28 เมษายน 2552 13:35 น.
พิมญดา
ยามฉันท้อหยิบปากกามาขีดเขียน
แล้วก็เพียรอ่านกลอนสอนใจฉัน
มาวันนี้เลยอยากมาแบ่งบัน
อัศจรรย์เหลือหลายคลายท้อแท้
เก็บมานานอ่านมาแล้วหลายพันเที่ยว
กับบันทึกเล่มซีดเซียวที่เก่าแก่
แต่ไม่เคยจะไร้การดูแล
หากเจอเรื่องที่แย่ไม่แพ้ทาง
********************************************************
ถ้าโกรธกับเพื่อน.......................มองคนไม่มีใครรัก
ถ้าเรียนหนักๆ ..........................มองคนอดเรียนหนังสือ
ถ้างานลำบาก ............................มองคนอดแสดงฝีมือ
ถ้าเหนื่อยงั้นหรือ ......................มองคนที่ตายหมดลม
ถ้าขี้เกียจนัก ............................มองคนไม่มีโอกาส
ถ้างานผิดพลาด........................ มองคนไม่เคยฝึกฝน
ถ้ากายพิการ ............................มองคนไม่เคยอดทน
ถ้างานรีบรน ............................มองคนไม่มีเวลา
ถ้าตังค์ไม่มี ..............................มองขอทานข้างถนน
ถ้าหนี้สินล้น ............................มองคนแย่งกินกับหมา
ถ้าข้าวไม่มี .............................มองคนไม่มีที่นา
ถ้าใจอ่อนล้า ...........................มองคนไม่รู้จักรัก
ถ้าชีวิตแย่ .............................มองคนที่แย่ยิ่งกว่า
อย่ามองแต่ฟ้า ........................ที่สูงเกินตาประจักษ์
เมื่อรู้แล้วจัก ..........................ภาคภูมิชีวิตแห่งตน
************************************************************
ยามที่พิมท้อก็คือ มีสมุดบันทึกคู่กาย
ยามที่หมดอาลัยมันเหนื่อยล้าสุดๆๆกลอนข้างบทนี้เลยค่ะ
ซึ่งไปอ่านเจอหนังสือเล่มหนึ่ง
เวลาที่มีปัญหาการดำเนินชีวิตไม่ว่าเรื่องอะไร
ใช้ได้เสมอ..เตือนสติ.เราได้ดีมากๆเลยค่ะ
ไม่รู้ใครแต่ง...ขอกราบขอบคุณผู้แต่งบทกลอนสอนธรรมเป้ฯอย่างสูงด้วยค่ะ..
^-^นี่คือหลักของการเรียนรู้สู้ชีวิตของพิมญดา^-^
28 เมษายน 2552 13:26 น.
พิมญดา
แล้วก็เพียรอ่านกลอนสอนใจฉัน
มาวันนี้เลยอยากมาแบ่งบัน
อัศจรรย์เหลือหลายคลายท้อแท้
เก็บมานานอ่านมาแล้วหลายพันเที่ยว
กับบันทึกเล่มซีดเซียวที่เก่าแก่
แต่ไม่เคยจะไร้การดูแล
หากเจอเรื่องที่แย่ไม่แพ้ทาง
********************************************************
ถ้าโกรธกับเพื่อน มองคนไม่มีใครรัก
ถ้าเรียนหนักๆ มองคนอดเรียนหนังสือ
ถ้างานลำบาก มองคนอดแสดงฝีมือ
ถ้าเหนื่อยงั้นหรือ มองคนที่ตายหมดลม
ถ้าขี้เกียจนัก มองคนไม่มีโอกาส
ถ้างานผิดพลาด มองคนไม่เคยฝึกฝน
ถ้ากายพิการ มองคนไม่เคยอดทน
ถ้างานรีบรน มองคนไม่มีเวลา
ถ้าตังค์ไม่มี มองขอทานข้างถนน
ถ้าหนี้สินล้น มองคนแย่งกินกับหมา
ถ้าข้าวไม่มี มองคนไม่มีที่นา
ถ้าใจอ่อนล้า มองคนไม่รู้จักรัก
ถ้าชีวิตแย่ มองคนที่แย่ยิ่งกว่า
อย่ามองแต่ฟ้า ที่สูงเกินตาประจักษ์
เมื่อรู้แล้วจัก ภาคภูมิชีวิตแห่งตน
************************************************************
ยามที่พิมท้อก็คือ มีสมุดบันทึกคู่กาย
ยามที่หมดอาลัยมันเหนื่อยล้าสุดๆๆกลอนข้างบทนี้เลยค่ะ
ซึ่งไปอ่านเจอหนังสือเล่มหนึ่ง
เวลาที่มีปัญหาการดำเนินชีวิตไม่ว่าเรื่องอะไร
ใช้ได้เสมอ..เตือนสติ.เราได้ดีมากๆเลยค่ะ
ไม่รู้ใครแต่ง...ขอขอบคุณผู้แต่งบทกลอนสอนธรรม..
นี่คือหลักของการเรียนรู้สู้ชีวิตของพิมญดา^-^
23 เมษายน 2552 13:06 น.
พิมญดา
ขอเล่าแจ้งแถลงความตามท้องเรื่อง
นามกระเดื่องพิมญดาแม่ญิงเหนือ
จิตนาการงานกลอนมีเหลือเฟือ
แล้วไม่เบื่อจะอ่านเขียนเพื่อนบ้านกลอน
เขียนไม่ดีก็แค่มีใจที่รัก
อยากรู้จักนักเขียนเพื่อนช่วยสอน
มีรุ่นพี่รุ่นน้องมาต่อกลอน
ไม่เดือดร้อนผู้ใดให้ระอา
เป็นนักกลอนที่ดีๆตรงไหน
ขอเล่าแจ้งแถลงไขข้อกล่าวหา
เพื่อนนักกลอนมีความคิดอยากไรจา
ช่วยบอกมา..นักกลอนดีมีที่ใด..
.
********คือว่าบางทีตามศักดิ์และสิทธิ์ต้องคิดอย่างไรหนอ**********
เลยขอให้เพื่อนๆๆช่วยบอกทีเหอะพอดีพิมเรียนมาน้อยค่ะเลยจนปัญญา
แต่พิมมีข้อดีและข้อเสียเหมือนทุกคนนั่นแระค่ะ...ข้อดียกมาสองข้อพอ..
ข้อดีมีสัมมาคารวะ.....ข้อเสีย..ใจร้อนวู่วาม..เฮ้อ..ข้ออื่นๆๆค่อยว่ากัน..อิอิ
2 สิงหาคม 2551 10:49 น.
พิมญดา
ผมก็เป็นอีกคนที่เหมือนวัยรุ่นทั่วๆ ไป
เรียน เที่ยว นอน กิน . . . ดึกๆ ผมก็โทรคุยกับแฟนของผม
ทั้งหมดเหล่านี้ มันก็เป็นกิจวัตรประจำวันของผม
และผมก็เชื่อว่าวัยรุ่นสมัยนี้เค้าก็ทำแบบนี้กัน (ความเข้าใจของผมนะ)
"จ้า ตัวเอง วันนี้กินข้าวรื้อยาง"
"กินกับอะไรบ้าง แล้วตอนกินตัวเองคิดถึงเค้ามั้ยเนี่ย"
"รู้มั้ยตัวเอง ถ้าเค้าเป็นผีเนี่ย เค้าอยากเป็นกระสือที่รักจะได้เห็นใจไง"
"ตัวเองวางก่อนดิ ก่อนดิ"
นี่คือประโยคต่างๆ ที่ผมได้คิด
และคัดสรรเตรียมพร้อมมาต่างๆ ก่อนโทรหาแฟน
ในตอนดึกของทุกๆ วัน . . .
ผมยังคงใช้เวลาส่วนใหญ่ในการคุยโทรศัพท์
แต่ผมกลับรู้สึกว่า ระยะเวลาที่ผมใช้ไปนั้นไม่นานเลย
แต่ . . . พอรู้สึกอีกที มันกลับผ่านไปหลายชั่วโมงแล้ว
ผมก็ไม่ชอบนะ . . . หากใครจะมาว่าผมไร้สาระ
ก็ไม่เห็นเหรอคนส่วนใหญ่เค้าก็ทำกัน ^-^
ใครไม่ทำก็เชยเป็นบ้าแล้ว . . .
เอ้อ . . .เกือบลืมไปอีกอย่าง กิจวัตรอีกอย่างหนึ่งของผมก็คือ
แม่ของผมมักชอบโทรหาผมทุกวัน
"ตอนนี้ลูกอยู่หอรึยัง"
"เย็นนี้กินข้าวอิ่มมั้ย"
"วันนี้เรียนเป็นยังไงบ้าง"
"อย่าไปเที่ยวที่ไหนไกลนะ"
โธ่! คำถามเดิมๆ ผมก็ตอบไปแบบเดิมๆ
แม่ผมก็ไม่เบื่อซักที ยังคงโทรหาผมเป็นประจำ
โชคดี . . . ที่ผมพยายามตัดบทคุย
ผมกับแม่น่ะคุยกันไม่กี่นาทีก็วางแล้ว
ก็มันไม่มีอะไรจะคุยจะให้ผมทำยังไง
จนกระทั่งวันนั้น . . .
"ตัวเองตอบเค้าได้รึยังว่ารักเค้ามั้ย"
"เร็วๆ สิ เค้ายังอุตส่าห์บอกรักตัวเองไปแล้วนะ"
"แล้วยังจะใจร้าย ไม่บอกรักเค้าอีกเหรอ"
ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ เสียงจากโทรศัพท์บอกผมว่ามีสายซ้อน
ผมมองไปที่หน้าจอมันขึ้นชื่อว่า "Home"
"โธ่ แม่โทรมาทำไมตอนนี้เนี่ย กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มเลย"
ผมไม่สลับสาย . . . ผมยังคงคุยกับสุดที่รักของผมต่อไป
เพราะผมรู้ว่า สิ่งที่แม่จะคุยกับผมก็คงเป็นประโยคเดิมๆ
และนั่นเป็นการตัดสินใจ . . . ที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิตของผม
หลังจากนั้นไม่นาน . . .
ทางญาติของผมโทรมาแจ้งผมว่า . . .
เมื่อคืนนี้บ้านของผมถูกขโมยเข้า และแม่ของผมขัดขืน
และได้ต่อสู้กับโจร จึงถูกโจรใช้มีดแทงเข้าที่ท้อง
แม่เสียชีวิต เพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว
ญาติของผมเล่าอีกว่า . . . ตอนไปพบศพแม่นั้น
ในมือของแม่กำโทรศัพท์ไว้แน่น
และเบอร์โทรออกล่าสุดของเธอ ไม่ใช่โทรแจ้งตำรวจ
หรือเรียกรถพยาบาล แต่แม่เลือกที่จะโทรหาผม
สิ่งสุดท้ายในชีวิต ที่แม่ผมเลือกที่จะทำคือ . . .
โทรศัพท์หาผมเพื่อฟังเสียงของผม
วินาทีนั้นน้ำตาของผมไหลอาบแก้ม
ผมพูดอะไรไม่ออก มือและตัวของผมสั่น
วันนั้น . . . ผมเลือกที่จะคุยกับแฟนผม ดีกว่าที่จะคุยกับแม่ของผม
ผู้หญิงคนเดียวในโลก ที่คุยกับผมเป็นคนแรกในชีวิต
ผู้หญิงคนเดียวที่ผมสามารถที่จะคุยกับเธอได้ทุกเวลา
โดยที่ผมไม่ต้องเตรียมบทพูดใดๆ ไม่ต้องกังวลว่าเธอจะประทับใจหรือไม่
ไม่ต้องมีมุข ไม่ต้องมีคำหวานใดๆ
คนเดียวในโลก ที่โทรมาหาผมเพียงแค่ฟังผมพูดประโยคเดิมๆ
คนเดียวในโลกที่ไม่ว่า โทรศัพท์เธอจะโปรโมชั่นแพงแค่ไหนก็ยังโทรหาผม
และคนเดียวในโลก ที่เลือกคุยกับผมในวินาทีสุดท้ายในชีวิต
ในบางครั้งประโยคที่ว่า "ไม่มีคำว่าสาย หากเราคิดที่จะแก้ตัว"
มันก็ไม่เป็นความจริง "เพราะบางปรากฏการณ์ในโลก เกิดขึ้นได้แค่ครั้งเดียว"
อาจเป็นเพราะเวรกรรมของผม
หลังจากนั้นไม่นาน แฟนผมที่ผมใช้เวลาคุยกับเธอวันหลายๆ ชั่วโมงก็ทิ้งผมไป
วันนี้ผมเริ่มเข้าใจชีวิตมากขึ้น
หลายๆ อย่างที่คนส่วนใหญ่ทำ มิได้หมายถึงสิ่งที่ถูกต้องเสมอไป
เพราะตัวเราเท่านั้นที่เป็นผู้ต้องรับผลการกระทำของเ ราเอง
"เราจะรู้ว่าสิ่งใดสำคัญ ก็ต่อเมื่อเราต้องเสียมันไป"
ทุกวันนี้ผมนั่งมองโทรศัพท์
รอที่จะตอบคำถามเดิมๆ ให้ผู้หญิงคนหนึ่งฟัง
แต่ . . . ผู้หญิงคนนั้นคงไม่มีอีกแล้ว
"ในเมื่อเรามีความรัก อันเต็มเปี่ยมจากครอบครัว
แล้วทำไมต้องไปขอเศษเสี้ยวจากใคร"