10 พฤษภาคม 2547 14:43 น.
พิกุลทอง
ไม่รู้เป็น อะไร ทำไมเนี่ย
ใจมันเพลีย ร้อนรัก เป็นหนักหนา
ไฟรักสุม กลางทรวง หน่วงอุรา
จึงบากหน้า กลับบ้าน สานแผลใจ
หลังจากถูก เธอนั้น ปฏิเสธ
นึกแล้วยัง สมเพช ทุเรศใหญ่
แสนหนาวเหน็บ เจ็บแปลบ แทบขาดใจ
น้ำตาไหล ใช่สะอื้น ทุกคืนวัน
ทุ่มทั้งกาย ทั้งใจ ไม่เคยหวัง
เติมพลัง ใจให้ ไม่เปลี่ยนผัน
มอบหัวใจ ทั้งดวง บ่วงสัมพันธ์
เติมใจกัน ด้วยยิ้ม ปิ่มศรัทธา
เพื่อนกันเถอะ เอ้อเฮ้อ จะตายชัก
ได้ยินแล้ว เจ็บหนัก ยากรักษา
แผลในใจ เกิดเป็น เห็นทันตา
เหตุนี้แหละ จึงมา สู่เรือนนอน
กลับมารับ ลมร้อน ตอนซัมเมอร์
ก็เพราะเธอ โฉมฉาย สายสมร
กลับมาเลีย แผลใจ ที่ไฟฟอน
หวังดับร้อน ด้วยรัก จากแม่เรา
อยู่หลายวัน มันละเหี่ย เพลียใจแป้ว
กินแต่แห้ว โง่งม จมความเขลา
ไม่เจียมตัว ชั่วช้า บ้าจริงเรา
หลงมัวเมา แต่รัก ปักกลิ่นคาว
ปิ๊ดปี้ปิ๊ด วี้ดวี้ว สยิวอีก
มัวหลบหลีก จึงชน กับก้นสาว
ซัมเมอร์นี้ คงมีรัก อีกสักคราว
เพราะตัวสาว นั้นสวย ด้วยบาดตา
แฮ่ ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
4 มีนาคม 2547 15:19 น.
พิกุลทอง
อหังการ งานรัก ปักใจเจ็บ
แสนหนาวเหน็บ เก็บใจ ไว้รักษา
มิอาจทรง กายได้ ในพสุธา
เหมือนชีวา ล่องลอยไป ไร้ตัวตน
โอ้อกเอ๋ย เจ็บหนัก เมื่อรักช้ำ
แสนระกำ เวทนา คราหมองหม่น
เลวร้ายนัก เลวร้ายพอ หนอใจคน
ต้อนผมจน ดั้นด้น สิ้นหนทาง
หลอกให้รัก หลอกให้หลง คงทำง่าย
แสนเสียดาย ร้องไห้ จนรุ่งสาง
น้ำตาเปื้อน อาบหมอน นอนครวญคราง
แสนอ้างว้าง เปล่าเปลี่ยว และเดียวดาย
รักของเรา สิ้นสุด หยุดแค่นั้น
รักที่ให้ กันและกัน มันห่างหาย
มีชีวิต เศร้าสะเทือน ก็เหมือนตาย
ร้องร่ำไห้ อาลัย ตายทั้งเป็น
ขออย่าได้ พบกันอีก ในชาตินี้
อย่าราวี เลยน้องแก้ว แคล้วทุกข์เข็ญ
เกิดชาติหน้า อย่าได้ ใจลำเค็ญ
ประสบเห็น น้องนาง เหมือนอย่างเคย
หากเจ้าเกิด ในสวรรค์ อันแสนสวย
พี่ขอม้วย มรณา เย็นชาเฉย
อเวจี เชิญฉุดข้า ลงไปเลย
อย่าได้พบ ทรามเชย ที่เคยลา
ป.ล. กลอนนี้ เป็นกลอนส่งท้าย ของผมนะครับ จะไม่แต่งกลอนลา เพราะยังผูกพัน กับพี่น้องชาวไทยโพเอ็มอยู่ ไม่ได้ลาไปไหน หรอก ครับ ลากลับบ้านเกิดเมืองนอน บ้านนอกคอกนา ที่ไม่มีอินเตอร์เน็ต ให้เล่น ก็เลยจำต้องลาครับ แล้วพบกันใหม่ เมื่อวันผมเปิดเทอม
23 กุมภาพันธ์ 2547 19:13 น.
พิกุลทอง
สัมพันธ์รัก ขาดแล้ว แม่แก้วขวัญ
ทุกคืนวัน ฝันร้าย คล้ายถูกฆ่า
ทิ้งพี่ไป ให้เศร้า เหงาอุรา
หยาดน้ำตา ไหลหลั่ง ดั่งชลธร
เจ้าเคืองแค้น อะไร ไม่ทราบเกล้า
พี่ดื่มเหล้า น้ำตา ทาเปื้อนหมอน
เพื่อลืมช้ำ รักมาก พรากจำจร
สุดอาวรณ์ ยาหยี พี่ท้อใจ
เจ้าจากไป ทิ้งไว้เพียง อนุสรณ์
ว่ารักเรา แคลนคลอน ห่อนห่างหาย
อนุสรณ์ แห่งรัก ปักดวงใจ
ขวดน้ำตา นั่นไง ให้แก่กัน
โอ้อนาถ คลาดเจ้า เศร้าจริงหนอ
รอแล้วรอ แต่เจ้า กลับแปรผัน
สะบั้นรัก หักเยื่อใย ให้แก่กัน
ทิ้งให้ฉัน จมอยู่ อย่างเดียวดาย
เสียงกู่ก้อง เจ็บแปลบ แทบสิ้นชีพ
เจ้าเร่งรีบ จากไป ใจสลาย
ยังรักเจ้า เฝ้าถนอม มิเสื่อมคลาย
หัวใจวาย เมื่อกล่าว เราเลิกกัน
กลอนนี้ พิกุลทอง แต่ง ในนามปากกาว่า ทมยันโท ครับ
22 กุมภาพันธ์ 2547 16:04 น.
พิกุลทอง
บรรจงขีด เขียนความ ตามใจภักดิ์
ถึงสาวน้อย น่ารัก ตาสดใส
จดหมายนี้ พี่ลิขิต จากจิตใจ
เพื่อบอกเล่า ความนัย ให้เจ้าฟัง
มันคับอก คับใจ เหลือจะกล่าว
ก็เพราะเรื่อง ของเรา แต่หนหลัง
เสียงหัวใจ ประกาศก้อง ร้องดังดัง
หากเก็บไว้ อกคงพัง เป็นแน่นอน
อย่าถือโทษ โกรธเคือง พี่นะจ๊ะ
มันคงเป็น วาสนา แต่ปางก่อน
ทำให้พี่ ผู้อาภัพ กลับโคจร
มาพบกับ สายสมร จรด้วยใจ
จดหมายมา สารภาพ ว่าพี่รัก
ไม่รู้จัก รักเริ่ม แต่หนไหน
มิใช่เพียง ลมปาก หากจากใจ
รักเพียงแต่ ทรามวัย ใจสั่งมา
หากไม่เชื่อ ขอสาบาน ต่อศาลเจ้า
ให้ลงโทษ ชายโง่เง่า หากมุสา
หากมีหญิง อื่นแอบ แนบกายา
เชิญฟ้าผ่า กลางกระหม่อม ขอยอมตาย
21 กุมภาพันธ์ 2547 15:29 น.
พิกุลทอง
เคยเข้าใจ ว่ารัก สลักจิต
จะเป็นเหมือน ภาพนิมิต ลิขิตได้
ใจสองเรา จะแนบกัน มั่นรักไว้
ไม่เปลี่ยนใจ ไปจาก พรากรักกัน
เคยคิดว่า สองเรา จะแนบชิด
ตรึงตราติด ใจแนบใจ ไม่เปลี่ยนผัน
จะครองรัก สลักจิต นิจนิรันดร์
จะฝ่าฟัน อุปสรรค รักให้ไกล
เคยกล่าวว่า แม้ฟ้าใหญ่ หากใจมั่น
เราสองคน จะฝ่าฟัน มันไปได้
ขอให้เชื่อ พี่เถิด อย่าฟูมฟาย
ถึงยังไง พี่ก็รัก เจ้าผู้เดียว
เคยร่วมทาง แห่งใจ ไม่แปรรัก
เสลาสลัก รักไว้ ในป่าเขียว
เมื่อเราสอง กลมกลืน เป็นหนึ่งเดียว
ครั้งไปเที่ยว ป่าเขา เราอาวรณ์
มาบัดนี้ สองเรา ต้องลาจาก
จึงต้องฝาก รักไว้ ในอนุสรณ์
อาลัยนัก อาลัยแสน แม้นม้วยมรณ์
เราเว้าอวน ไม่อยาก พรากกันไกล
จำจากเจ้า ไปเรียน ไกลกันแท้
จึงต้องแพ้ ระยะทาง รักจางหาย
พี่ก็เลย นั่งดูดาว อย่างเดียวดาย
มันแสนอาย รักแท้ แพ้ระยะทาง