13 เมษายน 2552 16:27 น.
พ.พิมาลา
เสียงร่ำไห้จากแม่พระธรณี
เหตุใดจึงย่ำยีแดนดินถิ่นอาศัย
แล้วอ้างว่าเพื่อประชาธิปไตย
นี่กระไรเข่นฆ่าเยี่ยงเดรัจฉาน
วีรชนสยามรุ่นก่อนเคยฆ่า
พวกพม่ารามัญมาแต่ไหน
ประวัติศาสตร์จารึกไว้
เลือดพม่าไทยทาทั่วแผ่นดิน
บัดเดี๋ยวนี้เห็นเป็นประหลาด
ไทยอาฆาตไทยกันหนักหนา
ขัดแย้งแบ่งสีละลานตา
ไทยฆ่าไทยเลือดสาดทั่วแผ่นดิน
ธรณีนี่นี้ขอเป็นพยาน
คนโบราณทิ้งชีพเพื่อสยาม
บัดนี้ทิ้งชีพสร้างชื่อเสียงเรียงนาม
โปรดถามตนเองเถิดคุ้มค่าไหม
เพราะกี่ชีวิตที่เสียไป
ก็ฆ่าคนไทยด้วยกันเอง
13 เมษายน 2552 15:44 น.
พ.พิมาลา
เมืองนี้หมดสิ้นประชาธิปไตย
คนไทยถือปกครองตามฝ่ายสี
อ้างสิทธิ์ประชาบังหน้าขอไปที
แท้จริงนี้ทำเพื่อประโยชน์ตน
ชุมนุมเรียกร้องป่าวประกาศ
ไทยพินาศเพราะใครแถลงไข
เสื้อเหลืองอ้างทักษิณป่วนเมืองไทย
เสื้อแดงไซร้ว่ารัฐบาลป่วนจริงจริง
ภาพสยามเมืองยิ้มปริ่มน้ำใจ
บัดนี้ไร้ซึ่งที่เคยกล่าวขาน
ม็อบเสื้อแดงเหลืองน้ำเงินระราน
บ้านเมืองระส่ำร่ำร้องล่มจม
บ้านเมืองนี้ไม่มีประชาธิปไตย
หรือกระไรโปรดช่วยแถลงไข
ม็อบประท้วงเข่นฆ่ากันวุ่นวาย
คนไทยฆ่าคนไทยตายอนาถจริง
ไม่อยากได้ประชาธิปไตยก็ไม่บอก
วิกฤตกี่ระลอกชอกช้ำหนา
ใช้สิทธิทำบ้านเมืองม้วยมรณา
ผ่านกี่เพลายังจำมิรู้ลืม
13 เมษายน 2552 10:04 น.
พ.พิมาลา
ลมแล้ง...
นามนี้มีที่มาว่าดังนี้
ที่ลมแล้งพัดเยือนเดือนเมษา
ท่ามกลางดอกเหลืองบานอร่ามตา
คือที่มาลมแล้งเหลืองร้องแรง
ลมแล้งออกพวงระย้าย้อย
คือดอกนับร้อยสีเหลืองหวาน
หน้าแล้งดอกแย่งแข่งกันบาน
เหลืองอร่ามงดงามละลานตา
ลมแล้ง...
มาเยือน....
ฤๅเจ้าจะถึงคราวเบ่งบาน
ข้าแหงนมองเจ้าอยู่ข้างลำธาร
ดอกเหลืองร่วงโรยดาษดื่น
หากบนต้นแทบไม่เหลือ...
ถึงดอกเจ้าจะร่วงโรย
มิเหลือให้ผู้ใดได้ชื่นชม
แต่ข้านี่แหละ...
จะรอเจ้า...
หน้าลมแล้งบาน...
กลับมาเป็นพวงระย้าย้อย
เหลืองงามอร่าม...
เช่นเคย....
ลมแล้ง