14 กันยายน 2550 20:55 น.
พีรเดช นวลสาย
ฝนข้างนอกยังตกลงมาเป็นสายไหลอาบบนบานกระจกด้านหน้าร้านกาแฟ คงอีกพักใหญ่กว่าฝนจะหยุด เมฆสีดำทะมึนยังปักหลักอยู่บนฟ้าฟากตะวันตก ฉันนึกในใจอยากให้ฟ้าเปียกอย่างนี้ไปตลอดทั้งวัน หรือจะชั่วกัป ชั่วกัลป์เลยก็ยังได้ ฝนไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับฉัน ฉันเปียกปอนมาหลายฤดูกาลจนมาถึงวันนี้ ร้านกาแฟก็ไม่ใช่เรื่องใหม่เหมือนกัน ฉันนั่งมาแล้วไม่รู้กี่ร้าน ดื่มกาแฟทั้งร้อนทั้งเย็นนับไม่ถ้วนถ้วย แต่สายฝนโปรยปรายกับกลิ่นหอมกรุ่นในร้านกาแฟเป็นส่วนผสมที่ลงตัวจนยากที่ใครจะอยากให้เวลาแห่งความสุขเล็กน้อยนี้ผ่านพ้นไปโดยเร็ว
ฉันว่าง...ใช่ ว่างซะจนนั่งนับนิ้วและตั้งคำถามกับตัวเองเล่นๆ ว่าจะมีเวลากี่นาทีที่ถูกใช้จ่ายไปหลังถ้วยกาแฟแต่ละถ้วย แน่นอนฉันไม่ได้คำตอบ มันก็แค่คำถามโง่ๆ ของคนว่างจัดเท่านั้นเอง ฉันมองถ้วยกาแฟว่างเปล่าตรงหน้า
- แกคงคิดว่าฉันบ้า ฉันพึมพำกับมัน ฉันไม่ได้บ้าหรอกเจ้าถ้วยกาแฟผู้น่าสงสาร ความจริงฉันกำลังรอบางสิ่งบางอย่างอยู่ต่างหาก อย่าเพิ่งรีบร้อนถามนะว่าบางสิ่งบางอย่างที่ว่านั่นมันคืออะไร? เรื่องอะไรฉันจะบอกล่ะ ฉันชอบแกล้งให้ใครต่อใครอยากรู้อยากเห็นอย่างนี้เสมอ ความอยากรู้อยากเห็นช่วยสร้างความสำคัญให้กับฉัน ถึงจะภูมิใจได้ไม่เต็มที่นัก แต่..เถอะน่า ไม่มีคนอย่างฉันให้ใครได้อยากรู้อยากเห็นเยอะนักหรอก แล้วอีกอย่าง ใช่ว่าเราจะได้พบกันบ่อยๆ ซะเมื่อไหร่ ฉันอาจจะแวะมาที่ร้านนี้อีกทีในเดือนหน้า บางทีอาจจะปีหน้า โชคร้ายหน่อยฉันอาจจะไม่เยี่ยมหน้ามาที่นี่อีกเลยก็ได้ ถ้าฉันบังเอิญไปเจอร้านใหม่ที่ถูกใจกว่า คนเราไม่จำเป็นต้องนั่งร้านกาแฟร้านเดียวไปตลอดนี่ ต่อให้ฉันแวะมาในคราวหน้าก็ใช่ว่าเราจะได้เจอกันเสมอไป เขาอาจจะยกถ้วยใหม่มาเสิร์ฟฉันก็ได้ ส่วนแกอาจจะยิ้มหน้าบานต้อนรับสาวๆ อยู่ที่โต๊ะอื่น ไม่ก็ถูกแขวนให้เหงาอยู่หลังร้าน ทีนี้ เวลาหลังถ้วยกาแฟของเราสำคัญพอที่จะถูกพูดถึงหรือยัง? อย่าเพิ่งซีเรียส ฉันคงไม่ชวนคุยถึงเรื่องอะไรที่ชวนอึดอัดเกินไปหรอก ฉันเป็นพวกชอบเสพความสุข อะไรที่บ่อนทำลายความสุขฉันไม่เอามันมาพูดคุยในร้านกาแฟหรอก คนใจร้ายเท่านั้นแหละที่จะมานั่งปรับทุกข์ในร้านกาแฟ
เจ้าถ้วยกาแฟอมทุกข์ คงไม่ใช่คำกล่าวหาที่รุนแรงเกินไปหรอกนะ ก็แกเป็นอย่างนั้นจริงๆ ในสายตาฉัน แกอมทุกข์เหมือนคนอีกหลายร้อยหลายพันคนที่ฉันเคยพบเห็น ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าพวกเขามีเรื่องอะไรใหญ่โตหรือสำคัญมากมายที่จะต้องเอามาแบกไว้บนบ่ากันตลอดเวลา ไม่เว้นแม้กระทั่งในร้านกาแฟ จะว่าไปแล้วฉันก็มีความทุกข์ แต่ฉันไม่เคยแบกมันเข้ามาในร้านกาแฟ เวลาหลังถ้วยกาแฟของฉันสงวนไว้สำหรับความรู้สึกดีๆ เท่านั้น จะถือเป็นการผิดมารยาทถ้าแกคิดจะไถ่ถามถึงความทุกข์ของฉัน ทีนี้ แกควรจะยิ้มได้แล้ว
แกเห็นด้วยไหมถ้าฉันจะแสดงความเห็นว่า ทุกคนควรดื่มกาแฟ และจะดีมากหากรัฐบาลจะกำหนดให้มีวัฒนธรรมการดื่มกาแฟอย่างเอาจริงเอาจัง มีการกำหนดเวลาดื่มที่แน่นอน เราจะได้ใช้จ่ายเวลาหลังถ้วยกาแฟอย่างมีความสุขร่วมกัน เพราะฉันรู้สึกว่าเรากำลังใช้เวลากันอย่างสิ้นเปลืองเหลือเกิน ต่างคนต่างใช้โดยไม่คำนึงถึงเวลาที่เราจะมีความสุขร่วมกันเลยแม้แต่น้อย ฉันกลัวว่าอีกไม่นานเราคงจะหลงลืมเวลาหลังถ้วยกาแฟกันหมด หรือแกมีความเห็นเป็นอย่างอื่น?
เอาล่ะ เพื่อเป็นการตอบแทนที่แกอุตส่าห์ทนฟังฉันบ่นมาพักหนึ่งแล้ว จะบอกให้ก็ได้ว่าฉันกำลังรออะไรอยู่ ..ฉันมีนัด เรียกว่านัดสำคัญก็ได้ เพราะคนที่ฉันนัดเจอนั้นเป็นคนสำคัญสำหรับฉัน เวลาตอนนี้ อืม...17.50 น. เลยเวลานัดมา 20 นาทีพอดิบพอดี แต่ก็ไม่น่าแปลกอะไรหรอก ฝนกำลังตกนี่ ฝนหยุด ฉันว่าเค้าคงจะมาถึงเองล่ะ ตอนนี้ก็แค่รอ อย่างน้อยฉันก็ไม่ได้รู้สึกกระวนกระวายใจอะไร ดีซะอีก จะได้ยืดเวลาหลังถ้วยกาแฟออกไปนานๆ
ความจริง ฉันดื่มกาแฟมาแล้วหลายร้อยถ้วย แต่แกเป็นถ้วยกาแฟใบแรกที่ฉันคุยด้วย ไม่ใช่ว่าฉันหยิ่งหรอกนะ แต่ใครบ้างล่ะจะเที่ยวนั่งคุยกับถ้วยกาแฟไปทั่ว ถ้าแกเป็นตู้โทรศัพท์ก็ว่าไปอย่าง จะว่าฉันถูกชะตากับแกก็ไม่เชิง เอาเป็นว่าฉันรู้สึกถึงความพิเศษบางอย่างในตัวแกที่ถ้วยกาแฟอื่นไม่มีก็แล้วกัน ..ฉันข้ามอะไรไปรึเปล่า? ไม่หรอกฉันยังไม่ได้เล่าอะไรเลยต่างหาก ฉันแค่บอกว่าฉันมีนัด และเป็นนัดสำคัญ เท่านั้น
ฉันนัดกับผู้หญิงคนหนึ่ง เธอเป็นคนดี เรายังรู้จักกันไม่มากมายหรอก แต่บางสิ่งบางอย่างทำให้ฉันเชื่ออย่างนั้น นอกจากเป็นคนดีแล้วเธอยังเป็นคนสุดพิเศษ เธอเป็นศิลปิน เป็นคนที่เข้าใจยากสำหรับใครต่อใคร แต่เป็นคนเดียวที่เข้าใจฉันมากที่สุด ฉันจะบอกความลับให้อย่างหนึ่ง ..เธอให้ความสำคัญกับเวลาหลังถ้วยกาแฟเหมือนอย่างฉัน
แปลกใจล่ะสิ ไม่บ่อยนักหรอกที่เราจะเจอคนที่ให้ความสำคัญกับเวลาหลังถ้วยกาแฟอย่างจริงจัง แต่ฉันกล้ารับรองว่าเธอเป็นหนึ่งในนั้น เธอไม่เคยหอบเอาความทุกข์เข้ามาในร้านกาแฟ ไม่เคยนั่งพ่นทุกข์ใส่หน้าใครหลังถ้วยกาแฟ เธอเอ็นดูต่อทุกๆ วินาทีที่กำลังขยับราวกับมันเป็นวินาทีสุดท้ายที่มีให้ใช้จ่าย
เจ้าถ้วยกาแฟ ..แกดูดีขึ้นเยอะแล้วนี่ ฉันไม่รู้ว่าเคยมีใครคุยกับแกมาก่อนหรือเปล่า แต่ฉันยอมรับตามตรงว่าได้คุยกับแกแล้วฉันสนุก ถึงแกจะเอาแต่เงียบ ฉันก็รู้สึกว่าแกกำลังตั้งใจฟังและสนุกกับเรื่องที่ฉันเล่า จริงไหม?
คนพิเศษของฉัน มีชีวิตอยู่เพื่อคนอื่น เธอจะนึกถึงคนอื่นก่อนตัวเองเสมอ งานของเธอจึงเป็นงานที่ทำเพื่อคนอื่น แกคงนึกไม่ถึงว่าจะมีคนที่วิ่งไปห้ามเลือดให้คนอื่น ทั้งๆ ที่ตัวเองก็มีแผลฉกรรจ์
“ฉันอยากให้เธอเลิกใช้คำว่า ‘คนอื่น’ เพราะมันเป็นเครื่องมือแยกเขาแยกเราอย่างร้ายกาจ” เธอเคยพูดกับฉันอย่างนี้ ด้วยสีหน้าจริงจังจนฉันไม่กล้าแสดงความคิดเห็นใดๆ อีก “ไหนคนอื่น? ...มองไปรอบๆ ตัวเธอสิ เธอเห็นอะไร ‘เพื่อนมนุษย์’ ไม่ใช่หรือ แล้วคนไหนล่ะที่เป็นคนอื่น คนไหนที่แตกต่างจากเธอ ทุกคนล้วนเหมือนกันกับเธอทั้งนั้น แล้วมีเหตุผลอะไรที่เธอจะไม่ทำเพื่อพวกเขา”
ฉันไม่ค่อยได้ทำอะไรเพื่อคนอื่นเท่าไหร่หรอก คนแรกที่ฉันนึกถึงเสมอก็คือตัวเอง ฉันหิว ฉันง่วง ฉันเหงา ฉันเศร้า ความคิดฉันไม่เคยเดินออกไปพ้นจากเงาของตัวเอง ..นี่ ฉันเริ่มซีเรียสรึยัง?
เธอเป็นคนอย่างนั้น ฉันอยากให้แกได้รู้จักเธอ เจ้าถ้วยกาแฟผู้เงียบเชียบ
ใครก็ตามที่ได้รู้จักคนอย่างเธอ จะรู้สึกเหมือนได้เดินเข้าไปในสถานีรถไฟเก่าแก่ อากาศในนั้นจะอบอุ่นอยู่ตลอดเวลาแม้ว่าข้างนอกกำลังเกรี้ยวกราดด้วยพายุฝน และแน่นอนมันเต็มด้วยรถไฟหลายสิบขบวนที่มีปลายทางแตกต่างกัน ซึ่งเราไม่มีวันรู้ว่าขบวนไหนจะเดินทางไปสิ้นสุด ณ ที่แห่งใด ฟังดูเหมือนเป็นความท้าทายที่ทำให้เราพร้อมก้าวเท้าขึ้นไปสักขบวน แต่เชื่อเถอะว่าเมื่อได้เดินเข้าไปยังด้านในสุดของสถานีแล้วเราจะไม่อยากออกไปที่ไหนอีกเลย ปลายทางเหล่านั้นกลายเป็นความท้าทายที่เราไม่อยากรู้อีกต่อไป
เบื่อหรือยัง...เจ้าถ้วยกาแฟ?
อันที่จริงฉันก็อยากให้แกเป็นฝ่ายเล่าให้ฟังบ้างหรอกนะ แต่แกเอาแต่นิ่งเงียบ ฉันก็เลยเหมาเอาว่าแกชอบที่จะเป็นผู้ฟังที่ดีมากกว่า ใช่ไหม? หรือต่อให้แกไม่ชอบจริงๆ ฉันก็ยังรู้สึกผิดน้อยกว่ารบกวนคนอื่น เพราะแกมีหูแค่ข้างเดียว
ฉันกำลังมีความสุข ด้วยเหตุผลหลายๆ อย่าง และหนึ่งในหลายๆ อย่างนั้น คือการมีเวลาหลังถ้วยกาแฟยาวนานขึ้น เทียบกับก่อนนี้ฉันแทบจะไม่มีเวลารอให้กาแฟอุ่นลงเลยด้วยซ้ำ ทุกๆ วินาทีในชีวิตฉันเหมือนติดปีกให้ฉันต้องวิ่งตาม ฉันมีชีวิตอย่างนี้ เต็มไปด้วยความเร่งด่วน ตื่น กิน ทำงาน นอน ไม่มีเวลาหยุดพักหรือหันมองผู้คนรอบข้าง จนกระทั่งเธอเดินเข้ามาในชีวิตฉันทุกอย่างจึงเปลี่ยนแปลงไป
อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าฉันเป็นคนที่น่าสนใจจนดึงดูดให้เธอเดินเข้ามาหา ฉันเหมือนคนผู้ทุกขเวทนาทั่วไปที่เธอพร้อมจะยื่นมือเข้ามาช่วย เธอทำให้ฉันมองเห็นหลายสิ่งหลายอย่างรอบตัวที่ฉันเคยมองข้าม ที่สำคัญเธอทำให้ฉันมองเห็นตัวเอง และรู้จักตัวเองมากขึ้น
ตามทันไหม๊...เจ้าถ้วยกาแฟ?
ตั้งแต่รู้จักเธอ ฉันยัง ตื่น กิน ทำงาน นอน ตามเดิม แต่ทำมันอย่างมีความหมายมากขึ้น ตื่นอย่างมีความหมาย กินอย่างมีความหมาย ...ฉันทำทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตให้มีความหมาย แม้แต่เวลาว่างที่เริ่มมีมากขึ้นฉันก็ใช้จ่ายมันไปอย่างมีความหมาย และนั่นแหละที่ทำให้ฉันมีความสุข
ฉันเชื่อว่า ไม่ว่าใครต่างก็อยากมีเวลาหลังถ้วยกาแฟนานขึ้น แม้ว่าในความเป็นจริงแล้วมันจะไม่ได้เป็นอย่างนั้น ทุกคนต่างเร่งรีบ รีบดื่มและรีบผละจากไป พวกเขาเย้ยหยันการนั่งหลังถ้วยกาแฟว่าเป็นความสูญเปล่า ฉันสงสารพวกเขาเหลือเกิน แกก็เห็นด้วยใช่ไหม เจ้าถ้วยกาแฟ?
............................................
...ฝนคงไม่หยุดง่ายๆ นั่นคงเป็นเหตุผลที่เธอยังไม่ปรากฏตัว ฉันกระวนกระวายไหม? ไม่หรอก ฉันบอกแล้วไงว่ามีเวลาว่างเหลือเฟือ และยินดีที่จะจ่ายเพื่อแลกกับความสุขหลังถ้วยกาแฟ ไม่ว่าเธอจะมาหรือไม่หลังฝนหยุดก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องเป็นกังวล ในเมื่อฉันรับรู้อยู่แล้วว่าเธอมีตัวตน...อยู่ที่ไหนสักแห่งหนึ่ง
ว่าแต่ แกจะว่าอะไรไหม ถ้าฉันจะสั่งกาแฟอีกสักถ้วย?
9 เมษายน 2550 23:45 น.
พีรเดช นวลสาย
5 นาทีก่อน
ผมเพิ่งเดินออกมาจากห้องพักเล็กๆ แคบๆ ของบังกะโล พร้อมเบียร์เย็นเจี๊ยบสองขวดเล็ก มานั่งแหมะลงบนผืนทรายสีขาว เพื่อรอดูดวงอาทิตย์ตก
มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะเมาทั้งที่เวลาเพิ่งจะขยับมาได้แค่ห้านาที และเบียร์
ก็พร่องไปแค่นิดเดียวเท่านั้นเอง หรือต่อให้ดื่มหมดทั้งสองขวดนี่ก็ตามทีเถอะ ผมกล้ารับประกันเลยว่ามันยังห่างไกลคำว่าเมา ผมอาจจะไม่ใช่นักดื่มประเภทคอทองแดง แต่ก็จัดว่าเป็นพวก ฝึกมาดี ไอ้เรื่องจะมาเสียท่ากับอีแค่เบียร์ขวด - สองขวดนี่นึกกี่ทีมันก็ไม่สมเหตุสมผล
ในเมื่อผมไม่ได้เมา แล้วทำไมตาผมถึงได้เห็นนางฟ้ากำลังเดินอยู่บนชายหาด?!
เป็นนางฟ้าที่ดูเรียบง่าย พรางตัวด้วยเสื้อกล้ามสีขาว ทับด้วยกางเกงเลหลวมๆ สวมกำไรที่ข้อมือและข้อเท้า อย่างละพอเหมาะพอเจาะ
นั่งด้วยคนได้ไหมคะ? รู้ตัวอีกทีเท้าเปลือยเปล่าของเธอก็มายืนอยู่บน
ความประหม่าของผมเรียบร้อยแล้ว
รังเกียจรึเปล่าคะ ถ้าจะขอนั่งตรงนี้ด้วยคน เธอต้องเอ่ยขอเป็นครั้งที่สองเพราะผมเอาแต่นิ่งอึ้ง
ไม่...เอ่อ ได้-ครับ ผมอึกอัก พลางผายมือเชื้อเชิญ
ขอบคุณ เธอยิ้มกว้างก่อนหย่อนตัวลงนั่ง เป็นรอยยิ้มแปลกตาที่ผมไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน
- เราเคยรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่าครับ?
นั่นเป็นคำถามงี่เง่าที่ผมพอจะนึกออกในเวลานี้ ...แล้วไงล่ะ ถ้าไม่เคยรู้จักผม
จะไม่อนุญาตให้เธอนั่งด้วยงั้นหรือ ผมไม่ใช่เจ้าของหาดนี้สักหน่อย
- คุณเป็นนางฟ้าใช่ไหมครับ?
นั่นเป็นคำถามงี่เง่ากว่า ที่สมองของผมนึกขึ้นมาได้อีกในเวลากระชั้นกัน
บุหรี่ไหม? เธอหันมาพร้อมยื่นซองบุหรี่สีเขียวมาทางผม
...ผม ไม่สูบ ผมรีบโบกมือปฏิเสธ
งั้นคงไม่รังเกียจนะคะ ถ้าฉันจะสูบ เธอยิ้มแบบเดิม มันคงเป็นรอยยิ้ม
ในแบบฉบับของเธอที่ไม่มีใครเลียนแบบหรือขโมยไปจากเธอได้
ตามสบายครับ ผมอยู่ท่ามกลางวงบุหรี่จนชินแล้วล่ะ เผลอๆ ผมนี่แหละที่
อาจจะตายก่อนๆ เพื่อนๆ ที่รวมหัวกันรมควันใส่อยู่แทบทุกวัน
หญิงสาวส่งบุหรี่เข้าปากและจุดไฟสูบด้วยท่วงท่าที่เป็นธรรมชาติ เดาเอาว่าเธอคงทำใช้ท่าทางที่ว่านี้มานับร้อยนับพันครั้งแล้ว จนไม่รู้สึกขัดแม้กระทั่งกับคนที่เพิ่งจะเคยผ่านตาครั้งแรกอย่างผม เธอพ่นควันสีขาวออกมาทางปากและจมูกพลางค่อยๆ เหยียดขาออกไปข้างหน้าอย่างผ่อนคลาย
เบียร์ไหมครับ? ผมยื่นเบียร์ขวดที่เหลือให้เธอ เธออมยิ้ม
จะเสียมารยาทไหม ถ้าฉันรับเบียร์คุณ ในขณะที่คุณไม่รับบุหรี่ฉัน
ไม่หรอก ผมไม่สูบเองนี่นา
ขอบคุณ เธอรับขวดเบียร์ไปจากมือผม ยกขึ้นดื่ม 2-3 อึก และใช้หลังมือปาดเช็ดริมฝีปาก ท่วงท่านั้นอาจจะดูเป็นธรรมชาติน้อยกว่าตอนที่เธอจุดบุหรี่สูบ
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเป็นท่าทางที่น่าสนใจและน่าดูไม่น้อยไปกว่ากัน
- เธอเป็นหญิงสาวที่น่าสนใจ ใช่! เธอเป็นหญิงสาวที่น่าสนใจ อยู่ๆ เธอก็ปรากฏตัวขึ้นที่ชายหาดและตอนนี้เธอมานั่งอยู่ข้างผม ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างไร้เหตุผล
คุณชอบทะเลไหม? เธอถามขึ้นหลังปล่อยควันบุหรี่ออกไปจนหมด
ผมเหรอ?...ชอบสิ ทำไมเหรอ? ผมงงกับคำถาม
เปล่า ไม่มีอะไร ก็แค่อยากรู้น่ะ ฉันเคยเห็นบางคนทนอยู่กับสิ่งที่ตัวเอง
ไม่ชอบเกือบทั้งชีวิต โดยอ้างเหตุผลต่างๆ นานา ฉันไม่เห็นความสำคัญกับ
การที่เราต้องมานั่งหาเหตุหาผลให้กับสิ่งที่เราไม่ชอบเลย ฉันก็เลยอยากรู้ว่าจริงๆ แล้วคุณชอบทะเลรึเปล่า หรือคุณแค่ไม่รู้จะไปไหนก็เลยมาทะเล แววตาเธอดูจริงจังกับคำพูดอยู่ไม่น้อย
ผมชอบทะเล จริงๆ ผมยืนยันด้วยสัตย์จริง ผมชอบทะเลเสมอมาไม่ว่าเธอ
จะเกรี้ยวกราดหรือเงียบสงบ และไม่ว่าผมจะกำลังทุกข์หรือลิงโลด
ฉันเชื่อคุณ เธอยิ้มกว้าง(อีกแล้ว) ฉันเองก็ชอบทะเล เรียกว่าหลงเลยล่ะ ฉันจะมานั่งมองเธอบ่อยเท่าที่ฉันมีโอกาส ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ฉันก็จะนึกถึงทะเลเป็นอันดับแรก ไม่มีที่ไหนที่ฉันไปแล้วสบายใจเท่ากับการมานั่งมองทะเล
แต่ก็แปลก ในขณะที่คนอื่นชอบที่จะดำผุดดำว่าย ล้อเล่นกับลูกคลื่นกันอย่างสนุกสนาน ฉันกลับต้องการแค่นั่งมองดูเฉยๆ ...คุณเชื่อรึเปล่าว่าบ่อยครั้ง
ฉันกลับไปโดยที่ไม่เปียกน้ำทะเลเลยแม้แต่นิดเดียว
อืม...จะว่าไปก็แปลกดี ตรงข้ามกับผมเลย ผมชอบลงเล่นน้ำทะเล โดยเฉพาะตอนฝนตก
ฝนตก? เธอร่นหัวคิ้วเข้าหากัน
ใช่ ตอนที่ฝนตกน่ะ ทุกคนจะรีบเผ่นขึ้นจากน้ำหนีเข้าที่พักเพื่อหลบฝน
นั่นล่ะ คือเวลาที่ทะเลสงบที่สุด คิดดูสิผืนน้ำกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตากลายเป็นของเราเพียงคนเดียว ผมกางแขนเป็นวงกว้างแสดงท่าทางประกอบ
ก็แปลกดีเหมือนกัน เธอหันมายิ้ม ถ้ามีโอกาสฉันจะลองดูบ้าง เผื่อจะได้เป็นเจ้าของทะเลเหมือนอย่างคุณ
รอยยิ้มของเธอทำให้ผมทึกทักเอาเองว่าเราสนิทกันแล้ว ทั้งที่ความจริงผมเพิ่งเจอเธอไม่ถึงสิบนาทีเลยด้วยซ้ำ แต่บางสิ่งบางอย่างบอกกับผมว่า หญิงสาวแปลกหน้าคนนี้มีอะไรหลายๆ อย่างน่าสนใจดี บางทีความแปลกหน้าก็เป็นแค่เงื่อนไขฉาบฉวยที่เราสมมุติขึ้นมาเพื่อแบ่งแยกตัวเราออกจากคนอื่นๆ เราเรียกคนที่เราเพิ่งเคยเจอครั้งแรกว่าคนแปลกหน้า ทั้งที่คนเดียวกันนั้นอาจจะเป็นคนสนิทของคนอื่นๆ เราเรียกคนที่เราพบหน้าบ่อยๆ ว่าคนรู้จักหรือมากกว่านั้นในฐานะคนสนิทคนที่เราไว้เนื้อเชื่อใจ และพร้อมจะมอบความจริงใจให้ แต่คนสนิทคนนั้นก็พร้อมจะกลายเป็นแค่คนแปลกหน้าได้หากวันหนึ่งคนๆ นั้น
เกิดทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจที่เรามอบให้ ในขณะที่คนแปลกหน้าก็พร้อมที่จะเปลี่ยนไปเป็นคนสนิทหากเราพร้อมที่จะมอบความไว้เนื้อเชื่อใจให้
- เธอจะเห็นผมเป็นแค่คนแปลกหน้ารึเปล่านะ?
ที่นี่...ดวงอาทิตย์ตกสวยที่สุดเลยรู้ไหม? เธอพูดขึ้น สายตามองออกไปสุดเส้นขอบฟ้า ฉันจะมานั่งตรงนี้ทุกครั้งเพื่อดูดวงอาทิตย์ตก มันเป็นจุดที่เห็นชัด
ที่สุด และสวยงามที่สุดด้วย...ฉันคิดว่านะ
เอ่อ...ผมแย่งที่คุณรึเปล่า ผมพูดขึ้นอย่างเกรงใจ
เปล่าๆ เธอรีบโบกมือ คุณมีสิทธิ์บนหาดนี้พอๆ กับฉัน อย่าคิดมากสิ ดีซะอีก
ที่เจอคุณฉันจะได้ไม่ต้องนั่งเหงาคนเดียว
เอ่อ...ผมค่อนข้างจะเป็นคนน่าเบื่ออยู่สักหน่อย ผมรีบออกตัวไว้ก่อน
ความจริงน่าจะรีบมากกว่านี้หน่อย
ไม่หรอก ฉันว่าคุณเป็นเพื่อนคุยที่ใช้ได้เลยแหละ ปกติฉันไม่เคยคุยกับ
คนแปลกหน้าได้นานขนาดนี้เลยนะ ความจริงฉันไม่ค่อยชอบคุยกับใครเลยด้วยซ้ำ แต่วันนี้ฉันไม่อยากนั่งเงียบอยู่ลำพังเพียงคนเดียว ขอโทษนะที่วิสาสะใช้คุณเป็นเพื่อนคุยน่ะ ถ้ารำคาญก็บอกฉันตรงๆ ได้ ฉันยินดีจะอยู่เงียบๆ
หรือจะให้ฉันไปก็ได้นะ...ถ้าคุณรำคาญ
เปล่าๆ ผมไม่ได้รำคาญอะไรสักหน่อย ผมอยากให้เธออยู่ต่อโดยไม่มีเหตุผลอะไรรองรับทั้งสิ้น ผมแค่อยากฟังเสียงเธอ ฟังเรื่องราวที่พรั่งออกมาจาก
ริมฝีปากเรียวบางที่พร้อมจะสร้างปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ คือรอยยิ้มอัน
ลึกลับที่ราวกับกุมความลับสำคัญแห่งชีวิตทั้งหมดทั้งมวลเอาไว้ - ผมแค่อยาก
จะเห็นมันอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ขอบคุณ เธอยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ผมทึกทักเอาเองอีกทีว่าไม่น่าจะใช่รอยยิ้มสำหรับคนแปลกหน้า(แน่ๆ)
ดวงอาทิตย์เริ่มหย่อนตัวต่ำลงเรื่อยๆ คะเนด้วยสายตาน่าจะห่างจากผิวน้ำทะเลอีกแค่ไม่กี่คืบ แสงสีทองยังคงแผ่ออกไปฉาบทาทั่วทั้งแผ่นฟ้าและเต้นระริก
อยู่บนผืนน้ำที่เกลื่อนด้วยระลอกคลื่น ปรากฏการณ์ที่เห็นเบื้องหน้า-งดงาม
ราวภาพฝัน ผมอาจจะกำลังฝันไป...ว่ากำลังนั่งอยู่บนชายหาดแห่งสรวงสวรรค์ และพูดคุยอยู่กับนางฟ้า...
บ่อยไหม?
ผมหันไปมองเธอด้วยสีหน้างงๆ ไม่แน่ใจว่าเธอกำลังพูดกับผมอยู่รึเปล่าเพราะน้ำเสียงนั้นเบาและเจือความสลดอยู่ในที บางทีเธออาจจะแค่พูดอะไรขึ้นมาลอยๆ
...คุณมาที่นี่บ่อยไหม? เธอหันมาทางผมเพื่อแสดงให้รู้ว่าคำถามนี้สำหรับผม และคงต้องการคำตอบด้วย
ครั้งแรกน่ะ ผมยิ้มเขินๆ ความจริงไม่มีเหตุผลที่ต้องเขินเลย
ครั้งแรกกับหาดนี้?
ครั้งแรกกับทั้งเกาะนี่แหละครับ ความจริงผมตั้งใจจะมาที่นี่ตั้งนานแล้วล่ะ เพื่อนที่เคยมาเล่าให้ฟังว่าที่นี่คือสวรรค์สำหรับคนที่หลงรักทะเล และบอกว่า
ผมน่าจะหาโอกาสมาให้ได้สักครั้ง แต่หลายต่อหลายครั้งผมก็ต้องล้มเลิกการ
เดินทางด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันออกไป แต่คราวนี้เหมือนมีความพิเศษบางอย่างอยู่ในตัวมันเอง อยู่ๆ ผมก็สะพายกระเป๋าออกมา หยิบได้เสื้อผ้าไม่กี่ชุด แถมไม่ได้บอกใครเลยสักคนว่ามาที่นี่ และคงไม่มีใครรู้หรอกเพราะผม
ปิดมือถือทิ้งไว้ที่ห้อง
ยินดีต้อนรับสู่สรวงสวรรค์ เธอยื่นมือมาขอจับมือ
ขอบคุณครับ ผมเขย่ามือกับเธอเบาๆ ...รู้สึกหัวใจมันกำลังเต้นผิดจังหวะ
รู้ไหม...ฉันมาที่นี่ เวลานี้ทุกๆ ปี เธอแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ท่าทางเปลี่ยนไปจากเมื่อครู่ราวกับเธอได้ชักม่านแห่งความเป็นส่วนตัวลงมาโอบคลุมตัวเองเอาไว้ เพื่อไม่ให้คนภายนอกเข้าไปจุ้นจ้านในอาณาเขตส่วนตัวอันลึกลับนั้น
คุณจะหัวเราะเยาะไหม...ถ้าฉันจะเล่าเรื่องของฉันให้ฟัง? เธอแง้มม่านออกมาถามผม
ไม่รู้สิ มันก็ขึ้นกับเรื่องที่คุณจะเล่านะ ถ้ามันขำผมก็อาจจะหัวเราะแต่รับรองได้เลยว่ามันจะไม่ใช่การหัวเราะเยาะ เพราะไม่มีเหตุผลที่จะทำเรื่องหยาบคาย
อย่างนั้นกับคนที่เราเพิ่งจะรู้จักเป็นครั้งแรก โดยส่วนตัวผมเกลียดการหัวเราะเยาะอยู่แล้ว ผมบอกเธอตามที่รู้สึก
ฉันเชื่อคุณ เธอดึงขาเข้ามาชิดลำตัวและโอบรัดไว้ด้วยวงแขน จากนั้นค่อยๆ วางคางเล็กแหลมลงบนหัวเข่า
หลายปีก่อน ฉันได้พบกับผู้ชายคนหนึ่ง เป็นครั้งแรก...ที่นี่ สายตาเธอมองออกไปยังผืนน้ำที่กำลังกระเพื่อมไหวอย่างเลื่อนลอย
ฉันนั่งอยู่ตรงนี้ และกำลังร้องไห้...
ร้องไห้?
ใช่...ฉันเพิ่งจะอกหัก เธอหัวเราะในลำคอ จากคนที่ฉันแอบรักมานาน
เราอยู่ใกล้กันมาก มากซะจนฉันไม่กล้าที่จะสารภาพความรู้สึกจริงๆ ที่มีให้เขารู้ จนกระทั่งวันที่เขายื่นการ์ดแต่งงานใส่มือฉันพร้อมกับคำเชื้อเชิญให้ไปร่วมงานแต่งงาน...วันนั้นฉันสารภาพความจริงออกมาจนหมดเปลือก
แล้ว...เขาว่าไง? ผมสนใจอยากรู้จริงจัง
เขาไม่อยู่แล้วล่ะ...ตอนที่ฉันพูดน่ะ เธอกระชับวงแขนแน่นขึ้น ฉันไม่กล้าพอที่จะพูดต่อหน้าเขาหรอก ฉันพูดกับถังดับเพลิงที่ผนังต่างหากล่ะ ความจริงฉันคิดว่าสิ่งที่ฉันพูดมันไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้แล้ว และฉันก็ไม่อยากสร้างความกังวลใดๆ ให้กับเขา ตราบเท่าที่เขายังไม่เคยได้ยินมันฉันเชื่อว่าเรา
น่าจะเป็นเพื่อนกันต่อไปได้
สรุปคือคุณไม่กล้าพอที่จะบอก? ผมแทรกขึ้น
จะว่ายังงั้นก็ได้ เธอขยับตัว ดึงบุหรี่ออกมาจุดสูบอีกมวน หรือถ้าจะมองอีกด้านอาจเป็นเพราะฉันไม่กล้าพอที่จะรับรู้ความรู้สึกจริงๆ ที่เขามีต่อฉัน ถ้าเขาพูดออกมาในสิ่งที่มันตรงกันข้าม...ฉันคงรับมือกับมันไม่ไหว
อือ...ผมว่า ผมเข้าใจ ผมยกเบียร์ขึ้นดื่มหลายอึกติดๆ กัน
ฉันไม่ได้ไปงานแต่ง
แต่มานั่งร้องไห้อยู่ที่หาดนี้แทน?
ใช่ เธออมยิ้ม ก่อนป้อนบุหรี่เข้าปาก และระบายควันออกมาเป็นสายสีขาว
ล้อเล่นกับสายลมที่คอยไล่ต้อนให้ม้วนหายไปอย่างรวดเร็ว ฉันนั่งร้องไห้เหมือนเด็กผู้หญิงขี้แยคนนึง เด็กผู้หญิงที่ต้องทนเห็นโลกทั้งโลกของเธอ
ล่มสลายลงไปต่อหน้า โดยที่ไม่อาจทำอะไรได้เลย ...และในวินาทีที่คิดว่าชีวิต
ไม่หลงเหลืออะไรสักอย่าง ผู้ชายที่น่าทึ่งคนหนึ่งก็ก้าวเข้ามายืนท่ามกลางความว่างเปล่านั้น พร้อมๆ กับผ้าเช็ดหน้าสีขาวผืนเล็ก
เธอหลับตา คล้ายต้องการปล่อยมโนภาพเกี่ยวกับชายคนนั้นให้เป็นอิสระ
เขาปลอบโยนฉันด้วยน้ำเสียงที่ไม่ใช่คนแปลกหน้าทั้งที่เราไม่เคยรู้จักกัน
มาก่อน แต่ไม่ว่าใครก็เริ่มต้นจากตรงจุดนี้ไม่ใช่หรือ เราล้วนเป็น
คนแปลกหน้าต่อกันก่อนจะกลายเป็นคนรู้จักและกลายเป็นอย่างอื่นที่ล้วน
แล้วแต่เราจะนิยาม ฉันรู้สึกประหลาดใจจนบอกไม่ถูกที่คำพูดจากปากของคน
ที่ฉันไม่เคยรู้จักกลับมีความหมายต่อฉัน คุณเข้าใจสิ่งที่ฉันกำลังพูดไหม?
ผมพยักหน้ารับ ดวงตาของผมกำลังยืนยันกับเธอว่าผมเข้าใจความรู้สึกแบบนั้นจริงๆ
นั่นแหละ วินาทีนั้นฉันรู้สึกว่าได้พบกับสิ่งที่เฝ้ารอและค้นหามาตลอดชีวิต ทุกอย่างเกิดขึ้นราวกับปาฏิหาริย์ ราวกับมีใครคนหนึ่งเขียนบทเอาไว้ล่วงหน้า คุณจะหาว่าฉันงมงายยังไงก็เอาเถอะ ถึงฉันจะไม่ค่อยเชื่อในเรื่องพรมลิขิตอะไรนัก แต่ฉันก็ยังหาคำอธิบายที่ดีกว่านี้ไม่ได้ เอาเป็นว่าคุณเคยเจอคนแบบที่...คุณหลงรักในทันทีได้เลยไหม?
เคยสิ...คนแบบนั้นเหมือนมีแรงดึงดูดอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็น แต่กลับชัดเจนในความรู้สึก แค่เห็นครั้งแรกเราก็อยากโยนกฎเกณฑ์การเป็น
คนแปลกหน้าทิ้งไปเลย แต่ส่วนใหญ่ผมมักจะเป็นฝ่ายรู้สึกอย่างนั้นไปเอง
อยู่ข้างเดียว ผมหัวเราะขื่นๆ แล้วยังไงต่อ เรื่องของคุณกับชายคนนั้น?
...ฉัน กับเขานั่งคุยกันจนดึกดื่น ส่วนใหญ่จะเป็นฉันที่เป็นฝ่ายพูด ฉันเล่า
ให้เขาฟังทุกเรื่องที่เกี่ยวกับตัวฉัน รวมทั้งสาเหตุที่ฉันต้องมานั่งร้องไห้อยู่ตรงนี้ ส่วนเขานั้นเอาแต่นิ่งฟัง แม้จะพูดน้อยมากแต่ถ้อยคำปลอบโยนอันเต็ม
ไปด้วยความหมายก็พรั่งพรูออกมาจากดวงตาเขาตลอดเวลา คืนนั้น...ฉันแอบภาวนาในใจขอให้เวลาหยุดอยู่แต่เพียงเท่านี้ ...พอแล้ว ชีวิตฉันไม่ต้องการเดินทางแสวงหาสิ่งใดอีกแล้ว ฉันว่าฉันค้นพบทุ่งหญ้าอันเงียบสงบ อาบด้วย
ไออุ่นจากแสงแดดอันอ่อนโยน และปลอดภัยพอที่ฉันจะล้มตัวลงนอนพัก
ได้อย่างไม่ต้องวิตกกังวลกับเรื่องอื่นใดในชีวิต
เธอหยิบขวดเบียร์ที่เหลือเกือบครึ่งขวดขึ้นดื่ม แล้วส่งมาให้ผม
เอาสิ ของคุณหมดแล้วนี่
ไม่เป็นไร ผมรีบโบกมือปฏิเสธ
เอาไปเถอะน่า ฉันดื่มได้ไม่เยอะหรอก หรือว่าคุณรังเกียจ?
เปล่าๆ ผมรีบรับขวดเบียร์จากเธอมาดื่มเพื่อเป็นการพิสูจน์
ฉันเล่าถึงไหนแล้วนะ...อ้อ ฉันอยากให้เวลาหยุดอยู่เพียงแค่คืนนั้น แต่นั่น
ก็เป็นเพียงมโนภาพเพ้อฝันของฉันเอง สุดท้ายเราสองคนก็ถึงเวลาที่ต้องเอ่ย
คำล่ำลา เขายกผ้าเช็ดหน้าสีขาวผืนนั้นให้ฉัน บอกว่าเป็นที่ระลึกสำหรับการ
พบกัน แล้วเราก็ต่างเดินกลับห้องพักของตัวเอง คุณเชื่อไหมว่าฉันนอนไม่หลับเลยทั้งคืน ฉันเปิดไฟหัวเตียงเอาไว้และนอนยิ้มให้เพดานห้องจนเช้า...บ้าไหมล่ะ?
ผมเคยลุกขึ้นมาเต้นรำกลางดึก เพราะนอนไม่หลับด้วยเหตุผลคล้ายๆ กับคุณ
นี่แหละ แล้ว คุณกับเขาได้เจอกันอีกไหม? ผมอยากรู้เรื่องของเธอต่อ
เจอสิ เราเจอกันอีกในเช้าวันรุ่งขึ้นนั่นแหละ ฉันตั้งใจออกมาเดินเลาะริมหาดและก็มานั่งรอเขาอยู่ตรงนี้ แล้วเขาก็มาจริงๆ เดาว่าเขาเองก็คงนอนไม่หลับ
ทั้งคืนเหมือนกัน เรานั่งยิ้มให้ทะเลโดยไม่รู้จะคุยอะไรกัน ที่จริงฉันอายนิดๆ ด้วยซ้ำที่เป็นฝ่ายเปิดเผยเรื่องราวของตัวเองให้เขารู้จนหมด ทั้งๆ เพิ่งเจอกันแค่ครั้งแรก แต่เช้านั้นก็เป็นเช้าที่ฉันมีความสุขที่สุดในชีวิต ฉันอยากล้มตัว
ลงนอนหนุนตักเขา อยากให้เขาลูบผมฉันและจูบลงบนหน้าผากของฉัน
ผมแอบเห็นหน้าเธอแดงเรื่อ ด้วยความเขินอาย ไม่ก็เพราะเบียร์ที่ดื่มเข้าไป
อย่าเพิ่งเข้าใจว่าฉันเป็นผู้หญิงใจง่ายเลยนะ เพราะฉันต้องการแค่นั้นจริงๆ แค่สัมผัสอันอ่อนโยนที่จะโอบกอดหัวใจฉันให้รู้สึกอบอุ่น ฉันไม่ได้คิดเกินเลยไปถึงเรื่องการมีเซ็กส์กับเขา มันอาจจะเกิดขึ้นแต่นั่นก็เป็นเรื่องของอนาคต
เมื่อเราทั้งคู่พร้อมกับมันจริงๆ ซึ่งไม่ใช่ตอนนี้
คุณสองคนไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลยหรือ?
อือ...ก็คุยอยู่บ้างแหละ แต่รู้สึกมันกระท่อนกระแท่นจนฉันแทบจำไม่ได้ อ้อ! เราเพิ่งจะถามชื่อกันด้วยแหละ คิดดูสิ คุยกันทั้งคืนโดยไม่มีใครคิดจะถามชื่อ
กันเลย มาถามเอาตอนเช้า ฉันขำตัวเองจนกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ เขาเอง
ก็หัวเราะออกมาเหมือนกัน ฉันมีความสุขมาก รู้สึกผ่อนคลายและลืมเรื่อง
เลวร้ายที่เพิ่งเกิดขึ้นก่อนหน้านี้จนแทบจะไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรต่อไปอีก ...แต่เวลาก็ไม่เคยปราณีกับความสุข ที่สุดเราก็ต้องเอ่ยคำร่ำลาและหันหลังกลับไปยังชีวิตของตัวเอง
แล้วคุณได้เจอกันอีกไหม? ผมหันไปมองเธอ พร้อมๆ กับยกเบียร์ขึ้นดื่ม
เจอสิ เราเจอกันอีกหลายครั้งหลังจากนั้น รวมทั้งที่อื่นๆ ที่ไม่ใช่ทะเล ทุกครั้งเรามักจะหามุมสงบนั่งดื่มด่ำความสุขด้วยกันคล้ายต้องการหลบเร้นจากโลก
แห่งความจริงอันแสนวุ่นวาย และทุกครั้งเขาก็เป็นสุภาพบุรุษมากพอที่จะไม่แตะต้องหรือล่วงเกินฉันในแง่ที่เกิดจากแรงปรารถนาด้านเซ็กส์ เรียกว่า
อดกลั้นก็น่าจะได้ เพราะบางครั้งบรรยากาศมันก็พาเราเตลิดไปไกลจนเกือบก้าวข้ามพรมแดนที่ไม่อาจจะย้อนกลับมายืนอยู่ยังจุดเดิมที่เคยเป็นได้ แต่เชื่อเถอะว่าเราต่างก็ช่วยกันประคับประคองมันเอาไว้ และก็เอาตัวรอดได้ทุกครั้ง
ผมไม่เห็นว่าการมีเซ็กส์กับคนที่เราพร้อมจะมี มันจะเป็นเรื่องที่น่าอับอาย ผมเคยนอนกับผู้หญิงโดยปราศจากความรัก เพียงแต่เราทั้งคู่ต่างมีความปรารถนาต่อกัน และเปิดใจยอมรับมัน...ก็เท่านั้นเอง บางทีความรักกับเซ็กส์มันก็
แยกขาดจากกันได้ - ไม่ใช่เหรอ? ผมบอกถึงบรรทัดฐานความคิดของตัวเอง
นั่นก็ใช่ ฉันเองก็เคยผ่านเซ็กส์ทำนองนั้นมาแล้ว แต่กับผู้ชายคนนี้ฉันไม่ต้องการให้อะไรๆ มันเกิดขึ้นบนความฉายฉวย ฉันไม่อยากให้เรื่องเซ็กส์มาปะปนกับความรู้สึกอันบริสุทธิ์ที่เราต่างคนต่างมีให้กัน ฉันบอกแล้วว่าเราจะมี
ต่อเมื่อมันถึงเวลาที่เราพร้อมแล้วจริงๆ
หมายถึงการแต่งงานเหรอ?
เปล่า...ฉันไม่เคยคิดว่าการแต่งงานคือประตูเปิดสู่การมีเซ็กส์อย่างถูกต้อง
ตามทำนองครองธรรมหรอก ฉันเป็นผู้หญิงสมัยใหม่กว่านั้น แต่ก็ไม่ได้
หมายความว่าฉันพร้อมจะมีเซ็กส์กับใคร ที่ไหนก็ได้ เพียงแค่เกิดความ
ต้องการขึ้นมา ฉันยังคงเป็นผู้หญิง มีผิวเปลือกอันเปราะบาง มีความละอาย
ต่อการกระทำอันละเมิดต่อกรอบที่คนอื่นตีเอาไว้ให้ ฉันว่าผู้หญิงส่วนใหญ่ก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ เราเป็นเพศที่ไม่ได้รับการปล่อยให้มีอิสระนักหรอก
ในขณะที่เพศชายได้รับอภิสิทธิ์หลายๆ อย่าง ฉันกลับต้องขังตัวเองอยู่
บนริมฝีปากของคนอื่น น้ำเสียงเธอฟังเหมือนกำลังตัดพ้อ
ความจริงเราไม่มีความจำเป็นต้องแคร์คำพูดคนอื่นมากมายขนาดนั้น ผมพูดในสิ่งที่คิดค้านกับคนอื่นมาโดยตลอด ชีวิตเรา-เราควรจะเป็นคนที่มีสิทธิ์กำกับมันมากที่สุด ว่าจะทำอะไรหรือจะไม่ทำอะไร คนอื่นก็เป็นเพียงแค่คนนอก
ที่ไม่สามารถล่วงล้ำเข้ามาในอาณาเขตพิเศษส่วนตัวของเราได้ เพราะฉะนั้นเสียงสาปแช่งต่างๆ ก็เป็นแค่ลมปากเหม็นเน่าที่ไม่สามารถระคายความเป็น
ส่วนตัวอันหนาแน่นของเราได้
ฉันก็อยากคิดอย่างนั้น แต่ในชีวิตจริงๆ เราต้องมีลมหายใจอยู่ท่ามกลางผู้คน ท่ามกลางลมปากอันเน่าเหม็นเหล่านั้น ถึงเราจะไม่แคร์มัน แต่บางทีก็จำเป็นต้องเงี่ยหูฟังบ้าง ...ฉันว่าเราชักจะออกนอกเรื่องกันมาไกลแล้ว คุณยังอยาก
ฟังเรื่องของฉันอยู่รึเปล่า? เธอหันมาถาม
อยากสิ ถ้าคุณยังอยากเล่าต่อ... ผมพยักหน้า
ฉันกับเขา เราต่างเปิดใจเข้าหากัน เรารู้จักตัวตนที่แท้จริงของกันและกัน
ภายในเวลาอันรวดเร็ว และไม่นานนักฉันก็ได้รับรู้ความจริงอันแสนเจ็บปวดจากปากของเขา เธอสูดหายใจลึกยาวและเงียบไปหลายวินาที ก่อนจะ
เล่าต่อ เขาสารภาพกับฉันว่า เขามีครอบครัวอยู่ก่อนแล้ว ก่อนที่จะมารู้จัก
กับฉัน เขามีภรรยาที่แต่งงานกันอย่างถูกต้องตามกฎหมาย มีลูกสาววัยสามขวบที่กำลังน่ารักน่าเอ็นดู เขารักคนทั้งคู่ และที่ยากยิ่งกว่านั้น - เขารักฉัน
ผมได้แต่นิ่งเงียบปราศจากความคิดเห็นต่อความจริงที่เธอเล่า นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับผม ก่อนจะมาถึงวันนี้ครั้งหนึ่งผมเคยหลงรักผู้หญิงที่มีคนรักอยู่ก่อนแล้ว ด้วยความปรารถนาที่รุนแรงเกินกว่าจะปิดกั้นเอาไว้ได้ทำให้ผมกับเธอลักลอบมีเซ็กส์กันเป็นเวลาเกือบปี กระทั่งความจริงอันชั่วร้ายของเราหลุดรอด
ลงจากเตียงไปติดอยู่บนริมฝีปากของคนอื่น นั่นจึงเป็นเวลาที่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราร่วมกันก่อขึ้นเดินทางมาถึงจุดสิ้นสุด เราแยกจากกันโดยไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย
คุณเลิกคบกับเขาไหม? ผมถามเธอ
เปล่า เรายังคงเจอกันอยู่ ฉันเจ็บปวดกับความจริงที่ได้รับแต่ฉันก็ไม่อาจจะอยู่โดยไม่มีเขาได้ในเวลานั้น ฉันรักเขา รักแม้จะต้องทนอยู่ใต้ภูเขาเลากา
ของความจริงอันแสนเจ็บปวดก็ตาม เรามีขอบเขตอันแน่นหนาในการที่จะรักษาสถานภาพระหว่างเราเอาไว้ ฉันไม่เคยโมโหใส่ในวันที่เขาบอกว่าต้องอยู่กับ
ที่บ้าน แม้ว่าจะต้องการเขามากแค่ไหนฉันก็ยินดีที่จะอดทนรออย่างเงียบเชียบจนกว่าเขาจะว่างมาเจอฉันโดยไม่ต้องเบียดเบียนเวลาที่ต้องให้กับครอบครัว เขาเคยบอกฉันว่ายินดีที่จะละทิ้งครอบครัวเพื่อมาอยู่กับฉันถ้าหากนั่นเป็น
ความต้องการจริงๆ ของฉัน เพราะสำหรับเขาในเวลานั้น ครอบครัวได้
กลายเป็นเสมือนสิ่งที่ต้องรับผิดชอบ แต่ฉันคือคนที่เขารัก เขาอยากตื่นขึ้นมาแล้วได้เห็นใบหน้าฉันอยู่ข้างๆ บนเตียงนอนทุกๆ เช้า ...แต่ฉัน ไม่ได้ต้องการอย่างนั้น ฉันไม่อยากเห็นเขาละทิ้งครอบครัวเพื่อผู้หญิงเห็นแก่ตัวอย่างฉัน
น้ำเสียงเธอสลดและเบาลงจนผมเกือบไม่ได้ยิน
เท่าที่เล่ามา ผมก็ไม่เห็นว่าคุณจะเห็นแก่ตัวตรงไหนเลยนี่ ผมแย้งเธอ
ไม่จริงหรอก ถ้าไม่เห็นแก่ตัวฉันต้องเลิกคบกับเขาทันทีที่ได้รู้ความจริงจากปากเขา ไม่ใช่ลักลอบคบกับเขาอย่างที่ยังทำอยู่ในตอนนั้น แม้จะไม่มีอะไรเกินเลยมากกว่าการพบและพูดคุยกันก็ตามทีเถอะ มันจะแตกต่างจากการสมสู่กัน
ตรงไหนในเมื่อทุกครั้งที่พบกันนั้น เราต่างฝ่ายต่างก็รู้สึกถึงไฟปรารถนาที่คุกรุ่นอยู่ภายในตัวของอีกฝ่าย เราห้ามการกระทำได้แต่เราไม่สามารถสะกดกั้นความคิดที่เลยเถิดได้หรอก และในที่สุดความเห็นแก่ตัวของฉันก็บังคับให้ฉันเอ่ยปากชวนเขา ให้เดินทางมาเที่ยวด้วยกันที่นี่ เขาโกหกภรรยาว่าต้องเดินทางไปทำงานต่างจังหวัด ส่วนฉันใช้สิทธิลาพักร้อน ที่สุดเราทั้งคู่ก็ได้โบยบินสู่อิสรภาพ
ที่ต่างก็โหยหามาเป็นเวลานาน และในคืนนั้นเองฉันก็ได้อยู่ในอ้อมกอด
อันอบอุ่นของเขาบนชายหาดแห่งนี้ บนความต้องการอันสุกงอมของเรา
เธอเป่าปาก เหมือนต้องการระบายความอึดอัดจากภายใน
เราไม่อาจปฏิเสธต่อความต้องการที่เรียกร้องกึกก้องอยู่ภายในได้ เขาเริ่มบดจูบริมฝีปากฉัน มันเป็นรสชาติอันซาบซึ้งที่ฉันปรารถนาจะได้รับมานาน ฉันจึง
โต้ตอบเขาอย่างดุเด็ดเผ็ดร้อน แต่ในท่ามกลางเปลวเพลิงแห่งความปรารถนาอันร้อนแรงที่กำลังจะหลอมละลายตัวฉันให้แหลกเหลวนั้น กลับมีความรู้สึกบางอย่างที่เร้นตัวอยู่อย่างลี้ลับยังก้นบึ้งแห่งจิตสำนึก ฉันเห็นภาพผู้หญิงคนหนึ่งยืนจูงมือเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ยืนจ้องมองฉันอยู่ท่ามกลางเปลวไฟอันร้อนแรง ภาพนั้นทำให้ร่างฉันกระตุกอย่างแรง ฉันถอนริมฝีปากออกมาจากริมฝีปาก
ของเขา และผลักเขาออกไปสุดแรง
เล่าถึงตรงนี้เธอก็นิ่งเงียบไปเฉยๆ จนผมรู้สึกอึดอัด
ความมืดเริ่มเคลื่อนตัวเข้ามาปกคลุมทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆ ตัวเรา แสงไฟสีต่างๆ ถูกเปิดขึ้นเพื่อแต่งแต้มสีสันให้กับร้านอาหาร ผับ - บาร์ต่างๆ ที่เรียงรายอยู่
หน้าชายหาด เสียงดนตรีเร้กเก้เบาๆ ดังแว่วมาจากที่ไหนสักแห่ง ถ้าจำไม่ผิดมันเป็นบทเพลงสำเนียงโหยหวนของเจ้าพ่อเร้กเก้ BOB MARLEY
ฉันทำไม่ได้! เธอเริ่มพูดขึ้นมาอีกครั้ง ฉันไม่อาจจะฉุดเขาให้ลงมายังจุดต่ำ
ที่สุดร่วมกับฉันได้ ด้วยเหตุผลเดียวเท่านั้น คือฉันรักเขา สิ่งที่ควรจะทำคือฉันต้องส่งเขากลับคืนให้ครอบครัวเขา ซึ่งเป็นที่ที่เหมาะสมกับเขามากที่สุด แม่ลูก
คู่นั้นก็ต้องการตัวเขาไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าฉัน ฉันร้องไห้ออกมาเป็นการร้องไห้
ที่หนักหน่วงที่สุดในชีวิตของฉัน พร้อมกันนั้นฉันก็เอ่ยปากขับไล่เขาให้ออกไปให้พ้นจากชีวิตของฉัน แต่ผลเป็นยังไงคุณรู้รึเปล่า?
ผมส่ายหน้า
เขาไม่ยอมไป นอกจากไม่ยอมไปแล้วเขายังโผเข้ามากอดฉัน แล้วจากนั้นทุกอย่างก็อยู่เหนือการควบคุม เพลงกามกำหนัดที่เรากระทำร่วมกันอย่าง
หนักหน่วงทำให้ฉันรู้สึกตัวตื่นอีกทีในตอนสายๆ ของวันรุ่งขึ้น เขายังคง
นอนหลับสนิทเหมือนเด็กซนที่เหน็ดเหนื่อยจากการวิ่งเล่นทั้งวัน ส่วนฉันตื่น
ขึ้นมาเพื่อรับความรู้สึกผิดที่ถาโถมเข้าใส่จนไม่อาจข่มตาหลับต่อไปได้ ฉัน
ตัดสินใจทิ้งเขาไว้บนเตียงที่เราร่วมหลับนอนด้วยกัน มันจะเป็นครั้งสุดท้าย
ที่เราเข้าใกล้กันมากขนาดนี้ และนับจากวินาทีนี้เป็นต้นไปฉันกับเขาจะ
ย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นของเรา นั่นคือ การเป็นแค่คนแปลกหน้าต่อกัน
ตอนแรกฉันตั้งใจจะเขียนจดหมายบอกลาเขา แต่ฉันคิดว่าการที่เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งโดนปราศจากฉัน - เขาก็คงจะเข้าใจความต้องการของฉันได้ไม่ยาก
แต่มันก็ไม่ง่ายเลยกับการที่จะตัดใครสักคนออกไปจากชีวิต โดยเฉพาะ
เมื่อเราได้เจอกับคนที่เชื่อว่าใช่ เขาไม่เหมือนผู้ชายคนอื่นที่ฉันเคยคบ
มาก่อนหน้านี้ คนอื่นๆ เป็นเสมือนส่วนตอบสนองความต้องการพื้นฐานทาง
ร่างกาย หรืออย่างมากก็แค่เติมเต็มในความเป็นมนุษย์เพศหญิงของฉัน
เท่านั้น แต่กับเขา เขาเป็นมากกว่านั้น เขาเป็นส่วนเติมเต็มจิตวิญญาณ
ของฉัน เป็นส่วนที่ฉัดขาดและเฝ้าโหยหามันมาตลอดชีวิต คุณเข้าใจความคิดเพ้อเจ้อของฉันหรือเปล่า?
คุณจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม ผมเข้าใจสิ่งที่คุณพูดทุกอย่าง ผมเองเคยมีความคิดแบบนี้ ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว ผมได้รู้จักผู้หญิงคนหนึ่ง เราแลกเปลี่ยนกันในสิ่งที่ผมไม่เคยได้รับจากการคบกับผู้หญิงคนอื่น สิ่งที่เรากระทำและรู้สึก
ร่วมกันมันเป็นเสมือนการเติมเต็มให้กับจิตใจที่เคยแบกรับแต่ความรู้สึกขาด ผมคิดเอาเองว่าผมได้ค้นพบสิ่งที่ต้องการแล้ว นั่นคือเธอ และเธอเองก็คงคิดอย่างเดียวกัน นับจากนี้เราคงจะใช้ชีวิตร่วมกันแบ่งปันสิ่งที่ต่างฝ่ายต่างขาด
ให้แก่กันมันจะเป็นชีวิตคู่ที่สมบูรณ์แบบที่สุด แต่ผมคิดผิดถนัด แค่ปีเดียว
เท่านั้นเธอก็หันหลังให้ผม ผมคงไม่ต้องอธิบายให้คุณฟังว่ามันเจ็บปวด
แค่ไหน ผมเหม่อมองออกไปยังผืนน้ำที่ถูกปกคลุมด้วยม่านมืดผืนใหญ่
ทำไมชีวิตคนเราต้องเลือกด้วยนะ ทำไมเราไม่สามารถอยู่กับสิ่งที่เรารักพร้อมๆ กันได้ การเลือกคือการเผชิญหน้ากับความจริงที่แสนเจ็บปวด
เหมือนฉันในวันนั้นที่เลือกจะเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดเพียงลำพัง อย่าเพิ่งคิดว่าฉันเป็นคนมีมโนธรรมอะไรนักหนาเลย ถ้าฉันมี ฉันคงไม่ปล่อยให้เรื่องเลยเถิดมันเกิดขึ้นหรอก แต่ฉันแค่ถามตัวเองว่าฉันจะทนได้หรือทุกครั้งที่
ร่วมหลับนอนกับเขาแล้วต้องเห็นภาพแม่ลูกคู่นั้นมายืนจ้องด้วยสายตาถามหาความเป็นธรรม คำตอบก็คือ ฉันทนไม่ได้ ฉันยอมเจ็บปวดที่สุดแค่ครั้งเดียว
ดีกว่าที่จะต้องทนทุกข์ทรมานกับความรู้สึกผิดที่จะเกาะกินฉันไปทั้งชีวิต
แล้ว...เขาไม่ตามหาคุณหรือ?
ตาม แต่ฉันไม่ยอมให้เขาเจอฉัน ฉันหนีเท่าที่จะสามารถทำได้ มีบ้าง
เหมือนกันที่เขาตามหาฉันจนเจอ แต่ความเฉยชาที่ฉันแสดงก็ผลักไสเขา
ให้กลับไปพร้อมกับความรู้สึกผิดหวัง คนที่เจ็บปวดไม่น้อยกว่าเขาก็คือตัว
ฉันเอง แต่ฉันก็ใจแข็งพอที่จะทนอยู่กับมัน เธอจุดบุหรี่สูบอีกมวน ผมยกเบียร์ขึ้นดื่ม - แต่มันหมดขวดไปแล้ว
ฉันกลับมาที่นี่ทุกปี ในช่วงเวลานี้ โดยไม่เคยบอกให้เขารู้ ฉันต้องการแค่
มานั่งดูทะเล ดูดวงอาทิตย์ตก และรำลึกถึงความทรงจำดีๆ บางตอนที่เคยเกิดขึ้นในชีวิต สำหรับเขาถึงตอนนี้ ฉันคงเป็นแค่ปรากฏการณ์พิเศษที่ฝังลึกอยู่ที่ไหนสักแห่งในห้องแห่งความทรงจำอันลึกลับ เขาอาจจะจำรายละเอียดทุกอย่าง
เกี่ยวกับฉันได้อย่างแจ่มชัดหรืออาจจะจำมันไม่ได้เลย แต่สิ่งที่แน่นอนที่สุด
คือฉันไม่เคยลืมเขาได้เลย แม้เรื่องราวของเราจะผ่านมาหลายปีแล้วก็ตาม
ไม่แปลกหรอกที่คุณไม่เคยลืมเขา ผมว่าเขาเองก็เหมือนกับคุณนั่นแหละ
เพียงแต่ความจริงที่เขาต้องยอมรับนั้น มันได้ขีดเส้นแบ่งอาณาเขตชัดเจน
และคอยตะโกนออกคำสั่งว่าเขาสามารถทำอะไร ได้แค่ไหน
อาจจะเป็นอย่างที่คุณว่าก็ได้ เธอหันมายิ้มให้ผม มันยังคงเป็นรอยยิ้มลึกลับ
ที่ทำให้ผมประหลาดใจทุกครั้งที่ได้เห็น
ผมว่าจะเดินไปซื้อเบียร์ คุณจะไปด้วยกันไหม? ผมถามพร้อมยกขวดเบียร์เปล่าขึ้นมาตรงหน้า
ไม่ล่ะ ฉันนั่งรอตรงนี้ก็แล้วกัน เธอค้อมตัวลงกอดเข่าอีกครั้ง
...คุณจะเอาอะไรไหม?
ไม่ล่ะ ขอบคุณ
งั้น...เดี๋ยวผมกลับมา เราคงได้คุยกันต่อถ้าคุณไม่รีบไปไหน คำถามนี้ของผมเหมือนเป็นคำเชื้อชวนอยู่ในที
รีบกลับมาละกัน
โอเค ผมจะรีบกลับมา ผมรับปากเธอก่อนจะรีบเดินไปยังร้านอาหารร้านหนึ่งตรงหน้าหาด ใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีผมก็เดินกลับมาพร้อมกับเบียร์เย็นเจี๊ยบในมือสองขวด แต่...
ที่นั่งที่เธอเคยนั่งอยู่ข้างๆ ผมนั้นเหลือแค่รอยบุ๋มของทราย และความว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่เงาของหญิงสาวแปลกหน้าที่เพิ่งจะพูดคุยกันอย่างออกรสเมื่อครู่
เธอหายตัวไปแล้ว หายไปท่ามกลางความมืดและความงุนงงของผม ผมพูดอะไรผิดจนทำให้เธอไม่พอใจหรือ เธอถึงแอบหนีไปโดยไม่กล่าวลากันสักคำ
ใกล้กับรอยบุ๋มที่เธอนั่งผมเห็นผ้าเช็ดหน้าสีขาวผืนหนึ่งวางอยู่ ผมเดาเอาว่า
มันน่าจะเป็นผืนเดียวกับที่เธอได้รับมาจากชายคนนั้น ชายคนที่เธอหลงรัก
จนยากที่จะถอนความรู้สึกออกมาจากเขา - หรืออาจจะไม่ใช่เลยก็ได้
ผมก้มหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นขึ้นมากำไว้แน่นในอุ้งมือ สายตามองออกไปยัง
ผืนน้ำอันมืดมิดและลึกลับเบื้องหน้าพร้อมเสียงถอนหายใจยาว
- เธอจะไปที่ไหนนะ หญิงสาวผู้ทนแบกรับความรู้สึกผิดและความรู้สึกเจ็บปวดแสนสาหัสเอาไว้ในเวลาเดียวกัน ผมจะได้พบเธออีกไหม จะได้เห็นรอยยิ้ม
อันลึกลับนั้นอีกหรือเปล่า? คงไม่มีใครตอบได้
เพราะเธอ...เป็นเพียงแค่หญิงสาวแปลกหน้า ที่ผมไม่รู้จักแม้แต่ชื่อ
18 กันยายน 2557 17:51 น.
พีรเดช นวลสาย
-- เนื้อหากำลังอยู่ในขั้นตอนดำเนินการแก้ไข --
13 ธันวาคม 2549 08:55 น.
พีรเดช นวลสาย
ผมฝันว่าตัวเองกลายเป็นนก!!
ในความฝันผมโบยบินอย่างอิสระ ผ่านออกไปทางหน้าต่างห้องนอนลอยลิ่วสู่ท้องฟ้ากว้างใหญ่ แรงโบกของปีกกับสายลมช่วยยกตัวผมให้ลอยสูงขึ้น สูงขึ้น ผ่านชั้นเมฆชั้นแล้วชั้นเล่า จนมองลงมาเห็นสิ่งต่างๆ บนพื้นมีขนาดเล็กแค่เท่าหัวไม้ขีด
ผมรู้สึกหัวใจกำลังพองโตจนคับแน่นหน้าอก มันเป็นความตื่นเต้นที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าในที่สุดผมก็บินได้ บินด้วยกำลังปีกทั้งสองข้างของตัวเอง ผมเป็นนก! ผมอยากตะโกนบอกมนุษย์ทุกๆ คน รวมทั้งนกทุกๆ ตัว ว่าผมเป็นนกและผมบินได้ พันธนาการต่างๆ ที่เคยผูกรัดมัดแน่นตอนที่ผมเป็นแค่คนเดินดินถูกทำลายลงด้วยแรงกระพือของปีก ตอนนี้ผมกำลังมุ่งหน้าสู่อิสรภาพอันยิ่งใหญ่ที่ท้องฟ้าหยิบยื่นให้
ผมบินฉวัดเฉวียน ผาดโผนหกคะเมนตีลังกาตามที่ใจนึกอยากจะทำ และตั้งใจจะบินร่อนไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดเรี่ยวแรง ซึ่งมันคงอีกนานหรืออาจจะไม่เกิดขึ้นเลยเพราะผมไม่มีความรู้สึกว่าตัวเองเหน็ดเหนื่อยเลยแม้แต่นิดเดียว ตรงกันข้ามยิ่งขยับปีกกลับยิ่งรู้สึกว่าพละกำลังมันยิ่งเพิ่มขึ้น หัวใจอันฮึกเหิมชวนผมบินไปข้างหน้าอย่างไม่ลดละ ผมอาจจะบินรอบโลกสักรอบหรือหลายๆ รอบ เที่ยวดูให้ทั่วทุกซอกทุกมุม ทุกบ้านเมือง ทุกภูเขา และทุกๆ มหาสมุทร ผมจะไปทุกที่ ที่คนเดินเท้าทั่วไปทำไม่ได้
บนนี้ นอกจากความกว้างใหญ่ไพศาลอันไร้ขอบเขตแล้ว ผมยังได้เห็นโลกในมุมที่ไม่เคยเห็นมาก่อน มันเป็นความรู้สึกแปลกใหม่ที่ได้เห็นผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาลแทบไม่แตกต่างจากท้องฟ้า ผมมองเห็นแผ่นดินที่ปราศจากพรมแดน เห็นบ้านที่ปราศจากรั้วกั้น ทุกคนยืนอยู่บนผืนแผ่นดินเดียวกันไม่มีความเป็นประเทศหรือเชื้อชาติมาเป็นเส้นแบ่ง เป็นเพียงมนุษย์หัวไม้ขีดที่มีความเท่าเทียมเสมอภาคกัน
น่าอิจฉาพวกนก ที่มองเห็นโลกอันปราศจากเส้นแบ่งมาก่อนเรานานนับร้อยนับพันปีด้วยอิสรภาพที่พลังจากปีก มีให้ แต่เอ๊ะ! ตอนนี้ผมก็เป็นนกอยู่นี่นา วันหนึ่งที่มีโอกาสกลับลงไปผมจะเล่าสิ่งที่ได้เห็นนี้ให้กับทุกๆ คนที่ผมรู้จัก หรือแม้แต่กับคนอื่นๆ ที่เคยเป็นเพียงคนแปลกหน้า ผมจะบอกเล่าแก่พวกเขาถึงโลกใหม่ที่ผมได้เห็น ดินแดนแห่งอิสรเสรีอันกว้างใหญ่ไพศาลที่พวกเขาไม่เคยรู้จัก นอกเสียจากว่าพวกมนุษย์เดินดินเหล่านั้นจะได้รับโอกาสอย่างผม
ใช่! พวกเขาต้องกลายเป็นนกเสียก่อน จึงจะสามารถสลัดความโง่เขลาออกไปจากก้นบึ้งแห่งความคิดอันมืดบอดได้ และนอกจากพลังแห่งปีกแล้วผมมองไม่เห็นอะไรอื่นที่จะปลดเปลื้องพันธนาการที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่อผูกมัดตัวเองเอาไว้ได้ พวกเขาสร้างทุกอย่างขึ้นมาจากความว่างเปล่า ไม่ว่าจะเป็นเส้นแบ่งแห่งเชื้อชาติ ความไม่เท่ากันของสีผิว ความผิดแผกของภาษาพูด และแม้แต่ความเชื่อในพระเจ้า บ่อยครั้งที่พวกเขายกพวกเข้าโรมรันห้ำหั่นกันเพียงเหตุผลจากความแตกต่างของพระนามแห่งพระเจ้าที่ตนนับถือ ซึ่งพระนามเหล่านั้นก็ล้วนเกิดขึ้นจากการอุปโลกน์ของพวกเขาเองแทบทั้งสิ้น สุดท้ายมนุษย์คงไม่พ้นจมปรักอยู่ใต้ภูเขาเลากาแห่งอคติอันโง่เขลา
นกสิ คือ ตัวแทนของความมีอิสรภาพแห่งจิตวิญญาณที่แท้จริง พวกมันมีปีกที่จะพาบินไปได้ทุกหนทุกแห่งในโลก ไม่มีเส้นแบ่งหรือเส้นสมมุติใดมาปิดกั้นกำหนดขอบเขตการเดินทางแสวงหาของพวกมัน ไม่มีภาระการงานหรือหน้าที่สมมุติอื่นใดที่พวกมันต้องสวมบทบาทนอกจากความเป็นนก มันฉลาดพอที่จะไม่กักขังตนเองไว้กับความหอมหวานเย้ายวนของสิ่งยั่วยุต่างๆ ซึ่งถ้านกมัวหลงงมงายอยู่กับสิ่งสมมุติเหล่านั้น ปีกก็คงจะเป็นได้แค่ส่วนเกินที่ไร้ค่า
ผมลิงโลดกับพลังแห่งปีกจนไม่รู้ว่าบินมาไกลแค่ไหนแล้ว ภาพที่เห็นเบื้องล่างเป็นดินแดนอันแปลกตา มันถูกปกคลุมด้วยฝุ่นละอองสีแดง ใช่ล่ะ! มันคือผงทรายที่กำลังปลิวกระจัดกระจายด้วยแรงลม นี่คงเป็นอาณาเขตที่มนุษย์เรียกขานกันว่าทะเลทราย มันดูกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาและอาจจะกลบกลืนสรรพชีวิตไว้ใต้เม็ดทรายร่วนละเอียดเหล่านี้จนนับไม่ถ้วน แต่แน่ละ! ถึงอย่างไรมันก็ยังไม่อาจเทียบเท่ากับความยิ่งใหญ่ของท้องฟ้าได้หรอก
เมื่อบินผ่านพ้นเขตทะเลทราย ภูมิประเทศเบื้องล่างเปลี่ยนเป็นภูเขาหินสูงชันซับซ้อน ปลายยอดภูเขาปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน ผมอดประหลาดใจไม่ได้กับการบรรจบกันของความเย็นกับความร้อน เสมือนว่าทั้งสองส่วนลุข้อตกลงในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติวิธี ต่างฝ่ายต่างสงวนพลังอันยิ่งใหญ่ของตนไว้ไม่ล่วงเกินซึ่งกันและกัน ไม่อยากคิดเลยว่าถ้าวันหนึ่ง ทั้งคู่เกิดโรมรันห้ำหั่นกัน เศษธุลีอย่างมนุษย์จะไปหลบเร้นที่ใดได้พ้น
บนยอดเขาสูงแห่งหนึ่ง ผมมองเห็นสิ่งก่อสร้างรูปทรงแปลกตาดูคล้ายวัดแต่ไม่ใช่วัดแบบที่ผมเคยเห็น ความอยากรู้ชวนผมบินร่อนลงไปยังสถานที่นั้น สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือความเงียบสงบ ไม่ใช่เงียบจากการไร้สรรพเสียงรบกวน แต่เป็นความเงียบสงบที่ก่อเกิดขึ้นมาจากภายใน ผมร่อนลงเกาะบนกิ่งไม้เล็กๆ กิ่งหนึ่ง บริเวณรอบต้นไม้เป็นลานหินโล่งรูปวงกลมซึ่งชายชราในอาภรณ์แปลกตากำลังกวาดใบไม้แห้งมารวมกันตรงกลางลาน
สวัสดีครับ ท่านเป็นเจ้าของที่นี่หรือ? ผมกล่าวคำทักทาย
ชายชราผู้นั้นหยุดกวาดหันมามองผมพลางประนมมือขึ้นประชิดหน้าอกและค้อมศีรษะลงเล็กน้อย
เปล่าเลย เราเป็นเพียงผู้อยู่อาศัยเท่านั้น ท่านพูดพร้อมรอยยิ้มเล็กๆ
แล้วใครเป็นเจ้าของล่ะ? ผมไม่วายสงสัย
ไม่มีใครเป็นเจ้าของหรอก ใบไม้ก็เป็นของใบไม้ ก้อนหินก็เป็นของก้อนหิน
แล้วท่านมาทำอะไรที่นี่? ผมเปลี่ยนคำถาม
เรามาเพื่อรักษาศรัทธา และชี้ทางให้ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ท่านตอบด้วยกิริยาสงบ
งั้นท่านก็เป็นผู้วิเศษ?
เปล่า...เราเป็นแค่คนธรรมดา
แล้วทำไมถึงคิดว่าทุกคนต้องการท่าน?
พวกเขาต้องการความเชื่อมั่นในศรัทธาของตัวเอง
ผมนิ่งคิดตามคำตอบของชายชรา แต่ชั่วครู่คำถามใหม่ก็เกิดขึ้น
ท่านรู้หรือเปล่า ว่าศรัทธาได้แยกมนุษย์ออกจากกัน ก่อให้เกิดความแตกต่างและความขัดแย้งจนนำไปสู่สงคราม มนุษย์เข่นฆ่ากันมาหลายยุคหลายสมัย เพียงเพราะศรัทธาที่ไม่ลงรอย
ท่านกำลังดูแคลนพลังแห่งศรัทธาและมองข้ามความมืดบอดด้านอื่นๆ ของมนุษย์ น้ำเสียงของชายชรายังคงราบเรียบ ภายใต้ใบหน้านิ่งสงบ ศรัทธาที่แท้จริงนั้นไม่เคยสอนให้มนุษย์แปลกแยกหรือแตกต่างกันในความเป็นมนุษย์ ความแตกต่างนั้นล้วนเกิดขึ้นจากการตีความที่บิดเบี้ยวผิดเพี้ยนไปจากแก่นแท้ และเมื่อผสมเข้ากับความมืดบอดในจิตใจมนุษย์ที่มักยึดติดกับรูปลักษณ์ภายนอก ตีความสิ่งต่างๆ ตามแรงปรารถนาของตน สุดท้ายจึงนำไปสู่การเข่นฆ่าเพื่อกำจัดผู้ที่มีความเห็นแตกต่างจากตน
ท่านเป็นผู้ขจัดความมือบอดในจิตใจมนุษย์หรือ?
เราเป็นเพียงผู้ชี้ทาง ส่วนจะเกิดผลหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับตัวเขาเองว่าจะนำไปใช้อย่างไร สมมุติเรามอบมีดให้ไปเล่มหนึ่ง เขาอาจจะนำมันไปแผ้วถางเพื่อสร้างพื้นที่เพาะปลูกหล่อเลี้ยงชีวิต หรืออาจจะนำมันไปใช้เป็นอาวุธเพื่อเข่นฆ่าทำลายชีวิต นั่นขึ้นกับว่าจิตใจเขาถูกห่อหุ้มด้วยสิ่งใด ผ้าฝ้ายขาวบริสุทธิ์หรือตาข่ายดำทะมึนที่อบอวลด้วยกลิ่นคาวเลือด เราห้ามการเข่นฆ่าไม่ได้หรอก ตราบใดที่มนุษย์ยังหยิบเอาความแตกต่างมาอ้างเป็นความขัดแย้ง แทนที่จะเปิดใจเรียนรู้กันและกัน
หมายความว่า สงครามจะไม่มีวันยุติตราบใดที่ยังมีพรมแดนแห่งความแตกต่างขีดคั่นระหว่างพวกเขา ผมเริ่มสิ้นหวัง
พรมแดนที่อันตรายที่สุดอยู่ในนี้ ชายชราวางฝ่ามือลงบนหน้าอกตัวเอง ถ้าทลายกำแพงทิฐิในนี้ลงได้ มนุษย์ก็จะมองเห็นความเป็นมนุษย์ในตัวผู้อื่นไม่แตกต่างจากความเป็นมนุษย์ของตัวเอง สันติสุขอันแท้จริงก็จะบังเกิด สงครามจะกลายเป็นแค่บทเรียนแห่งความโง่เขลาในอดีต
ผมนิ่งเงียบ นักบวชชราก้มหน้ากวาดใบไม้แห้งต่อด้วยอาการสงบ ชั่วอึดใจถัดมาผมก็ตัดสินใจกล่าวลา
ท่านจะไปที่ใด?
ยังไม่รู้ ผมตอบ ตั้งใจว่าจะบินต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดความสนใจในการบิน
ก่อนกระพือปีกบินออกมาจากสถานที่อันสงบเงียบนั้น ผมได้รับคำอำนวยพรจากท่าน ซึ่งเป็นเพียงถ้อยคำง่ายๆ แต่ฟังดูคล้ายสาส์นแห่งสันติสุขที่ต้องการเผยแผ่ไปยังมนุษย์ทุกผู้
ผมบินสูงขึ้นสู่ผืนฟ้ากว้างใหญ่อีกครั้ง มุ่งหน้าไปยังทิศตะวันตก การกระพือปีกของผมยังเปี่ยมไปด้วยพลัง เพียงแค่ขยับนิดหน่อยก็เกิดแรงส่งอันมหาศาลส่งตัวผมพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่สุดจะคาดเดา คงไม่มีนกตัวไหนทำได้อย่างผมแน่ๆ
ท้องฟ้ายังคงเจิดจ้าด้วยแสงแห่งดวงอาทิตย์ตอนที่ผมร่อนลงในซอกหลืบระหว่างหุบเขา
กองหินเรียงรายรอบปากหลุมดินคือสิ่งสะดุดตาที่ทำให้ผมอยากลงไปดูใกล้ๆ ในหลุมดินนั้นมีมนุษย์ที่ยังคงมีชีวิต!
พวกเขาเป็นเด็กหนุ่ม ผิวคล้ำ ดวงตากลมโต สีหน้าไม่บ่งบอกว่ากำลังทุกข์หรือสุข แต่ทุกคนมีปืนและสวมกอดมันเสมือนเป็นอาภรณ์ประดับชิ้นหนึ่ง
พวกเธอเป็นผู้ร้ายหรือ? ผมเอ่ยปากถามเมื่อร่อนลงเกาะบนกองหินใกล้ๆ พวกเขา
เปล่า พวกเขาตอบ
ถ้าอย่างนั้น เหตุใดพวกเธอจึงต้องพกปืน ความสงสัยเต้นเป็นประกายในดวงตาของผม
เรากำลังต่อสู้ หนึ่งในนั้นตอบน้ำเสียงราบเรียบ
กับใคร?
ฝ่ายตรงข้าม
ฝ่ายตรงข้าม?
ใช่!
พวกเธอขัดแย้งกันด้วยเรื่องอะไร? ผมสงสัยในเหตุแห่งสงคราม
หลายอย่าง แววตาคนพูดแข็งกร้าวขึ้นชั่วขณะ
ไม่มีทางอื่นที่จะหาข้อยุติของความขัดแย้งได้หรือ?
ไม่มีหรอก ในดินแดนแห่งนี้ภาษาเดียวที่เราพูดกันเข้าใจก็คือสงคราม การสู้รบจะยุติก็ต่อเมื่อลมหายใจของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสิ้นสุดลงเท่านั้น เด็กหนุ่มคนหนึ่งเป็นผู้ตอบ
แต่ความจริงอีกอย่างหนึ่งก็คือ ความขัดแย้งจะยังคงดำเนินอยู่ต่อไปเหนือร่างไร้ชีวิต เหนือหลุมศพนับพันนับหมื่น เพราะมันหยั่งรากลึกอยู่ในสายเลือดของพวกเรา หยั่งลึกลงในทุกธุลีดิน คนรุ่นหนึ่งอาจจะตายจากไปพร้อมกับความขัดแย้งอย่างหนึ่ง แต่ข้อขัดแย้งใหม่ก็จะเกิดขึ้นมาพร้อมกับคนใหม่ สงครามจะถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น อย่างไม่มีวันจบสิ้น
เธอเคยยิงใครหรือเปล่า? ผมหันไปถามเด็กหนุ่มที่ท่าทางอ่อนเยาว์กว่าเพื่อน
เขาพยักหน้า แววตาปราศจากความวิตก ตอนเป็นเด็กวัยเดียวกันนี้ผมก็เคยถือปืนของเล่นรูปร่างคล้ายกับปืนในมือเขา
เธอมีเหตุผลอะไรที่ต้องสู้?
ครอบครัวผมตายเพราะกับระเบิดของพวกนั้น ผมจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจับปืนขึ้นมาต่อสู้เพื่อแก้แค้น พวกเราทุกคนล้วนมีอย่างหนึ่งที่เหมือนกัน คือความสูญเสียที่คนอื่นหยิบยื่นให้
จะแน่ใจได้อย่างไรว่าคนที่เธอยิงนั้นเป็นคนที่วางกับระเบิดครอบครัวเธอ
ไม่รู้หรอก รู้แต่ว่าถ้าเราไม่ยิง เราก็ถูกยิง เขาให้เหตุผลอย่างง่ายๆ
ผมนิ่งเงียบ ก่อนจะมีคำถามใหม่
เธอไม่กลัวหรือ?
กลัวอะไร?
ความตายและการสู้รบที่ไม่วันจบสิ้น
ไม่กลัวหรอก ตราบที่เรามีปืน มีอาวุธที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าฝ่ายนั้น
ฝ่ายนั้น มีเด็กอายุขนาดเธอไหม?
มีทุกขนาดแหละ ทั้งเด็กกว่าและแก่กว่า ผมยังเคยยิงคนที่แก่คราวพ่อมาแล้ว ตาเฒ่านั่นคว้ามีดไล่ฟันพวกเรากะฆ่าให้ตาย คนตัวโตกว่าชิงตอบ โชคดีที่เรายังเหลือกระสุนมากพอที่จะหยุดเขา
การยิงคนเป็นเรื่องสนุกสำหรับเธอหรือ? ผมถามต่อไปอย่างขุ่นเคือง
เปล่า คนตัวเล็กส่ายหัว ไม่สนุกเลย
ผมว่าเขาหมายความตามนั้นจริงๆ เพราะภายใต้ดวงตาแข็งกร้าวนั้น มีร่องรอยแห่งความเศร้าสร้อยแฝงเร้นอยู่ ผมไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าเด็กน้อยมีตะกอนอะไรติดค้างในเบื้องลึกของความรู้สึก รู้แต่ว่ามันกำลังกัดกินเขาจากภายใน โดยที่ ไม่อาจหลบหนีหรือสลัดมันทิ้งได้
ฉันคงต้องไปแล้ว ผมเอ่ยขึ้นเมื่อรู้สึกหมดความสนใจต่อชะตากรรมของพวกเขา
หวังว่าพวกเธอคงโชคดี ผมกล่าวลาอย่างไม่รู้จะใช้คำพูดไหน ก่อนจะสยายปีกบินออกมาจากซากกองหินรอบปากหลุมดินแห่งนั้น
นานและไกลเท่าใดไม่รู้พลังแห่งปีกได้นำพาผมมาสู่ดินแดนอีกแห่งหนึ่ง
มันเป็นมหานครขนาดใหญ่ ผมไม่เคยเห็นเมืองที่ไหนใหญ่โตเท่านี้มาก่อน ตึกรามบ้านช่องล้วนงดงามแปลกตา หรือว่าผมบินมาไกลจนถึงดินแดนที่ผู้คนเรียกกันว่าสรวงสวรรค์แล้ว ไม่ใช่หรอก นั่น! มนุษย์หัวไม้ขีดไฟเดินกันขวักไขว่ บางคนหัวสีทอง บางคนหัวแดงเพลิงราวหัวไม้ขีดกำลังติดไฟ ผมโฉบลดระดับลงไปใกล้ยิ่งขึ้นจนเริ่มสัมผัสได้ถึงความอลหม่านวุ่นวายของผู้คนและมหานครแห่งนี้
ผมบินลอดเข้าทางช่องลมของอาคารสูงแห่งหนึ่ง มันปิดกั้นตัวเองจากคนภายนอกอย่างมิดชิด ดูเหมือนที่นี่จะเป็นโรงงานอะไรสักอย่าง มีเครื่องจักรขนาดใหญ่หลายเครื่องตั้งเรียงรายเต็มไปหมด คนงานร่างกายกำยำกำลังตั้งหน้าตั้งตาทำงานกันอย่างขะมักเขม้น ดูเหมือนไม่มีใครมีเวลาใส่ใจกับการมาเยือนของผม
ผมบินผ่านคนงานกลุ่มนั้นไปยังชายคนหนึ่งซึ่งดูท่าทางน่าจะเป็นคนคุมงาน เขาแต่งตัวด้วยยูนิฟอร์มสะอาดสะอ้าน ยืนกอดอกอยู่บนรองเท้าหนังมันวับราวกระจกเงา ผมร่อนลงเกาะที่ราวเหล็กข้างๆ เขา
สวัสดี ผมคงไม่ได้มาขัดจังหวะนะ ผมเอ่ยทักทาย
เขาหันมายิ้มพร้อมคำตอบสั้นๆ อ๋อ ไม่หรอก
คุณคุมที่นี่หรือ?
จะว่าใช่ก็ใช่...ความจริงผมเป็นคนออกแบบ เขายักไหล่
ออกแบบอะไร? ผมอยากรู้
นึกว่าคุณรู้แล้วซะอีก เขามองผมเหมือนรอให้พูด แต่พอเห็นผมทำหน้างงเลยพูดต่อ ผมเป็นนักออกแบบอาวุธ
เป็นงานที่น่าสนใจดีนี่!
ท้าทายเลยทีเดียวล่ะ คิดดูสิสิ่งประดิษฐ์ของเรากลายเป็นส่วนหนึ่งของการป้องกันประเทศ ผมมีส่วนช่วยกองทัพในการรักษาความมั่นคงของชาติ เขาเล่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ความจริงผมน่าจะได้เหรียญกล้าหาญบ้างนะ
คุณออกแบบปืนด้วยใช่ไหม?
แน่นอน! รุ่นล่าสุดนี่ผมตั้งชื่อมันตามชื่อลูกสาวผมด้วยนะ เขาหัวเราะร่วน
เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ผมภูมิใจมากที่สุดก็ว่าได้ เพราะผมสามารถทำลายข้อจำกัดเก่าๆ ด้วยการเพิ่มสมรรถนะในการยิงให้มันเป็นอาวุธที่ใช้งานง่ายแต่มีความแม่นยำสูง ขนาดลูกสาวผมยังยิงได้สบายๆ
ประเทศคุณมีสงครามด้วยหรือ? ผมสงสัย
ไม่มีหรอก แต่กองทัพก็ต้องเตรียมพร้อมไว้เสมอ เราไม่รู้หรอกว่าสงครามจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ แต่เราพร้อมรับมือเสมอถ้าหากมันเกิดขึ้น แววตาเขาแข็งกร้าวขึ้นเล็กน้อย
พวกคุณเป็นพวกกระหายสงคราม?
หึหึ...ไม่รู้สิ สำหรับผมมันเป็นโอกาสพิสูจน์ผลงาน เขาลูบเคราเบาๆ งานของผมจะมีค่าก็ต่อเมื่อมีสงคราม ไม่ว่าจะเป็นสงครามของใครก็ตาม
หมายความว่าคุณขายอาวุธให้คนอื่นด้วย?
แน่นอน! ทุกที่ย่อมมีคนต้องการอาวุธ เราไม่ใจแคบเก็บไว้ใช้คนเดียวหรอก
รู้หรือเปล่า? ว่าปืนของคุณทำให้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก น้ำเสียงผมจริงจัง
เฮ้! คุณต้องแยกแยะให้ออก ระหว่างคนประดิษฐ์ปืนกับคนลั่นไก ผมไม่ได้เที่ยวควงปืนของผมไปยิงใครต่อใคร และถึงไม่มีปืนของผม พวกนั้นก็หาวิธีฆ่ากันได้อยู่แล้ว เราแค่เพิ่มทางเลือกให้-ก็เท่านั้น เขาแบะมืออย่างไม่ยี่หระ
บ่อยครั้งที่ปืนของผมช่วยตัดสินผลแพ้ชนะของสงคราม แล้วรู้ไหมเกิดอะไรหลังจากนั้น? อิสรภาพ การปลดแอกเอกราชในบางประเทศ ปืนช่วยย่นระยะเวลาในขณะที่การเจรจามักจะก่อความยืดเยื้อเสมอ
ถ้าวันหนึ่งอาวุธของคุณย้อนกลับมาทำร้ายครอบครัวคุณเองล่ะ?
ไม่มีทางหรอก ใครๆ ก็รู้ว่าประเทศของเรามีกองทัพที่เข้มแข็งขนาดไหน น้ำเสียงเขามั่นใจอย่างนั้นจริงๆ และเราก็มีอารยธรรมที่เจริญก้าวหน้าเกินกว่าจะใช้อาวุธตัดสินปัญหา
ผมก็หวังเช่นนั้น ขอให้คุณโชคดีไปตลอดก็แล้วกัน ผมทำท่าจะขยับปีกบิน
เขารีบยกมือท้วงเหมือนยังต้องการพูดต่อ
เดี๋ยวก่อน...เผื่อจะช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้นบ้าง เพื่อนสนิทของผมคนหนึ่งเป็นหัวหน้าทีมนักวิจัยในบริษัทยายักษ์ใหญ่ ซึ่งผมเองก็มีหุ้นอยู่ในนั้นด้วย
ผมหยุดฟังด้วยความสนใจในสิ่งที่เขาจะพูดต่อไป
ยาของเราถูกส่งออกไปช่วยชีวิตคนป่วยในทุกภาคพื้นทั่วโลก แล้วเราก็ไม่ได้ค้าขายเพียงหวังผลกำไรอย่างเดียวเท่านั้นหรอก ในประเทศด้อยพัฒนาเราแจกยาให้ประชาชนผู้ขาดแคลนฟรีๆ โดยไม่คิดมูลค่า พวกนั้นน่ะอย่าว่าแต่เงินจะซื้อยาเลย อาหารจะประทังชีวิตยังต้องงอมือรอความช่วยเหลือจากนานาชาติอยู่เลย จะว่าเราช่วยต่อชีวิตให้พวกเขาก็ไม่ผิด
ก่อนจะขายปืนให้ฝ่ายตรงข้ามเอามายิงพวกเขาทิ้งน่ะหรือ? ผมเหน็บเสียงขุ่น
นั่นเป็นความขัดแย้งของพวกเขา เป็นความเกลียดชังที่เราไม่ได้เป็นคนก่อ ความจริงพวกนั้นมีสิทธิที่จะเลือกใช้วิธีอื่นในการตัดสินปัญหา แต่พวกเขาก็วิ่งเข้าหาทางลัดและเลือกหยิบเอาวิธีการที่ง่ายที่สุด
ผมไม่แน่ใจว่าจะดีใจหรือเปล่า ที่ได้รู้ว่าคุณเป็นเจ้าของบริษัทยา ผมพูดไปตามที่รู้สึก แต่ก็นั่นแหละมันก็คงไม่ยุติธรรมที่จะโยนความผิดทั้งหมดให้เขา ในเมื่อ...คนพวกนั้นยังคงวิ่งเข้าหาทางลัดและเลือกหยิบเอาวิธีการที่ง่ายที่สุด อย่างที่เขาปรามาศไว้
ผมคงต้องไปแล้ว ยังมีอีกหลายที่ที่ผมอยากเห็น หวังว่าคุณคงขายยาได้มากกว่าปืนนะ ผมพูดก่อนขยับปีกกระพือออกบิน
นั่นก็ขึ้นกับว่ามีคนอยากอยู่มากกว่าคนอยากตาย เสียงเขาตอบไล่หลังมาไม่ห่าง
นั่นสินะ
ผมบินออกจากมหานครแห่งนั้น มุ่งหน้าลงทางใต้
บินข้ามมหาสมุทร จนไปถึงผืนแผ่นดินกว้างใหญ่อันอุดมด้วยเทือกเขาและป่ารกทึบ เมื่อล่วงพ้นเขตป่าผมมองเห็นที่ลาบเตียนโล่ง ที่ซึ่งความอุดมสมบูรณ์ไม่สามารถเดินทางมาถึง แผ่นดินแห้งแตกระแหง ต้นไม้ยืนต้นแห้งเฉารอคอยวินาทีแห่งความตายที่กำลังคืบคลานใกล้เข้ามาทุกขณะ แหล่งน้ำแห้งขอดจนเกือบจะกลายเป็นปรักโคลนขุ่นขลัก ไม่ไกลจากแหล่งน้ำมีเพิงผ้าใบเก่ามอซอตั้งท้าลมท้าแดดอยู่อย่างโดดเดี่ยว ผมผ่อนแรงกระพือปีก ค่อยๆ ร่อนลงยังพื้นดินด้านหน้าเพิงแห่งนั้น ข้างในเพิงมีเตียงไม้เรียงรายหลายเตียง และทุกเตียงมีคนป่วยนอนซมคล้ายรอคอยการตัดสินของชะตากรรมอันมืดหม่น คนที่ไม่เจ็บป่วยก็เฝ้าปรนนิบัติญาติมิตรของตนอยู่ไม่ห่างเตียง แววตาของพวกเขานั้นฉาบด้วยความเศร้าสร้อย สิ้นหวัง
ผมขยับเข้าไปใกล้เตียงของชายชราผิวเข้มหนวดเคราปรกรุงรัง ซึ่งนอนนิ่งด้วยลมหายใจอันแผ่วบาง เขาเหลือบมองผมด้วยดวงตาแร้นแค้น
เธอมาทันได้ดูความตายของฉันพอดี พ่อหนุ่ม เสียงเขาลอดผ่านลำคอออกมาอย่างยากลำบาก
ผมไม่ได้มาดูความตายของคุณหรือของใครหรอก ผมแค่เดินทางผ่านมาเท่านั้น ผมตอบ
แต่ถึงยังไง เธอก็จะได้เห็นความตายของฉันอยู่ดี
คุณรู้ได้ยังไง ว่ากำลังจะตาย? ผมขยับเข้าใกล้เขายิ่งขึ้น
รู้สิ อีกไม่กี่อึดใจฉันจะต้องตายแน่ๆ ทุกคนที่นอนซมอยู่ที่นี่ก็จะต้องตายเหมือนอย่างฉัน ไม่มีใครรอดหรอก ไม่มีใครมาช่วยเรา พวกเขาทิ้งเราแล้ว
ใครทิ้งพวกคุณ? ผมอยากรู้ขึ้นมาทันที
หมอ
หมอ?!
ใช่...หมอ พวกนั้นเป็นหมอ พวกเขาเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากดินแดนที่อยู่ไกลแสนไกล เพื่อเอายามารักษาให้เราฟรีๆ ตามความเห็นของฉันถ้าพวกเขาไม่ใช่หมอพวกเขาก็คงเป็นพระเจ้า เขาสำลักและไอออกมา 2-3 ที
ยาของพวกเขาราวกับน้ำทิพย์จากพระผู้เป็นเจ้า มันทำให้อาการป่วยของพวกเราดีขึ้นทันตาเห็น ฉันเกือบจะลุกจากเตียงได้อยู่แล้วเชียว แต่แล้วอยู่ๆ พวกเขาก็บอกเราว่ายาหมด ถ้าจะรักษาต่อต้องใช้เงินจำนวนมาก มากเท่าใดฉัน ไม่รู้หรอก รู้แต่ว่าตัวฉันไม่มีเงินเลย พวกเราทุกคนไม่มีใครมีเงินกันหรอก เราไม่มีงานให้ทำมานานแล้ว ตั้งแต่ประเทศของเราเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
แล้วทำไมพวกเขายอมให้ยาฟรีในตอนแรกล่ะ? ผมเริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากล
เรื่องนั้นฉันไม่รู้หรอก เห็นพวกเขาพูดกันว่ามันเป็นยาตัวใหม่ และเราเป็นคนป่วยกลุ่มแรกที่ได้ลองใช้ยาพวกนี้ พวกเขาจุดประกายความหวังให้เรา ก่อนจะทอดทิ้งเราไว้ใต้ม่านมืดแห่งความสิ้นหวัง ดูคนพวกนี้สิ ชายชราเบี่ยงหน้าไปยังคนป่วยอื่นๆ ที่วางร่างกายเหี่ยวแห้งราวซากศพอยู่บนเตียงไม้เก่าๆ
พวกเขาล้วนอยู่บนชะตากรรมเดียวกันกับฉัน ต้องการยา และรอคอยความตาย โดยแอบตั้งความหวังไว้ลึกๆ เบื้องหลังแววตาจวนเจียนสิ้นหวัง ว่าอย่างแรกจะเดินทางมาถึงก่อน
ผมไพร่นึกถึงยาของพ่อค้าอาวุธ และอดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบระหว่างยากับปืนของเขา อย่างไหนฆ่าคนให้ล้มตายมากกว่ากัน
ทำไมพวกคุณไม่คิดช่วยตัวเองบ้างเล่า นอกจากการนอนรอคอยความตายอยู่เฉยๆ อย่างนี้
เราทำอะไรไม่ได้หรอก พ่อหนุ่ม ก่อนมาถึงนี่ท่านคงเห็นสภาพความกันดารของดินแดนแห่งนี้แล้ว เราได้สูญเสียจิตวิญญาณเดิมที่เคยอยู่กับเรามาเนิ่นนานตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษไปอย่างสิ้นเชิง ป่าของเราถูกตัดทำลาย พืชพรรณอันมีค่าถูกลำเลียงไปยังดินแดนของคนผู้มั่งคั่งวันแล้ววันเล่า จนสุดท้ายเราไม่เหลือแม้แต่สมุนไพรสักต้น น้ำเสียงเขาบ่งชัดถึงความเจ็บปวด
เมื่อทรัพยากรเหลือจำกัดสงครามก็เกิดขึ้น ผู้คนแตกออกเป็นฝักฝ่ายแข่งขันกันสั่งสมอาวุธ และเริ่มลงมือเข่นฆ่ากันเอง ความจริงสงครามที่ฉันกล่าวถึงนี้เกิดอยู่ยังอีกฟากหนึ่งของประเทศเรา แต่ผลของมันลุกลามไปยังทั่วทุกหัวระแหง ความตาย ความอดอยาก ความแร้นแค้นกันดารคือคนแปลกหน้าที่เดินเข้ามาขับไล่เราออกจากบ้านอันอบอุ่นแสนสุข ของเราเอง ผู้ที่มีกำลังเข้มแข็งกว่ายึดครองเอาทุกอย่างเป็นของตนเอง ในขณะที่ผู้อ่อนแอถูกจับมัดแน่นไว้กับความสิ้นหวัง
เอาล่ะ ได้เวลาที่ฉันต้องพักผ่อนแล้ว ดีใจที่ได้พูดกับเธอนะ ขออวยพรให้เธอโชคดี พูดจบชายชราก็ปิดเปลือกตาลง หน้าอกของเขายังกระเพื่อมตามจังหวะหายใจอันแผ่วเบา
ลาก่อน ผมกล่าวคำลาแก่เขา แล้วบินจากมาอย่างเงียบเชียบ
ชายชรา รวมทั้งคนป่วยพวกนั้นอาจจะสิ้นใจก่อนที่ผมจะทันบินพ้นจากดินแดนของพวกเขา หรืออาจจะอยู่ต่อบนลมหายใจรวยริน กระทั่งหมอของพวกเขานำยาตัวใหม่มาป้อนให้ แต่ถึงอย่างไรมันคงไม่มีอะไรมาเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของพวกเขาได้ ชะตากรรมที่ถูกกระทำโดยเงื้อมมือของคนแปลกหน้าที่พวกเขาไม่มีวันได้รู้จัก
ผมนึกถึงคำอวยพรของนักบวชผู้ตั้งมั่นในความสงบสุขบนยอดเขาสูง และอยากมอบมันให้แก่ชายชราผู้สิ้นหวัง แต่ใจหนึ่งผมคิดว่า ชายชราได้ล่วงรู้และเข้าใจในสัจธรรมแห่งชีวิตด้วยตัวของเขาเองแล้ว คงไม่มีคำอวยพรใดๆ มีค่ากับเขาอีกต่อไป ซึ่งผมอาจจะคิดผิดก็ได้
ดวงอาทิตย์เริ่มอ่อนแสงลง คงใกล้เวลาอัสดงเต็มที
ผมบินอยู่เหนือแผ่นดินกว้างใหญ่ที่ดูเหมือนไร้ขอบเขต เสียงปืนดังแว่วมาจากทิศใดทิศหนึ่งซึ่งไกลออกไป แม้จะแผ่วเบามันก็สร้างความสับสนให้กับผมจนไม่รู้ว่าจะบินต่อไปทางไหน ผมนึกไม่ออกว่ายังมีอะไรอื่นอีกที่ผมยังอยากรู้อยากเห็น ยังมีดินแดนใดที่ผมอยากไปถัดจากนี้ ผมรู้แค่ว่าความสนุกในการบินของผมมลายหายไปหมดแล้ว ความภูมิใจในพละกำลังแห่งปีกไม่มีตกค้างหลงเหลืออยู่อีกเลย โลกอันไร้พรมแดนแบ่งกั้นนั้นเป็นเพียงมายาคติที่ผมอุปโลกย์ขึ้นมา เป็นโลกที่ไม่มีอยู่ในความเป็นจริง
ปีกของผมหมดเรี่ยวแรงพร้อมๆ กับหัวใจอันห่อเหี่ยว สิ้นหวัง
และสิ่งที่ผมอยากทำมากที่สุดก็คือ
ตื่นจากความฝันนี้เสียที!
13 ธันวาคม 2549 08:33 น.
พีรเดช นวลสาย
ผมรู้สึกเหมือนถูกภูเขาทั้งลูกกดทับลงมากลางอก
เอาล่ะซี! ทีนี้จะทำยังไงดี เรื่องที่เคยเป็นแค่ความคิดสกปรก ตอนนี้มันเกิดขึ้นจริงๆ แล้ว โดยทั้งผมและทั้งหล่อนยินยอมพร้อมใจร่วมกันก่อมันขึ้นมา บอกตามตรงตอนนั้นนอกจากกามกระหายที่บดบังความรู้สึกชั่วดีในตัวจนหมดมิด ผมไม่ได้ตระหนักถึงผลอันจะเกิดตามมาต่อจากนี้เลยสักนิด หล่อนเองก็คงไม่ต่างกันนัก เรื่องสกปรกนี่คงไม่มีทางเกิดขึ้น ผมรู้หล่อนไม่ได้หลับสบายจริงๆ อย่างที่กำลังทำอยู่ตอนนี้แน่ ในหัวของหล่อนต้องหมุนคว้างจนความคิดระคนปนเป จนยากจะจับต้นชนปลายถูก มันจะเป็นอะไรอื่นไปได้อีกเล่ากับคนที่กำลังถูกความรู้สึกผิดเข้าคุกคาม
ผมจุดบุหรี่สูบ ระบายควันออกมาตามจังหวะถอนหายใจ หันไปมองร่างเปลือยเปล่าของหล่อนที่นอนหันหลังให้
ทีนี้ จะเอายังไง?
คุณถามฉัน? หล่อนทำเสียงฉุน
คือ..ผมไม่ได้หมายความว่า... ผมอึกอัก
แต่คุณคิด! หรือคุณจะปฏิเสธ? หล่อนพลิกตัวกลับมา ดึงบุหรี่จากมือผมไปสอดเข้าปาก
ใช่สิ! คุณได้ฉันง่ายๆ นี่ มันก็ไม่แปลกถ้าคุณจะลุกจากเตียงไปเฉยๆ โดยไม่ต้องใส่ใจอะไร ฉันต่างหากที่ต้องโทษตัวเองที่ร่านผู้ชายเกินไป
ไม่ใช่ยังงั้นหรอกน่า คุณก็น่าจะรู้ว่าผมหมายถึงอะไร
ผมฉุนขึ้นมาบ้าง รู้หรอกน่าว่าหล่อนแกล้งทำเป็นขึ้นเสียงเพื่ออะไรปกป้องตัวเองยังไงล่ะ หล่อนจะบอกว่ามันไม่ใช่ความผิดของหล่อนคนเดียวทั้งหมด ผมนี่ไงหุ้นส่วนความผิดอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือ มันก็จริง แต่หล่อนเองก็ต้องไม่ลืม ว่าใครเป็นคนทอดสะพานให้ผมเดินเข้าหา
ใบหน้าขึ้งเครียดของหล่อน ช่างดูบิดเบี้ยวน่าเกลียดซะเหลือเกิน โดยเฉพาะน้ำเสียงเล็กแหลมที่พูดเหมือนจะโยนความผิดทั้งหมดให้ผมคนเดียว มันหายไปไหนแล้วล่ะ ไอ้ความสวยเย้ายวนที่ผมกระหายนักหนา หรือว่าหล่อนเป็นคนละคนกับแม่สาวสวยสุดเซ็กซี่คนนั้น หรือว่านี่คือเนื้อแท้เบื้องหลังเปลือกห่อหุ้มอันแสนสวยนั่น ไม่อยากเชื่อเลยว่า ผมหลงอะไรในตัวหล่อนถึงขนาดกลายเป็นคนหูหนวกตาบอดมาก่อนหน้านี้
แน่ล่ะ! ผมไม่ปฏิเสธว่าหล่อนดูดีกว่าผู้หญิงคนอื่นๆ ในออฟฟิศด้วยกัน พวกนั้นมีแต่ยายเพิ้งหนังเหนียวที่ไม่เคยจำนนต่อสังขารตัวเอง แถมยังใช้เวลาส่วนใหญ่ของชีวิตหมดไปกับการจับกลุ่มซุบซิบนินทาคนโน้นคนนี้ ไม่เว้นกระทั่งเรื่องบนเตียงของสามีตนเอง และก็หัวเราะหัวใคร่กันคิกคักเห็นเป็นเรื่องสนุก นั่นคือภาพที่ผมเกลียดเข้าไส้
แต่หล่อนนั้นแตกต่างไปจากคนอื่น ทั้งการวางตัว อุปนิสัย และโดยเฉพาะความเพอร์เฟ็คท์ของรูปกาย ซึ่งไม่ได้จำกัดอัดแน่นอยู่ในวัตถุทรงกลมเตี้ยม่อต้ออย่างแม่ไก่แก่พวกนั้น หล่อนจึงเป็นเหมือนกุหลาบงามเพียงดอกเดียวท่ามกลางดงดอกอุตพิดทั้งหลาย ที่มีทั้งกลิ่นหอมเย้ายวนและน้ำหวานหล่อเลี้ยงหัวใจผู้ชายอย่างพวกเราให้กลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะเฉาตายกันไปซะก่อน ผมคงต้องยืดอกยอมรับอย่างไม่เสแสร้งว่าสนใจในตัวหล่อนไม่น้อย และก็เป็นในแง่เซ็กส์มากกว่าอย่างอื่น บ่อยครั้งที่แอบเก็บเอาเรือนร่างอวบอัดของเธอไปชำเราในความฝัน เป็นการหาความสุขที่ทำได้โดยไม่ต้องเสี่ยงกับฝ่ามือของหล่อน ใครจะหาว่าลามกวิตถารอะไรก็ตามใจเถอะ ผู้ชายทุกคนคิดอย่างนี้กับหล่อนทั้งนั้น เพียงแต่ผมอาจเป็นคนเดียวที่กล้ายอมรับความจริงก็เท่านั้น ตราบใดก็ตามที่มันยังเป็นแค่ความคิด ต่อให้หมกมุ่นหรือโสมมยังไงมันก็ยังไม่สมควรถูกตราหน้าว่าเป็นความผิด ผมคิดอย่างนั้น เพราะความคิดเพียงอย่างเดียวทำร้ายใครต่อใครไม่ได้ ยกเว้นเราปล่อยให้มันมีอำนาจเหนือกว่าและกลายเป็นผู้ควบคุมตัวเรา แต่ถ้าจะมีใครสักคนที่มันพอจะทำร้ายได้ ก็คงเป็นตัวเจ้าของความคิดเองนั่นแหละ เหมือนกับที่มันกำลังเล่นงานผมจนกระวนกระวายใจอยู่ในตอนนี้
ฉันรู้นะว่าคุณมองฉันอยู่
นั่นเป็นประโยคแรกที่หล่อนพูดกับผมเมื่ออาทิตย์ก่อน ดวงตาหล่อนมันแปลบจนผมแทบมองเห็นตัวเองในนั้น
ผม-เปล่า... ผมปฏิเสธได้ไม่เต็มเสียง
อย่ามาทำปากแข็งหน่อยเลยน่า ดวงตาคุณมันสารภาพกับฉันหมดเปลือกแล้ว
หล่อนค้อมตัวลงมาจ้องตาผม ไม่รู้จริงๆว่าตั้งใจแกล้งหรือลืมตัวกันแน่ เพราะจังหวะนั้นเนินเนื้อขาวเนียนขนาดมหึมาสองก้อนของเจ้าหล่อนแทบจะล้นทะลักออกมานอกคอเสื้อ หัวใจผมเต้นระรัวจนคร่อมจังหวะ ลำคอแห้งผากเนื้อตัวร้อนวูบวาบไปหมด ไม่คิดเลยว่าหล่อนจะรุกผมหนักขนาดนี้
ว่าไงล่ะ คุณแอบมองฉันอยู่ใช่ไหม? เสียงแหลมเล็กของหล่อน ดึงความคิดผมกลับมาสู่ความจริง
ก็-คุณ-สวย ผมไม่รู้จะพูดอะไรนอกเหนือจากนี้จริงๆ
หล่อนยิ้ม แล้วหันหลังเดนจากไปเฉยๆ ปล่อยให้ผมนั่งงงอยู่คนเดียว หล่อนจะเอายังไงกันแน่ โกรธ เกลียด หรือจริงๆ แล้วก็แอบมีใจให้ผมอยู่ ถ้าเป็นอย่างหลังมันคงเป็นลาภก้อนโตที่ฟ้าประทานลงมาให้แก่สุนัขจิ้งจอกผู้หิวโหย ซึ่งมันพร้อมเสมอที่จะกระโจนเข้าขย้ำอย่างไม่ลังเล แต่ก็ยากจะเชื่อเหมือนกันว่าหล่อนจะคิดอย่างนั้น เพราะเท่าที่จำได้เราแทบไม่เคยคุยกันด้วยซ้ำ ทั้งหล่อนเองก็ไม่เคยแสดงออกว่าสนใจใคร่สนิทกับผู้ชายคนไหน แน่นอนว่ารวมทั้งผมด้วย
ผมบรรจงเคาะข้อนิ้วกลางลงบนบานประตูเบาๆ 2-3 ครั้ง
ครู่เดียวมันก็แง้มเปิดออก ผมมองซ้ายมองขวาให้แน่ใจว่าไม่มีใครจึงรีบแทรกตัวเข้าไปข้างใน ทันทีที่ได้เห็นหล่อนในชุดนอนสีขาวบางเฉียบแทบจะทะลุถึงร่างเปล่าเปลือยภายใน กับหน้าอกงอนงามซึ่งตั้งชันล้ำหน้าส่วนไหนๆ ออกมาราวกำลังเชื้อเชิญให้ลองลิ้มรสสัมผัส จิ้งจอกหิวโวในตัวผมเหมือนถูกปลุกกระตุ้นด้วยกลิ่นคาวเลือดสดๆ จากบาดแผลเหยื่อ มันคำรามกึกก้องแล้วกระโจนเข้าใส่ทันที
ผมบดจูบริมฝีปากเรียวบางของหล่อนอย่างหนักหน่วงสองมือคลึงเคล้นซอกซอนไปทั่วร่างอวบอัดนั้น ขณะที่หล่อนเองก็โต้ตอบอย่างไม่ถดถอย มันเป็นบทเร้าโรมที่รุนแรงถึงใจที่สุดเท่าที่เคยสัมผัส เลือดในกายผมพุ่งพล่านไปทุกอณูเนื้อ ถึงนาทีนี้ต่อให้พระเจ้าก็ห้ามความต้องการของเราทั้งคู่ไม่ได้แล้ว
ไปข้างบนดีกว่าค่ะ
หล่อนถอนปากออกมากระซิบเสียงกระเส่า เมื่อเห็นผมตั้งท่าจะดึงชุดนอนออก
ตามใจคุณสิที่รัก ผมจูบลงบนหน้าอกหล่อนอย่างนิ่มนวล แล้วช้อนแขนอุ้มตัวหล่อนขึ้นมาด้วยแรงกระสัน จังหวะที่สายตาผมประสานกับสายตาเยิ้มมันเต้นระริกของหล่อนพาให้คิดถึงแววตาแบบเดียวกันนี้ ตอนที่หล่อนเดินมากระซิบเบาๆ ข้างหูผมถึงโต๊ะทำงานเมื่อเย็นวานว่าจะลาป่วยวันนี้ เป็นไปได้อยากมีคนมาอยู่ดูแลเป็นเพื่อนที่บ้าน มันไม่ใช่ข้อสอบตรรกะที่ต้องใช้เวลาคิดคำนวณอะไรให้เสียเวลา ผมรีบรับปากทันที ความจริงอยากจะตามหล่อนกลับเดี๋ยวนั้นเลยด้วยซ้ำ เพราะมโนธรรมอันเปราะบางในใจถูกฉีกขาดกระจุยกระจายลงแล้ว ใครจะไปคิด ว่าหล่อนเองก็มีความต้องการอย่างเดียวกัน
ผมจุดบุหรี่สูบเป็นมวนที่สอง
สีดควันเข้าจนลึกสุดปอดแล้วค่อยๆ ผ่อนออกมาทางรูจมูก อดแปลกใจไม่ได้เลยว่า ความกระหายอยากกับความสุขสมที่เพิ่งเกดขึ้นเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมามันมลายหายไปไหนหมดแล้ว เพลงกามที่บรรเลงอย่างถึงพริกถึงขิงไม่หลงเหลือแม้สักท่วงทำนองซาบซึ้งให้จดจำ ทั้งที่มันเป็นความต้องการซึ่งอัดแน่นอยู่ภายในรอวันได้ปะทุออกมา ผมน่าจะลิงโลดดีใจสิ เมื่อตอนนี้มันได้ระบายออกมาแล้ว แรงปรารถนาเหล่านั้นไดรับการตอบสนองอย่างสาสมแล้วกับผู้หญิงที่เฝ้ามองเฝ้าฝันมาตลอดคนนี้ ผมต้องตักตวงเอาจากหล่อนให้มากที่สุดถึงจะถูก แต่กลับนั่งมองร่างเปลือยที่นอนข้างๆ นี้ด้วยความสับสนและจุกแน่นหน้าอกราวถูกภูเขาทั้งลูกกดทับ
จะเอายังไงล่ะ? หล่อนถามขึ้นท่ามกลางความเงียบ
ผมไม่รู้ คงต้องปล่อยเลยตามเลย...ก็มันเกิดขึ้นแล้วนี่ ผมพูดเสียงเบาหวิว
หรือคุณมีความคิดที่ดีกว่านี้?
หล่อนนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง
แต่แบบนี้มันผิด!!
ผมรู้ แต่ก่อนหน้านี้เราทั้งคู่ไม่มีใครคิดจะยับยั้งมันเลยนี่ เราสนใจแต่ความต้องการของตัวเองจนปล่อยให้มันเลยเถิดมาไกลถึงนี่แล้ว ผมพูดไปตามที่รู้สึก
เราจะแอบทำแบบนี้ไปตลอดหรือไง? หล่อนถาม
มันเป็นทางเดียว หรือไม่ก็ต้อง...
เลิกกันแค่นี้...ใช่ไหม?!
ผมเปล่าพูด
แต่คุณคิด! คุณนอนกับฉัน ในบ้านฉัน บนเตียงนอนของฉัน เสร็จแล้วก็จะเดินออกไปทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หล่อนผุดลุกขึ้นนั่ง
แล้วฉันล่ะ!? ฉันก็จะกลายเป็นผู้หญิงใจง่าย ไม่เคยอิ่มในกาม เป็นแค่นังแพศยาไร้ค่า เท่านั้นใชไหม๊?!
ผมเปล่าคิดอย่างนั้น ผมไม่ใช่ผู้ชายประเภทไร้ความรับผิดชอบขนาดนั้นหรอก เพียงแต่ยังคิดไม่ออกเลยว่า จากนี้เราจะทำยังไงกันดี คุณคิดหรือว่าจะปิดเรื่องนี้กับสามีคุณได้ตลอด
หล่อนก้มหน้านิ่งเงียบ ตัวสั่นสะอื้น
ภาพใบหน้าผู้ชายคนนั้น ตอนหัวใจสลายเมื่อเห็นกับตาตัวเองว่า เมียรักกำลังกอดรัดร่วมรักอย่างเผ็ดร้อนกับชายชู้บนเตียงที่เขาหลับนอนกับหล่อนมาตลอดชีวิตคู่ ค่อยๆ ผุดขึ้นมาในหัวผม ตามติดด้วยภาพใบหน้าซึมเศร้าของเมียผมที่สว่างวาบเข้ามาแทนที่อย่างฉับพลัน ผมเห็นเธอนั่งนิ่งอยู่บนโซฟารับแขกจนดึกดื่นเพื่อจะพบว่าสามีเลวๆ ที่เธอรอเปิดประตูรับ กลับมาพร้อมกับคำโกหกคำโตที่เตรียมไว้สำหรับตอบแทนความภักดีของเธอโดยเฉพาะ และแกล้งชวนเธอร่วมรักเพื่อกลบเกลื่อนความเคลือบแคลง ทั้งที่แทบหมดแรงไปกับผู้หญิงอื่นมาไม่กี่นาที
แน่นอนว่าผมต้องปิดเธอให้ถึงที่สุด แต่ใครจะรับปากได้ว่า วันหนึ่งเรื่องมันจะไม่แดงขึ้นมา โดยเฉพาะเรื่องคาวๆ แบบนี้ ยังไม่เคยเห็นใครปิดมันได้สนิทจริงๆ สักที ถึงตอนนั้นเธอจะมีภูมิต้านทานกับมันแค่ไหน ไม่ยุติธรรมเลยสำหรับเมียที่แสนดีอย่างเธอ แต่ผมก็ได้ทำลงไปแล้ว จะแก้ตัวยังไงได้ทุกอย่างดูมันตื้อและตีบตันไปหมด จนผมรู้สึกเหมือนกำลังจะโยนชีวิตคู่ของตัวเองทิ้ง เพียงเพื่อสังเวยกามารมณ์หยาบอยากชั่วไม่กี่นาที
มันช่างโง่เง่า บัดซบดีแท้!!
ผมนั่งดูดบุหรี่ระบายความคิดไปเกือบครึ่งซอง
มันไม่ได้ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นมาเลยสักนิด เพียงแต่เพื่อฆ่าเวลาให้หมดๆ ไปเท่านั้น-เวลาอันเชื่องช้ายาวนาน ราวกับหยุดนิ่งอยู่กับที่
ถามจริงเถอะ คุณชอบฉันบ้างไหม?
หล่อนใช้ปลายนิ้วชี้เขี่ยใบหูผมเบาๆ ผมหันไปมองนัยน์ตามันวาวคู่นั้น พยักหน้าเนิบช้า หล่อนยิ้มออกมาง่ายดาย รั้งตัวผมเข้าไปกอดรัดสอดเสียดเรียวขางามมาก่ายเกย ไออุ่นจากเรือนกายเนียนนิ่มกระตุ้นอารมณ์ให้ปะทุขึ้นมาอย่างประหลาด เสียงสัตว์ป่าในตัวร้องโหยหวนตอบรับ ผมจึงรั้งคอหล่อนมาบดจูบริมฝีปากและพลิกตัวขึ้นทับบนร่างร้อนร่านนั้นทันที ไฟปรารถนาเบื้องต่ำของเราทั้งคู่กำลังถูกจุดให้ลุกโชนขึ้นอีกคำรบหนึ่ง มันร้อนแรงเพียงพอที่จะแผดเผาความคิดสับสนในหัวใจจนมอดไหม้หมดสิ้น
ช่างหัวมันปะไร!!
จะทำผิดแค่ครั้งเดียวหรือหลายครั้งมันก็ถูกตราหน้าว่าเป็นคนเลวอยู่วันยังค่ำ จะแปลกอะไรถ้าจะทำมันหลายๆ ครั้งไปเลย จะได้รู้สึกว่าเลวอย่างคุ้มค่าหน่อย
ผมได้ยินเสียงสัตว์ในตัวมันสบถออกมาอย่างนี้