18 กรกฎาคม 2553 18:09 น.
พะแนง
เดินออกจาก บ้านกลอน ไปสอนเด็ก
งานเล็กเล็ก รอคอยเรา เอาใจใส่
เด็กน้อยน้อย ค่อยเติบโต เป็นคนไทย
ท่ามกลางถิ่น พงไพร ในชายแดน
มีทั้งทุกข์ ทั้งภัย ในถิ่นนี้
ยังไม่ลืม ปราณรวี ใจดีแสน
ทั้งแทนคุณแทนไท และลุงแทน
อินสวนแดน-ไกล ไลบีเรีย
แม่จิตรวิจิตรวาทะลักษณ์
โคลงวฤกทันสมัยไม่มีเสีย
กิตติเวทย์วิสกี้เลอฟองเบียร์
เพรงพเยียกิตติกานต์มารแมงมุม
กุ้งก้ามกรามเรไรรัสสตะ
กุ้งหนามแดงคีตากะนิติหนุ่ม
คอนพูทน ทนอะไรรู้ไหมกุมภ์
ครูใหญ่ฯ ติดประชุมกะครูพิม
พี่ดอกแก้วใจดีไม่มีดุ
สดายุพิสดารงานนวลนิ่ม
ส่วนตราชูสำนวนชาญงานน่าชิม
เรียมเองอ่านอิ่มในอรรถองค์
อีกหลายคนวนเวียนเขียน_และอ่าน
ช่วยบรรสานกลอนไทยใจประสงค์
มิตรภาพซาบซึ้ง...ตรึงมั่นคง
ให้ใหลหลงบ้านกลอน... ไม่ถอนใจ
เดินกลับมาบ้านนี้ยังมีรัก
ใจประจักษ์แม้เพื่อนเวียนเปลี่ยนใหม่
ฮอดเพื่อนเก่า...อ่านกลอนเพื่อนใหม่ไป
อักษรยังซ่อนนัย...ใจบ้านกลอน
แวะมาทักทายตามธรรมเนียม (การนำชื่อเพื่อนมาใส่กลอนแบบนี้เห็นมานานละเนาะ)
หลังจากหายไปนาน
ไปเจอรหัสผ่านชื่อนี้ เลยเข้ามาทักทายเสียหน่อย
( ที่นี่ยังอบอุ่นเหมือนเดิม)
21 เมษายน 2551 14:22 น.
พะแนง
เพ็ญกระจ่าง กลางฟ้า เหว่ว้านัก
คนร้างรัก แรมไกล ไห้คิดถึง
คนคนหนึ่ง ซึ่งเคยล้อ พ้อรำพึง
ว่าเราพูด คำคิดถึง ไม่ซึ้งใจ
มาวันนี้ ไม่มีเรา ไร้เงารัก
เขาจะพัก ความสัมพันธ์ ให้หวั่นไหว
คำคำหนึ่ง ซึ่งซึ้งทราบ อาบทรวงใน
คงไม่ไขอวดใครให้อายคน
คนปากหนัก รักไม่เป็น ดังเช่นฉัน
คงคงมั่น ต่อจิตใจ ไม่สับสน
ความคิดถึง ไม่ฝากฟ้า มาผ่อนปรน
ครวญรักจน จันทร์สลาย ไม่คลายคลอน
ไม่แคลงคิด ว่าใคร ได้ใจเจ้า
จะมั่นเอา ห้วงอาลัย มาไถ่ถอน
ความคิดถึง ช่วงหวานซึ้ง ซึ่งอาทร
เพื่อตัดรอน ริษยา มาลวงใจ
เพ็ญกระจ่าง กลางฟ้า จะลาแล้ว
กลิ่นดอกแก้ว กรุ่นลา เปิดฟ้าใหม่
ฟากฝั่งฝัน ยังเลืองลาง ร้างทางไป
คราบน้ำตา สั่งหัวใจ ให้รอเธอ
แต่งกลอนนี่มันยากจังครับ ไม่รู้จะตั้งชื่อเรื่องอย่างไรด้วย
ไม่รู้จะแต่งยังไงให้มันมีอารมณ์ มีเรื่องราวกับเขามั่ง
7 เมษายน 2551 13:22 น.
พะแนง
เงาพระจันทร์แจ่มพื้นกระจกน้ำ
ช่างงามล้ำไร้ทางแอบแนบถนอม
ระยิบระยับจับตาพาใจตรอม
จันทร์แกล้งปลอมปลุกใจข้าไขว่คว้าเงา
ความคิดถึง
ของผู้ชายคนหนึ่งซึ่งทนเหงา
คอยกระซิบบอกสายลม...เพียงบางเบา
กลัวเจ้าของ...ของเงาเขาได้ยิน
เงาเอ๋ย
จะชื่นเชยอย่างไรให้สมถวิล
เงาก็เพียงภาพแทนบนแดนดิน
จะเพียงกลิ่นเพียงกมลก็จนใจ
น้ำเอ๋ย
เคยคาดหวังไว้เสมอจึงเผลอไผล
ว่าวันหนึ่งเงาจันทร์จะจากไป
แต่จันทร์เจ้าจอมใจจะคืนมา
คิดหนอ
มัวพะนอแต่จันทร์ปลอมยอมโหยหา
แล้วเมื่อไรความนัยที่ค้างคา
จะได้แจ้งแก่จันทราสาสมนึก
จันทร์จ๋า
ถ้าเจ้ารู้คงประวิงยิ่งตรองตรึก
จะครุ่นคิดพิศวาสจะบาดลึก
ต้องสะอึกอกกระอัก...เพราะรักเรา
ระยิบระยับ
จันทร์งามจับดวงอุรา...ข้าและเขา
จะโอบอุ้มอย่างไรใช่ของเรา
ต้องชมเงา...อย่างเสงี่ยมเจียมใจเอย
เงาพระจันทร์แจ่มพื้นกระจกน้ำ
ช่างงามล้ำลอบส่งใจไม่อาจเผย
ระยิบระยับกลับลวงตาข้าอย่างเคย
เจ้าทรามเชยเจ้าอยู่ไหน...แกล้งให้รอ
....... เขียนเรื่อยเปื่อย...เลยไม่ได้เรื่องราวอะไรครับ
^_^ll
อ่านแล้ว...ก็อย่าคิดมากเด้อ
4 เมษายน 2551 20:29 น.
พะแนง
๏ ฟากฟ้าทาเทาลาเงาไม้
หริ่งเรไรร้องไล่จักจั่นป่า
อัสดงคงเหงาเคล้าระอา
จึงสาปแช่งใจข้าให้วังเวง
ฟังเสียงน้ำก็นิ่งเงียบเกือบเงียบสนิท ดู
แผกผิดสำเนียงเพียงขรึมเคร่ง
ภูเขาเอ๋ยเคยโอบกันอย่างกันเอง
กลับบรรเลงบทเพลงแสนเย็นชา
แสนเย็นชืดจืดใจยามใกล้ค่ำ
ไกลระคางแคลงน้ำคำชังน้ำหน้า
กลับคิดถึงซึ้งซ่านหวานในตา
ที่เคยลอบชำเลืองมาชโลมใจ
ชะรอยเจ้าลืมคำ ณ ค่ำนั้น
กระซิบว่ารักนิรันดร์ไม่หวั่นไหว
แม้นหมื่นรักสมัครสมประโลมฤทัย
จะเลือกรักจากใจข้าคนเดียว
รักคงดุจดวงจันทร์ที่ผันพักตร์
พอประจักษ์ประจุใจให้ซ่านเสียว
ยลเพ็ญพ่างเย็นภพจบใจเดียว
พอผันเสี้ยวผวนสัตย์ตัดขาดรัก
แรกรู้รักเริ่มสมัครไม่หักหั่น
รักจึงได้ราญฉันจนหั่นหัก
เพียงหิ่งห้อยร้อยแสงแรงน้อยนัก
ริหลงรักเพลิงวามนำความตาย
น่าคิดตรองถ้าครองตัวไม่ชั่วช้า
คงไม่เสียน้ำตาจนเหือดหาย
คราบน้ำตามาคอยเตือนให้อับอาย
คราบอัปรีย์บนเรือนกายไม่หายตาม
ไม่หายตรมสมน้ำหน้าครานี้หนอ
ไม่รั้งรอรีบสุกสุกก่อนห่าม
เขาลองชิมลิ้มฝาดชั่วเฝื่อนลาม -
ถึงปลายลิ้นก็สิ้นทรามเสื่อมความรัก
ถึงยามนี้เสียรู้ก็รู้แล้ว
ว่ามวลแก้วเก็จมณีมีศรีศักดิ์
ล้วนบ่มตนบนห้วงกาลแสนนานนัก
โลกย์จึงภักดิ์เพียรหามาสวมแสดง
ถึงยามนี้สายัณห์จะพลันพลบ
ก็จะสบดาวเดือนเกลื่อนก่องแสง
ลองไนร้องไห้จนไร้แรง
ได้น้ำค้างยามแจ้งแรงคงคืน ๛
สวัสดีครับ กลอนที่ผมเขียนมีลักษณะไม่ดีหลายประการ
ต้องขออภัยด้วยนะครับ