27 มกราคม 2555 11:48 น.
พิพัฒนชัย พรมศรี
ตะวันส่องแสง
แดดฉายลงมา ทาบทาทิวทุ่ง...
แผ่วลมผ่านโรย เหมือนโปรยกลิ่นปรุง ดอกฟางหอมลอย
ดอกหญ้าดาว วับวาวทางเกลื่อน เหมือนดังหยาดพลอย
แตะนิดต้องน้อย ราวมณีร่วงพรู พัดพรายลงดิน....
จะอยู่แดนไหน
สุดฟ้าแสนไกล คะนึงถึงถิ่น
ด้าวแดนแผ่นดิน �ที่เราจากมา เนิ่นนานแสนนาน
ดอกหญ้างาม งดงามดังก่อน �หรือร่อนร่วงราน
แดดร้อนดินแล้ง �ลมระงมแผ้วพาน �บ้านนาป่าเขา...
ทุ่มกายทุ่มใจ
เข้าโหมแรงไฟ หัวใจแรงเร้า
ยิ่งสร้างยิ่งทำ ระกำหนักเบา ดิ้นรนหนทาง
เจ้ามิ่งขวัญ ยิ่งวันยิ่งเดือน ยิ่งเลือนยิ่งราง
ทอดทิ้งทุ่งร้าง วันและวันผ่านเยือน เหมือนเดินทางไกล...
ตะวันส่องแสง
สาดแสงลงมา ทาบทาทางใหม่
ร่วมจิตร่วมใจ ก้าวไปก้าวไป ฝ่าภัยร้อยพัน
มิ่งขวัญเอ๋ย หัวใจเรามั่น เหมือนทานตะวัน
เฉิดแสงแรงฝัน ราวรวีตะวัน สีทองส่องใสฯ
____________________
๒๗ / มกราคม / ๒๕๕๕
เพลงนี้ประพันธ์ โดยกวีซีไรท์
ท่านอาจารย์ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ สาขาย่อยกวีนิพนธ์
ขับร้องโดย พี่ฟอร์ด สบชัย
ท่วงทำนอง,เนื้อหา
และความหมายของเพลงไพเราะมากครับ
เนื่องด้วยคำที่ครูใช้นั้น สละสลวย
ฟังแล้วเหมือนชุ่มฉ่ำไปด้วยหยาดฝนแห่งวสันตฤดู
เปิดฟังได้ตามลิงค์ด้านล้างนี้เลยครับ
http://www.youtube.com/watch?v=1q--4wtnt9A
-------
27 มกราคม 2555 09:59 น.
พิพัฒนชัย พรมศรี
๏ เห่าโฮ่งหอนยั่วเย้า ....... เห่าพ่อ
เห่าโฮ่งกระโหย่งคลอ ....... เห่าให้
เห่าโฮ่งเห่าสอพลอ ......... เห่าโลม เสียอัฐ
เห่าโฮ่งเห่าหอนไว้ ......... เห่าห้อม นายทุน
๏ ขุนไพร่เปลืองเปล่าแท้ .... บุญคุณ
ขุนควายยังรู้คุณ ............ แก่เนื้อ
ฤๅ ไพร่ต้องขุนทุน .......... ทรราช
ถึงจักกอบจักกูลเกื้อ ......... จักกั้น โขมยโจร
๏ ชั่วโยนฉ้อโยนให้ ....... ไพร่โยน
มั่นศีลห้อยตราโจร ........ ต่างกร้าว
จิตเสือสางทะโมน ......... ต่างสูท
ตีนฉุดกรรโชกร้าว ........ ระบมทั้ง ธงไทย
๏ คำถ่อยไอ้ทาสนั้น ....... เพื่อทุน
เพื่อฟัดเพื่อทดคุณ .......... เพื่อฟื้น
เพื่อซ้ายจัดชั่วจุน .......... เพื่อทาส
เพื่ออุบาทว์อบายครื้น ...... ครั่นครื้น โพยมสยาม !
___________________
พิพัฒนชัย
๒๗ / มกราคม / ๒๕๕๕
*หมายเหตุ
มอบให้แด่ ไม้หนึ่ง ก.กุนที
ผู้อ้างตนว่าเป็นกวีและชอบเขียนภาษาอันอัปลักษณ์หมิ่นแคลนพระบรมเดชานุภาพ
อีกทั้งยังใช้คำหยาบต่ำต่อสถาบันอยู่เป็นประจำ
Facebook
http://www.facebook.com/Pipat.Thaipoet
26 มกราคม 2555 23:20 น.
พิพัฒนชัย พรมศรี
๏�ดุจควายเดินตามต้อย ........ ตามกัน
เบิ่งตาก็บอดพลัน ................ บอดใบ้
แพล่มพล่อยเพ้อพัลวัน �.......... ถนัด
กร่างกรูกันเกลื่อนให้ �....... เกลื่อนพื้น โพยมสยามฯ
-
๏ ฟังเพลงบ่รู้เพลง
ก็โหวงเหวงตามคัลลอง"
เด้งเด้าตามทำนอง
ก็วิปริตไปโดยแรง
๏ เปลี่ยนกฏบ่รู้กฏ
ก็ถูกกดมิเคลือบแคลง
มีแรงก็ใช้แรง
กระดกก้นตามสนตะพาย
๏ "เรียนธรรมบ่รู้ธรรม
ฟังธรรมหามีธรรมไม่
มีธรรมไม่นำใช้
มาดับชั่วที่ตัวตน"
๏ มีคอกบ่อยู่คอก
ทะโมนออกทะมึนชน
ฉิบหายทั้งย่านยนต์
แลบ้านเมืองก็ฉิบหาย
๏ "เร่งนำทุศีลธรรม
ดึงฟ้าต่ำ เบิกอบาย
ฉิบหาย นะ ฉิบหาย
นะไพร่นะ หยุดเถิดนะ".!
______________
คัลลอง / ครรลอง
สองคำนี้เขียนต่างกันแต่ความหมายเดียวกัน
ซึ่งคำว่า คัลลอง นั้นคือภาษา บาลี
ส่วนครรลอง นั้นคือภาษา สันสกฤต
ซึ่งแปลว่า คลอง หรือนืยมใช้กันในความหมาย ทำนองคลองธรรม
เช่นเดียวกับคำว่า เนาว์ / เนา
เนานั้นคือภาษาเขมร
ส่วนเนาว์น่าจะใช่ภาษาสันสกฤต�ซึ่งแปลว่า อยู่ เหมือนกัน
ตัวอย่างเช่น "พระอภิเนาว์นิเวศน์" �ซึ่งเป็นพระราชมณเฑียร �
ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ�
ให้สร้างขึ้นภายในพระบรมมหาราชวัง
และยังมีจารึกอีกคือ หมู่พระอภิเนาว์นิเวศน์�
ซึ่งคล้ายคลึงกันแต่ราชมณเฑียรแห่งนี้จะสร้างด้วยเครื่องไม้ประกอบอิฐ ปูนเป็นหลัก�
เมื่อเวลผ่านไปจึงผุกร่อนจนต้องรื้อลงเกือบทั้งหมดและปรับพื้นที่เป็นสวนดังเช่นปัจจุบัน
�
พิพัฒนชัย
๒๖ / มกราคม / ๒๕๕๕
Facebook
http://www.facebook.com/Pipat.Thaipoe
26 มกราคม 2555 08:03 น.
พิพัฒนชัย พรมศรี
โคลงสี่สุภาพ
๏ งามเอยยามพักตร์ยิ้ม .... สว่างวาว
งามดุจเดือนแต้มดาว ....... สว่างหล้า
งามเพริศแพร้วแพรวพราว ... สว่างเนตร
งามดุจเดือนประดับฟ้า ...... สว่างทั้ง ธาตรี
๏ ธรณีนี้มีใดคล้าย ......... อรอนงค์
เพียงพักตร์เคียงคล้ายคง .... ตลบถ้วน
เสาะสรวงเสาะแดนดง ....... เพยียทิพย์
เบื้องไผทโกรมล้วน ......... หาได้ เปรียบเสมือน
๏ ขลุ่ยผิวเอื้อนโอดอ้อน ..... สะโอย
รำพึงรำพันโหย ............. ห่มไห้
ดุจภมรออมอิดโรย ......... ราเพื่อ
เชยชมเสาวภาคย์ไว้ ....... ก่อนสิ้น เพียงสงวน ฯ
_____________________
พิพัฒนชัย
๒๖ / มกราคม / ๒๕๕๕
Facebook
http://www.facebook.com/Pipat.Thaipoet
26 มกราคม 2555 01:18 น.
พิพัฒนชัย พรมศรี
๏ ร่วมแรงเราร่วมร้อย ......... ร่วมกัน
ร่วมศึกร่วมฝ่าฟัน .............. ร่วมสู้
ร่วมรบประจญประจัน ......... ร่วมทุกข์ สุขเฮย
ร่วมผนึกใจกอบกู้ ............. ร่วมทั้ง โพยมสยาม !.
๏ โอ้ละเห่เอละช้าข้าจะกล่าว
เป็นเรื่องราวกลกลอนขจรว่า
ตั้งแต่เนิ่นนานเนาว์เรามีมา
ประเทศข้าแคว้นสยามอยู่ร่มเย็น
๏ แล้วอุบาทว์มาอุบัติระเบิดบ้า
เอาละเหวยพวกชาติหมาสัตว์หน้าขน
ไพร่ระยำพรรคตำบอนมาประจน
ให้อึงอลอ่วมระอาประชาไทย
๏ เอานารีขี่ตะกวดมาสมานฯ
แต่สันดารลำพองคะนองสนาม
ไฟลามเมืองน้ำลามทุ่งเห็นดีงาม
ไพร่สถุนบ่ห้ามปล่อยตามใจ
๏ โอ้ละเห่โอละช้าข้าจะกล่าว
ถึงเรื่องราวคราวจบเป็นบทว่า
หากไทยยังนั่งเอื่อยอยู่เฉื่อยชา
เดี๋ยวเถิดหนาลูกหลานจักบรรลัย.!
________________
พิพัฒนชัย
๒๖ / มกราคม / ๒๕๕๕
คำว่า เนาว์ / เนา นั้นมีความหมายเดียวกัน
เนานั้นคือภาษาเขมร
ส่วนเนาว์น่าจะเป็นภาษาสันสกฤต�ซึ่งแปลว่า อยู่ เช่นกัน
ตัวอย่างเช่น
"พระอภิเนาว์นิเวศน์" �ซึ่งเป็นพระราชมณเฑียร �
ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ�
ให้สร้างขึ้นภายในพระบรมมหาราชวัง
และยังมีจารึกอีกคือ
" หมู่พระอภิเนาว์นิเวศน์�"ซึ่งคล้ายคลึงกันแต่ราชมณเฑียรแห่งนี้จะสร้างด้วยเครื่องไม้ประกอบอิฐ ปูนเป็นหลัก�เมื่อเวลผ่านไปจึงผุกร่อนจนต้องรื้อลงเกือบทั้งหมดและปรับพื้นที่เป็นสวนดังเช่นปัจจุบัน ฯลฯ