย่างน่ากลัว
ชีวิตใครเลือกใช้ตามใจเถิด
ต่างกำเนิดจากความมืดสลัว
เมื่อได้พบสบแสงแสดงตัว
ควรหรือเลือกทางชั่วดำเนินไป
21 มีนาคม 2549 11:37 น.
พี่ดอกแก้ว
มั่นในตนคนเก่งเล็งผลพร้อม
ถูกรุมล้อมกลางวจีที่สรรเสริญ
พูดและทำสิ่งใดดีเหลือเกิน
คนยอเยินว่ารอบรู้ผู้เชี่ยวชาญ
ความเคยชินได้ยินจึงแต่งองค์
สวมชุดผู้ทะนงในคำหวาน
หลงเชื่อตนว่าเก่งไปทุกกาล
จึงดักดานถือแน่แต่จินต์ตัว
ครั้นแผ่นดินผินทางสร้างตระหนก
อีกผืนฟ้าผันผกจนสลัว
คนเก่งกาจเกาะกุมความหวาดกลัว
เริ่มรู้ตัวว่าด้อยน้อยปัญญา
ความทดท้อก่อเกิดเตลิดคิด
หมกมุ่นจิตวกวนล้นปัญหา
เห็นแต่ปวงอุปสรรคเหลือคณา
รำพึงว่าตนเขลาจนเศร้าใจ
เฝ้าตีอกชกหัวระรัวหมัด
หมายกำจัดความไม่รู้ผู้อาศัย
อยากให้ความโศกเศร้าอยู่ห่างไกล
อยากมีไฟส่องสว่างทุกทางเดิน
ที่จริงนั้นเมื่อพลันที่รู้ตัว
ว่าไม่รู้ถ้วนทั่วทั้งผิวเผิน
คือเริ่มรู้เปิดประตูสู่ดำเนิน
เพื่อก้าวเดินเรียนรู้อยู่ต้นทาง
ยิ่งรู้ว่าไม่รู้ในสิ่งไหน
ยิ่งเข้าใกล้เหตุผลพ้นหม่นหมาง
ยอมรับและเรียนรู้ไม่ละวาง
จึงไกลห่างความไม่รู้ผู้มิตรเดิม
ผู้ไม่รู้เปิดประตูสู่ปัญญา
ด้วยศรัทธาความเพียรเรียนรู้เสริม
วิจัยธรรมนำปฏิบัติหัดเพิ่มเติม
ผู้ถือตนคนเดิมละอัตตา
14 มีนาคม 2549 15:11 น.
พี่ดอกแก้ว
ระอุไอไฟวจีทุกที่ถิ่น
ความชุ่มดินรากหญ้าถูกพล่าผลาญ
การกระทบเกิดกระแสอุดมการณ์
ความเดือดดาลแล่นฉิวละลิ่วลม
หลายขบวนชักชวนเชิญชุมนุม
เริ่มเกาะกลุ่มตามจริตคิดผสม
บ้างแอบแฝงแกล้งยุลุอารมณ์
ความเกลียวกลมถีบกายสลายพลัน
คงมิอาจห้ามใครไม่ให้คิด
หรือกั้นปิดชุมนุมกลุ่มสร้างสรรค์
เพราะระบอบเปิดไว้ให้จำนรรจ์
เป็นเสรีสำคัญของชาวไทย
เพียงแต่มองกรองการณ์ผ่านกุศล
มองหลายหนตั้งจิตให้สดใส
การต่อสู้เรียกร้องเพื่อเอาชัย
ทุกฝ่ายล้วนทำไปเพื่อความดี
ทุกเหตุผลอยู่บนงานเพื่อชาติ
ทุกฝ่ายล้วนรักษ์ศาสน์เป็นมิ่งศรี
ทุกกลุ่มต่างจงรักและภักดี
สำนึกพระบารมีถ้วนกมล
หกทศวรรษกางฉัตรไม่ย่อท้อ
ทรงกู้ก่อความเย็นให้เห็นผล
ทรงพลิกฟื้นผืนไทยไร้ร้อนรน
ทรงเปี่ยมล้นพระมหากรุณาธิคุณ
อเนกอนันต์พันประโยชน์และโภชน์ผล
ทรงสละสุขตนเพื่ออุดหนุน
แก่ชาวไทยผู้อาศัยร่มใบบุญ
หลายหลากรุ่นหลายเผ่าทรงเข้าใจ
พระปฐมบรมราชโองการ
กี่วันวารยังกึกก้องและผ่องใส
ใกล้วาระมหามงคลชัย
หวังให้ไทยสิ้นขบวนชนวนวจี
เพื่อพระราชพิธีที่ปรากฏ
ประวัติศาสตร์จารจรดเป็นสักขี
ประเทศไทยงดงามด้วยความดี
ประชาชนต่างมีสุขทั่วกัน