28 กรกฎาคม 2553 22:13 น.
พ.จินดา
.....ตอนที่ 12 งานวัด
...กลางลานวัดเต็มไปด้วยริ้วธงหลากสีที่ชาวบ้านนำมาขึงพาดอยู่ด้านบนล้อมไปมาเป็นกรอบสี่เหลี่ยม ตามยอดไม้ติดตั้งดอกลำโพงเพื่อกระจายเสียง ตรงกลางลานคณะกรรมการจัดงานจัดทำซุ้มสอยดาว มีของรางวัลตั้งเรียงรายอยู่หลายอย่างจากชิ้นเล็กไปถึงชิ้นใหญ่ เรียกให้ผู้ชอบแสวงโชคจ้องกันเพื่อมาสอยดาวเอารางวัลในคืนนี้ ห่างออกไปริมบริเวณงานมีจอหนังจอใหญ่ตั้งตระหง่าน พร้อมลำโพงยักษ์ด้านข้าง รอบจอประดับไปด้วยหลอดไฟสีที่วิ่งรอบจอเป็นราวเพื่อความสวยงาม เครื่องฉายหนังเตรียมติดตั้งม้วนฟิล์มสำหรับให้ความสำราญ
ห่างไปหน่อยมีเวทีมโนราห์และโรงลิเกอยู่ใกล้กัน มหรสพนับว่าขนาดนี้ก็เป็นงานวัดที่ใหญ่พอสมควรสำหรับคนบ้านนอกในชนบท
"นานที เราจะมีงานวัดกันสักครั้ง" กำนันกล่าวหลังจากลงมาจากศาลาวัด ปล่อยให้หลวงพ่อนั่งรับแขกในเมืองตามลำพัง
"ครับ เอแล้วใครกันละครับที่เหมาเรือลำใหญ่สวยงาม มาหาหลวงพ่อ"
กำนันมองไปบนศาลา ก่อนที่จะตอบหมอกร " อ๋อ ก็พวกเถ้าแก่ในเมืองนั่นแหละ คงมาขอหวยขอเลขเด็ดอีกตามเคย"
"ท่านคงใบ้หวยแม่นซิท่า" กำนันขยับผ้าขาวม้าที่รัดรอบเอวก่อนหัวเราะ
"คงแม่นล่ะ งวดที่แล้วบังเอิญท่านเอ่ยวันที่ที่จะมีงานที่วัด ก็งานวันนี้นี่แหละ พวกที่มาก็พากันเอาไปซื้อหวย พับผ่าดวงท่านปากพระร่วง หวยงวดนั้นดันไปออกตรงกับเลขที่ท่านพูด ทีนี้ล่ะท่าเรือของเราจึงมีเรือรับส่งแขกแปลกหน้ากันแทบทุกวัน"
หมอกรนึกถึงยายมาคนหนึ่งที่เขาเคยรู้จัก แกชอบขอหวยจากพระเพื่อนำไปเสี่ยงโชคอยู่เป็นประจำ นั่นยายมาเป็นคนจนหาเช้ากินค่ำ รายได้ก็ชักหน้าไม่ถึงหลัง อดมื้อกินมื้อ เขายังเคยให้อยู่อาศัยที่สถานีอนามัยอยู่พักหนึ่ง จนแกได้สามีใหม่จึงหอบหิ้วกันไปอยู่ที่อื่น ธรรมดาของคนเช่นยายมาต้องรอวาสนารอเสี่ยงดวง แต่นี่คนมีอันจะกิน มีฐานะดีกว่ายายมาก็ยังมีความต้องการเช่นเดียวกัน คนไทยมักมีชีวิตอยู่คู่กับการพนันหรือการเสี่ยงดวง ไม่ว่าจะจนหรือรวย มีครั้งหนึ่งเมื่อเข้าพรรษา ยายมาเคยบอกเขาว่าจะหยุดกินเหล้าและก็หยุดได้จริงๆ หยุดไปได้ประมาณเกือบเดือน ยายมาดีใจก็บอกหมอกรว่า "เห็นไหมหมอ ว่าฉันหยุดกินเหล้าได้แล้ว และจะหยุดให้ได้จนถึงวันออกพรรษา มาหมอมา มากินเหล้าแสดงความสำเร็จในการอดเหล้าของฉันหน่อย" นั่นปะไร เขายกมือเกาศรีษะก่อนจะยิ้มส่ายหน้าแล้วเดินจากยายมาไป ปล่อยให้แกยืนงง ว่าแกพูดอะไรผิด
จริงอย่างกำนันว่า หลังจากที่มีข่าวลือว่าพระที่วัดบอกหวยแม่น นับจากวันนั้นผู้คนก็มาทำบุญที่วัดกันมากมาย จนวัดมีเงินสะพัด ชาวบ้านบนเกาะก็พลอยเปลี่ยนอาชีพจากการทำประมงมาเป็นพ่อค้า แม่ขายชั่วคราว ช่วงนั้นเงินสะพัดไปทั้งเกาะ และชื่อเสียงเลื่องลือก็ดังกระฉ่อน เจ้าอาวาสหรือหลวงพี่ท่านเคยเปรยว่าหมู่นี้แทบไม่ค่อยได้จำวัดเพราะกลัวจะหลับแล้วเสียงหายใจเข้าออกจะดังจนผู้คนได้ยินจะนำไปตีเป็นเลขเด็ดได้ แต่หมอกรกระเซ้าท่านว่า
"คงไม่ใช่มั้ง ที่ไม่อยากจำวัด เพราะคอยระวังตัว คอยดูว่างวดไหนที่หวยไม่ออกตรงกับเลขที่ผู้คนเอาไปซื้อ แล้วจะโดนคนเหล่านั้นตามทวงแค้น" เท่านั้นทั้งพระ ทั้งกำนันก็ฮากันสนุก
....นี่แหละชีวิตความเป็นอยู่ของคนบ้านนอกหรือคนชนบท มักจะใกล้ชิดกับพระกับเจ้า ไปมาหาสู่ทำบุญเข้าวัดเข้าวาเป็นประจำ โดยแท้จริงแล้วคนที่นี่ไม่ได้คิดที่จะทำบุญเพื่อหวังสิ่งแลกเปลี่ยนหรือสิ่งตอบแทนอื่นจากวัดเลย เขาทำบุญด้วยความเต็มใจ ตามประเพณีที่มีมาแต่ดั้งเดิม ซึ่งไม่เหมือนกับคนบางคน บางกลุ่ม ที่ทำบุญเพื่อหวังสิ่งตอบแทนหรือโชคลาภ เช่นหวังของขลัง ของปลุกเสก หวังเลขเด็ด เป็นต้น การทำบุญไม่ใช่ธุรกิจ หรือธุรกรรมการเงิน แต่เป็นธุรกรรมใจ มากกว่า
......ตะวันคล้อยลงมากแล้ว ต้นมะพร้าวสลับกับต้นสน ที่ทอดยาวเป็นทิวแถวขนานไปกับชายหาดหน้าวัด ทำให้บริเวณลานงาน ร่มรื่นและทอดเป็นเงายาวทับลานงาน ทำให้ดูมืดลง แสงสว่างจากหลอดไฟเริ่มสว่างขึ้น เสียงเพลงจากเครื่องขยายดังสลับกับเสียงโฆษกที่เชื้อเชิญผู้คนให้รีบเข้ามาหาความสนุกสนานในงานคืนนี้
.......เสียงปี่ตะโพน เสียงมโหรี ดังแข่งกันจนฟังไม่ออกแต่ก็เพราะไปอีกแบบ หนุ่มสาว เด็ก คนชราที่หอบหิ้วกันมาบ้างก็ปูเสื่อ บ้างก็เตรียมกระดาษหนังสือพิมพ์ เพื่อมาปูนั่งบ้าง นอนบ้าง เพื่อชมมหรสพที่ตัวเองชอบ เสียงกลางลานดังครึกครื้นโห่ฮาเพราะผู้คนกำลังสนุกกับการสอยดาว ข้างๆกัน หมอกรนั่งมองยิ้มอย่างมีความสุขกับการได้เห็นและเที่ยวงานวัดคืนนี้ แต่เขาไม่ได้มาเที่ยวตัวเปล่าถือว่าได้บุญช่วยงานวัดด้วย เพราะในมือนั้นมีไฟฉาย หูฟังสำหรับตรวจโรค ที่สำคัญบนไหล่ของชายหนุ่มวัย 20 กว่าๆแบกหิ้วกระเป๋ารูปทรงสี่เหลี่ยมสีดำอยู่ตลอดเวลา เจ้าน้อยผู้คอยติดสอยห้อยตามเมื่อเห็นหมอกรคว้ากระเป๋าใบนี้เมื่อไหร่ มันก็คว้ารองเท้าสวมใส่ทันที
27 กรกฎาคม 2553 23:24 น.
พ.จินดา
.....ตอนที่ 11 ผีเสื้อราตรี
........ดวงตะวันเริ่มลับเหลี่ยมฟ้า ความมืดเริ่มโรยตัวเข้ามาแทนที่ หากเป็น ณ ที่แห่งหนึ่ง ที่ห่างไกลตัวเมืองแถบชนบท ความสว่างจากแสงไฟนีออนจะทอแสง
ขับไล่ความมืดแต่ไม่นานนักความสว่างจากดวงนีออนเหล่านี้ก็จะค่อยๆดับหายลงไปจนในที่สุดกลับกลายเป็นความมืด และเงียบสงัดเข้ามาแทนที่บ่งบอกให้รู้ว่าได้เวลาพักผ่อนของผู้คนในถิ่นนี้แล้ว แต่ หากเป็น ณ ที่หนึ่งที่ความเจริญทั้งด้านสังคมและวัตถุ กำลังเปล่งประกาย ทั่วทุกถิ่นที่จะเต็มไปด้วยแสงไฟหลากสี
สวยงามที่แย่งกันส่องแสงละลานตาแก่ผู้พบเห็น ถนนบางสายยังคลาคร่ำไปด้วยผู้คนและรถราที่วิ่งกันขวักไขว่ไปมา
......ถนนสายสะพานปลาก็เช่นกัน สองริมข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้าที่นำโต๊ะ เก้าอี้ออกมาวางเพื่อต้อนรับแขกที่ชอบออกมาหาความสำราญในยามราตรี แต่ละร้านต่างประดับประดาไปด้วยหลอดไฟนีออนหลากสีพร้อมพนักงานหญิงสาวที่แต่ละนางแล้วอายุคงไม่ต่ำกว่า 16 ปี และคงไม่เกิน 25 ปี แต่งหน้าทาปากดูสวยงามอยู่ในชุดที่ค่อนข้างจะโชว์หรืออวดทรวดทรงในบางส่วนให้ดูชัดเจนยิ่งขึ้น
......คืนนี้ หมอกรและทิวาเพื่อนหนุ่ม ตั้งแต่สมัยเรียนรุ่นเดียวกัน จนจบออกมาก็มาทำงานอยู่ในจังหวัดเดียวกัน ทุกๆวันสิ้นเดือนเขาทั้งสองมักจะนัดมาพบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนคติในการทำงานซึ่งกันและกัน จวบจนค่ำก็พากันออกท่องราตรีตามประสาของคนหนุ่มโสด เช่นนี้เป็นประจำ เสียงเพลงดังกระหึ่มมาจากตู้เพลงใบเขื่องที่วางอยู่ด้านหลังร้าน ที่ติดป้ายว่า "ร้านป้าอร"ด้วยเพลงของนักร้องหญิงยอดนิยม ดังเร้าใจ กระชากจังหวะให้เกิดความมันส์ ความสนุกสนาน บรรดาแขกที่อยู่ในร้านต่างส่งเสียงร้องบ้างก็ปรบมือตามจังหวะเพลง หมอกรมองปราดเดียวก็ทราบว่าแขกดังกล่าวเป็นพวกชาวเรือ ซึ่งชีวิตส่วนใหญ่อยู่กลางทะเล เมื่อมีโอกาสขึ้นฝั่งก็หาความสนุกสนานกันอย่างเต็มที่ พวกเขาเหล่านั้นไม่มีพิษมีภัยกับใคร ไม่เอะอะโวยวายอาละวาด เหมือนแขกอื่นๆที่เมาแล้วทำตัวกร่างเกเร ดังนั้นหมอกรจึงสบายใจเมื่อแวะมาเที่ยวแถวนี้ เพลงเดิมจบแล้วแต่จะมีเพลงใหม่ดังเข้ามาแทนที่เมื่อใดที่ยินเสียงเหรียญหล่นกระทบในตู้เพลง มันจะดังสลับกัน หากดังสลับกันบ่อยๆป้าอรเจ้าของร้านมักจะยิ้ม เพราะนั่นคือส่วนแบ่งที่ไม่น้อยที่ป้าอรแกจะได้รับจากเจ้าของตู้เพลง
......หมอกรและทิวา เลือกโต๊ะนั่งด้านใน เพราะไม่เกะกะผู้คนที่สัญจรไปมาบนทางเท้าและรถราที่วิ่งกันไปมาบนท้องถนน
"ป้าอร เอาผัดเครื่องในไก่ราดข้าว 2 ที่พร้อมไข่ดาว" หมอกรร้องสั่ง เขาสนิทกับเจ้าของร้านพอสมควรเพราะอาศัยเป็นลูกค้าประจำ
"เบียร์เย็นๆสักหน่อยไหม กร" ทิวาถาม " ตามใจ"
"เบียร์เย็นๆ ด้วยป้า" ทิวาสั่ง
"ได้จ้า แตนหนูเอาเบียร์พร้อมแก้วใส่น้ำแข็งไปให้แขกหนุ่มหล่อทั้งสองคนนั่น"
ป้าอรร้องสั่งเด็กในร้าน
"แตน ต่อยเจ็บไหม" หมอกรกระเซ้าเด็ก เมื่อหล่อนนำเบียร์และแก้วมาให้
"เฮ้ยก็ขอซื้อไปเลี้ยงดู ซิว่ะ ป้าแตนขายตัวเท่าไหร่" ท้ายประโยคทิวาถามป้าอร
"ไม่ขายจ้า ให้เช่า ป้าเลี้ยงไว้เอง" ป้าอรหันมาตอบ ก่อนก้มหน้าง่วนอยู่กับกะทะทำอาหารตามที่แขกสั่ง
"นั่งลงก่อน ซิ" หมอกรบอกแตน พลางมองดูหล่อน อายุคงไม่เกิน 18 ปี ผิวค่อนข้างขาวประกอบกับแสงไฟในร้านที่ขับผิวหล่อนดูให้ขาวยิ่งขึ้น ใบหน้ากลมมน
รูปไข่ ขนตางอน ผมยาวประบ่าดำเป็นเงางามยามเมื่อลมพัดผ่านพาให้เส้นผมนั้นปลิวสยาย ดังใบสนที่ลู่ลมชวนให้น่ามอง หล่อนส่งยิ้มให้ รอยยิ้มนั้นได้รูปดังคันธนูโก่งศร ประกอบกับลักยิ้มบุ๋มสองข้างแก้มเพิ่มความเป็นเสน่ห์ในตัวหล่อนยิ่งนัก ไม่ทราบว่านานเท่าไหร่ที่หมอกรหลงไปกับรูปหน้าของสาวแตน มารู้สึกอีกครั้ง ก็ต่อเมื่อเจ้าทิวาเพื่อนรัก บอกให้แตนพาเขาเข้ามานั่งคุยข้างในส่วนตัว
.......มันเป็นอาคารไม้ด้านหลังร้านที่ซอยเป็นห้องเล็กๆหันหน้าเข้าหากันตรงกลางมีไม้กระดานวางทาบไว้ 2 แผ่นเพื่อให้เดินสวนกันไปมาได้ แตนพาหมอกรมาหยุดอยู่ที่ห้องหนึ่งเกือบในสุด ภายในห้องมีเพียงที่นอนฟูก 1 หลังวางอยู่ชิดฝา อีกด้านมีลวดเส้นเล็กขึงพาดยาวกับฝาห้องยึดกับหัวตะปูทำเป็นราวผ้า หัวนอนข้างที่นอน มีเพียงโต๊ะแป้งเล็กๆที่ด้านบนโต๊ะนอกจากขวดน้ำแล้วก็มีถุงยางอนามัยที่ยังไม่ได้ใช้วางอย่ 1 อัน ในห้องทีไม่กว้างนักมีเพียงแสงสว่างจากหลอดไฟแรงเทียนสีเหลืองนวลที่แขวนห้อยอยู่กลางเพดานห้อง
หมอกร มองดูอย่างเวทนาและสงสารก่อนที่จะเอ่ยถามแตน " ผมสงสารจัง มีอะไรให้ช่วยก็บอก"
"ขอบคุณค่ะ แต่ไม่ต้องหรอก แตนจะบอกอะไรให้ ผู้ชายทุกคนที่เข้ามาในชีวิตของแตนมักจะเอ่ยเช่นนี้ แต่ท้ายสุดมันจะจบลงที่นั่น ไฟราคะหื่นตัณหาไงละค่ะ" หล่อนชี้นิ้วไปยังที่นอนฟูกผืนนั้น ด้วยสีหน้าที่นิ่งเรียบ
หมอกรรู้สึกว่าลำคอแห้งผาก น้ำลายเหนียวหนืดกลืนค่อนข้างลำบาก
......ชั่วเวลาคืนนั้น คืนแห่งความสุขของชายหนุ่ม แต่อาจเป็นความทุกข์หรือความจำเป็นของหญิงบางคน หมอกรอาจไม่เข้าใจในชีวิตของแตน ทำไมหล่อนจึงต้องมาใช้ชีวิตอย่างนี้ทั้งที่อายุยังน้อย ชีวิตของเธอน่าจะพบแต่สิ่งที่ดีๆและมีครอบครัวที่ดี มีลูกที่น่ารัก เขาเสียดายเธอแต่ไม่ใช่เสียดายกับบางสิ่งที่เธอสูญเสียไป เขาเสียดายโอกาสที่ดีๆที่แตนควรได้รับเฉกเช่นเด็กสาวคนอื่นๆ เธอไม่ใช่หญิงรักสนุกหรือชิงสุกก่อนห่าม แต่เพราะเหตุใดเธอจึงยอมตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ หญิงกลางคืน คนทุกคนย่อมมีเหตุผลส่วนตัวเสมอ ขอให้เป็นคนดีก็เพียงพอ
.......ตะวันเริ่มโผล่พ้นขอบฟ้าขับไล่ความมืดก่อนหน้านี้ อีกไม่นานแดดคงกล้า ผีเสื้อที่หลากสีสวยงาม ปีกงามที่บอบบางก็คงบินว่อนหากินกับอาหารที่หอมหวาน
หากอยู่ท่ามกลางดอกไม้ที่เปล่งประกายความสวยงามของพฤษชาติแล้ว ผีเสื้อเหล่านี้ก็สวยงามยิ่งนัก เปรียบเช่นเมื่อคืนที่ผ่านมา ผีเสื้อราตรี ที่งดงาม
หล่อนไม่ได้งดงามด้วยปีกหรือครีบหาง แต่หล่อนงดงามด้วยใจ ต่างหากเล่า
24 กรกฎาคม 2553 20:32 น.
พ.จินดา
ตอนที่ 10 ความเหงาที่ปลายฟ้า
.......ย่ำรุ่ง ฟ้ายังมืดอยู่ มีเพียงสายลมที่พัดหอบเอาน้ำทะเลม้วนตัวเป็นเกลียวคลื่นกระทบฝั่งดังก้องอยู่ท่ามกลางความเงียบ เป็นระยะๆ สายลมที่พัดแผ่วยังได้นำเอาความเย็นชุ่มชื้นของไอน้ำทะเลมากระทบผิวกาย ช่วยทำให้อากาศในยามค่อนรุ่งดูเยือกเย็น หมอกรกระชับเสื้อหนาวสีหม่นพร้อมดึงร่างของเจ้าน้อยเด็กชายที่คอยติดตามอยู่ไม่ห่าง ให้เข้ามานั่งใกล้ตัวบนเรือหางยาวของชาวบ้านที่พร้อมบ่ายหน้ามุ่งสู่ฝั่ง เพื่อให้มีที่ว่างสำหรับคนอื่นที่ร่วมเดินทางไปด้วย
......เช้าวันนี้ เป็นวันหยุด เขารับคำของเจ้าน้อยว่าจะพามาเที่ยวบนฝั่งพร้อมหาซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ สร้างความดีใจให้เจ้าน้อยอยู่มากทีเดียว นานทีที่จะเห็นดวงตาของเจ้าน้อยเปล่งประกายไปด้วยความสุขตามประสาในวัยเด็ก การที่มันต้องพลัดพรากและมาอยู่กับเขา ก็เพราะความไม่พอดี ไม่ลงตัวของครอบครัว พ่อและแม่ต้องแยกทางกันหลังจากเจ้าน้อยอายุเพิ่งได้ 4 ขวบ เติบโตมาด้วยการเลี้ยงดูของยายที พี่ป้าน้าอาของแม่ที อาชีพเดิมของพ่อแม่ก็คือชาวเรือ ความรู้ไม่มากนักออกหากินด้วยการหาปลา หาปูด้วยเรือลำน้อย จนกระทั่งเข้าสู่วัยที่จะได้เรียนหนังสือ เจ้าน้อยก็มาอาศัยอยู่กับหลวงพ่อที่วัดปากน้ำ ยามใดที่มีเวลาว่างจากภาระกิจในวัด เจ้าน้อยจะออกมารับจ้างคัดเลือกปลาหรือลากเข็นลังปลาบนแพปลาท่าเรือเพื่อแลกกับค่าจ้าง ค่าตอบแทน เจ้าน้อยเคยบอกว่า ยามใดที่เห็นเพื่อนนักเรียนในวัดมีเสื้อผ้าใหม่ ชุดนักเรียนหรือเครื่องเรียนใหม่ๆ มันอดมีความรู้สึกอิจฉาเพื่อนคนนั้นไม่ได้ ที่มีพ่อแม่ที่รัก คอยห่วง ซึงเมื่อหวลเปรียบกับตัวมันเองมีพ่อ มีแม่ก็เหมือนไม่มี หมอกร เคยพูดให้กำลังใจอยู่เสมอว่า คนเราเลือกเกิดไม่ได้แต่เลือกที่จะอยู่จะเป็นได้ อย่าโทษตัวเองหรือน้อยใจในโชคชะตาหรือน้อยใจพ่อแม่เลย เขาเป็นผู้ให้กำเนิดเรา ความจำเป็นบางอย่างหรือเหตุผลบางอย่างของท่านก็ได้ เจ้าน้อยเพิ่งจะมาอยู่กับหมอกรได้เมื่อปีที่แล้วนี่เอง พอเรียนจบ ป.4 หลวงพี่ที่วัดก็ฝากให้มาอยู่ในความอุปการะของเขา ซึงแม่ของเด็กไม่ค่อยยินยอมเท่าไหร่แต่ขัดใจเจ้าน้อยไม่ได้เพราะเจ้าน้อยไม่ยอมกลับไปอยู่กับแม่ จะด้วยเหตุผลใดก็ไม่รู้ได้ ปีนี้มันกำลังเรียนอยู่ชั้น ป.6 รูปร่างสูงโปร่ง สมวัย ผิวค่อนข้างขาว ด้วยเริ่มย่างเข้าสู่วัยหนุ่ม จึงช่วยทำให้ใบหน้าดูคมคายหล่อเหลาอยู่ไม่น้อย
.......เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้น ทันทีที่เจ้าของเรือผลักก้านใบพัดและหางเสือลงสู่พื้นผิวของน้ำทะเล เรือเล็กลำนั้นก็เริ่มถีบตัวออกจากฝั่ง หัวเรือที่เชิดขึ้นนั้นกระแทกกับคลื่นน้ำทะเลขึ้นลงขึ้นลงเป็นจังหวะตามความเร็วของเครื่องยนต์ พาปะทะให้เกิดเป็นละอองน้ำที่ซัดสาดกระเซ็น หมอกรยกมือปาดเอาน้ำทะเลที่ซัดปะทะเข้าใบหน้า รับรู้ถึงรสความเค็ม และความแสบในตา เขานั่งหันหลังให้หัวเรือเพื่อหนีละอองน้ำทะเล เหยียดขายาวหันหน้าเข้าหาชายหาดของเกาะสวรรค์ที่ทอดตัวออกห่างจากสายตาจนเห็นเพียงจุดเล็กๆ โดยมีเจ้าน้อยนั่งขนาบข้างอยู่ ฟ้าเริ่มสว่างแล้ว ขอบฟ้าเบื้องหน้าเริ่มสาดแสงสีทอง ส่องกระทบกับผิวน้ำที่แตกกระเซ็นไปตามแรงใบจักรท้ายเรือ เหมือนเกร็ดเพชรสีทองปานนั้น ลมเย็นของทะเลเริ่มพัดแรงขึ้น เขากระชับร่างเจ้าน้อยเข้ามาแนบข้างลำตัว เพื่อขับไล่ความหนาวเย็น
......ก่อนหน้านี้ ยามอากาศเย็นหรือหนาว เขามักจะมีเพื่อนสาวนั่งเคียงข้างแต่นั่นมันเป็นอดีต แต่ทุกวันนี้ ยามเกิดเหตุการณ์ใดไม่ว่าทุกข์หรือสุข ดีหรือร้าย เขาก็มีเพียงเจ้าน้อยหรือเด็กน้อยที่เขารับมาอุปการระเลี้ยงดูเท่านั้น ที่อยู่คอยช่วยเหลือและเป็นกำลังใจให้เขา ยามมีปัญหานอกจากกำนันก็เจ้าน้อยนี่แหละที่เป็นเพื่อนคอยปรับทุกข์หรือเป็นที่พูดระบายของเขา โดยมันไม่เคยบ่นเลย ดังนั้นยามใดที่หมอกรมีเวลาว่างเขามักจะเจียดเวลาเหล่านั้นให้กับเจ้าน้อยและกำนันอยู่เสมอ
......คนเรานี่ก็แปลก ยามที่หัวใจมีความสุขมักจะมองไม่เห็นคนที่อยู่ใกล้ตัว หรือมองไม่เห็นความจริงใจของใครบางคน ซึ่งในบางครั้งอาจต้องสูญเสียสิ่งที่มีค่าเหล่านี้ไป และลืมแม้แต่ที่จะเก็บความเจ็บปวด ความผิดหวังไว้บ้าง แต่ยามใดที่มีทุกข์ยามนั้นมักจะมองเห็นเพื่อนแท้ที่อยู่ข้างกายเสมอ
"น้อย ถ้าไม่มีอาหมอ ชีวิตเราจะเป็นยังไง"
น้อยไม่ตอบ แต่เงยมองหน้าหมอกร ก่อนที่เจ้าน้อยจะละสายตาออกสู่เบื้องหน้าที่ที่มีแต่น้ำทะเล กว้างไกลออกไปจนสุดสายตา จรดกับขอบฟ้าที่ไกลโพ้น
......เช่นกันกับหมอกร เขาคิดในใจว่ายามที่เขามาใช้ชีวิตอันโดดเดี่ยวเพียงลำพัง บนเกาะแห่งนี้ หากไม่มีเจ้าน้อยมาอยู่ร่วมชายคา เพี่ยงใต้ฟ้าเดียวกันแล้ว ชีวิตเขาคงจะดูเงียบเหงาไม่น้อย ชีวิตของคนเรา บางครั้งอาจต้องการเพียงความเงียบเพื่อใช้ความคิดทบทวนเรื่องราวหรือหลายสิ่ง หลายอย่างที่ผ่านมา อยากใช้ชีวิตอยู่อย่างลำพังแต่ก็ไม่อาจปฎิเสธได้ว่าลึกๆในใจเราเพียงต้องการใครสักคนที่ขอให้เขาคนนั้นจะเป็นใครก็ได้ที่เข้าใจเราก็เป็นพอ
......เงาทะมึนดำของใครบางคนได้ทาบทับลงบนพื้นผิวของน้ำทะเล และขาดหายเป็นช่วงๆตามริ้วคลื่น ยามเมื่อแดดส่องสว่างขึ้น นานมากแล้วบนเรือลำนี้ ที่พาร่างของชายต่างวัย 2 คนที่ต่างความคิด แต่มีความเหงาที่เหมือนกัน ......อาจจะจริงที่ทุกสิ่งมักจะอยู่กับเราได้ไม่นานแม้แต่ชีวิตของเราเอง เพราะเมื่อถึงเวลาสิ่งเหล่านั้นมักจะกลับสู่ที่เดิมของมัน โลกที่หมุนเวียนไม่ต่างอะไรกับกงเกวียนชีวิต เมื่อมีก็ต้องไม่มี สิ่งที่ใดที่มีค่าแม้เพียงกรวดทรายก็ควรเก็บรักษาไว้ให้ดี ตราบนานเท่านาน ชีวิตคนเราไม่ยืนยาวนัก เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกจากหมอกร ก่อนที่เขาจะขยับร่าง ยืดตัวให้ตรงเพื่อขับไล่ความปวดเมื่อย ส่วนเจ้าน้อยนั้น ยังคงนั่งอิงร่างหมอกรอยู่ไม่ห่าง
.......แดดเริ่มร้อน แม้ลมทะเลที่พัดผ่านจะบรรเทาได้บ้างก็ยังรู้สึกได้ถึงความร้อนที่เริ่มแผ่กระจาย หมอกรถอดเสื้อหนาวออกวางบนตักและดึงร่างเจ้าน้อยให้นอนหนุนตักบนเสื้อหนาวตัวนั้น เจ้าน้อยรู้สึกได้ถึงความสุขที่เกิดขึ้นด้วยความรักความเอ็นดูที่หมอกรมีให้ อาจชดเชยความรัก ความอบอุ่นที่มันได้ขาดหายไปได้ไม่มาก แต่ก็ยังดีกว่าที่มันไม่ได้รับความรัก ความเอ็นดูจากใตรเลย ที่เขาคนนั้นไม่ใช่พ่อ แม่หรือญาติ แต่เขาคนนั้นก็ชดเชยแทนคนเหล่านั้น ได้ดีกว่า บนเสื้อหนาวสีหม่นตัวนั้นที่เจ้าน้อยนอนหนุนหัวอยู่เหมือนหมอกรจะบอกให้รู้ว่า มันจะไม่หนาวหรือเหงา ว้าเหว่อีกต่อไป
......เบื้องหน้าที่มองกว้างออกไปเห็นแต่น้ำทะเล ยิ่งทำให้ความเหงาทวีคูณเพิ่มมากขึ้น หากมีชีวิตหนึ่งที่มองออกมาจากป่าเขาริมเกาะรกร้างที่เรือแล่นผ่าน จะเห็นว่าเรือลำนั้นแล่นออก ห่างไกล ห่างไกลออกไปเรื่อยๆจนสุดสายตา หากเป็นเพียงมโนภาพก็เห็นเพียงจุดเล็กๆจุดหนึ่งที่แต้มอยู่กลางน้ำทะเลสีครามนั้น เหมือนภาพวาดของจิตรกรมือหนึ่ง นั้นเชียว
17 กรกฎาคม 2553 23:09 น.
พ.จินดา
.....ตอนที่ 8 โจรกลับใจ
....."ตอนนี้ห้ามหมอกับครูไปไหนโดยลำพัง น่ะครับ"
"ทำไมหรือกำนัน" หมอกรถาม ขณะที่เลิกประชุมประจำเดือน ณ ศูนย์สภาตำบลบนเกาะ ในบ่ายวันหนึ่ง
"ก็ ตำรวจกำลังไล่จับลูกน้องเสือขิน น่ะซิและทราบว่าตอนนี้กำลังหนีมาหลบซ่อนตัวอยู่บนเกาะนี้ด้วย" กำนันบอก
"หรือครับ" "จับตายด้วยนหมอ"
เขาทราบเพียงเท่านั้น
อนามัยเป็นทั้งที่ทำงานและที่พักอาศัย เขาทำงานแบบไม่มีเวลาหยุดเหมือนสถานที่ราชการที่อยู่บนฝั่ง เพราะบนเกาะแห่งนี้ ไม่มีที่ที่เขาจะไปหรือพักผ่อนได้ หากมีคนไข้ชาวบ้านจะต้องตามเขาเจอ ดังนั้น จึงไม่แปลกที่จะเห็นเขาทำงานแทบไม่มีเวลาหยุด วันนี้ก็เช่นกัน หลังจากที่เขาแยกตัวจากกำนันมา เจ้าน้อยก็ยังไม่กลับจากโรงเรียน พบว่ามีแขกรออยู่ที่หน้าอนามัยแล้ว เป็นชายหนุ่มร่างกำยำวัยฉกรรจ์จำนวน 3 คน
"ใช่หมอกรหรือเปล่า" 1 ใน 3 กล่าว เมื่อพบหน้าเขา
"ครับ ไม่ทราบว่ามีอะไรให้ผมช่วยหรือปล่าว"
"มีซิ เพื่อนผมไม่สบาย ต้องการหมอให้รีบไปรักษาด่วน"
"ได้ครับที่ไหน" "หลังเขา บ้านตาชำ"
"ครับ รอเดี๋ยวน่ะ ให้ผมเตรียมเครื่องมือก่อน เอ่อ คนไข้มีอาการอย่างไรครับ"
"ถูกยิง กระสุนฝังใน"
นิ่ง เหมือนถูกสาป เพียงชั่วครู่สติกลับคืน อยู่ในอากัปกิริยาที่ปกติ หมอกรรีบเตรียมเครื่องมือและยาเท่าที่จำป็น ในใจพยายามคิดแต่ในสิ่งที่ดี
เย็นมากแล้วที่เขาเดินอยู่กลางกลุ่มชายฉกรรจ์ มุ่งหน้าลัดข้ามเขากลางเกาะไปด้านหลังที่เรียกว่าอ่าวใหญ่ บนบ่ามีกระเป๋าพยาบาลสะพายไหล่อยู่ เกือบมืดจึงถึงที่หมาย ร่างที่เห็นอยู่เบื้องหน้า เป็นร่างของชายวัยกลางคนอายุประมาณไม่ต่ำกว่า 45 ปี นอนอยู่กลางลานบนระเบียงหน้าบ้าน มีแผลถูกยิงที่บริเวณไหล่ด้านซ้าย แสงส่วางที่พอมองเห็นจากเปลวไฟตะเกียง พอมองเห็นว่าไม่ใช่แผลฉกรรจ์ หมอกรไม่รอช้า รีบจับคนไข้ให้นอนอยู่ในท่าที่พร้อมจะทำการรักษา เขานำใบมีดที่นำมาเช็ดกับแอลกอฮอล์เพื่อเป็นการฆ่าเชื้อ บนเกาะแห่งนี้จะเอาอะไรมากนักกับเรื่องความปลอดเชื้อของเครื่องมือ ก่อนลงมือกรีดลงไปบนบาดแผลเพื่อนำหัวกระสุนที่ฝังอยู่ออกมา หลังจากนั้นก็ทำความสะอาดแผลก่อนที่จะปิดแผลและให้ยาแก้ปวด แก้อักเสบ
"ขอบคุณมากหมอ" ชายกลุ่มเดิมกล่าว
"ไม่เป็นไรครับ หน้าที่ของผม"
"งั้นเดี๋ยวผมไปส่งหมอ แล้วกัน"
"พรุ่งนี้ ไปดูแผลที่อนามัยหน่อยน่ะครับ" หมอกร บอก คนไข้เพียงพยักหน้า ไม่พูดแต่มองหน้าหมอด้วยความระแวง
"เฮ้ย เอิบ เอ็งไม่ต้องกลัว หมอกรเขาดี ไม่เป็นอันตรายสำหรับแกหรอก"
ตาชำเจ้าของบ้าน บอก
หรือว่าจะเป็นคนร้ายที่กำนันบอก กรคิดในใจ แต่ไม่กล้าถามเพราะไม่ใช่หน้าที่ของเขา หน้าที่ของเขาคือรักษาไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นใครก็ตาม
ความมืดเริ่มโรยตัว มีเพียงกระบอกไฟฉาย ที่ให้ความสว่างในการนำทาง ตอนกลับมีเพียงหมอกรและชายฉกรรจ์ 1 คนเท่านั้น
"หมอ รู้ไหม ว่าคนที่หมอรักษาเป็นใคร" "ไม่ทราบ ครับ"
"นั่นแหละเสือเอิบ ล่ะ ลูกน้องเสือขินที่ตำรวจกำลังต้องการตัวอยู่"
"แล้วทำไม....." "ถูกตำรวจยิงน่ะซิ ตอนอยู่กลางทะเล แต่ลูกพี่แกอึดกระโดดลงทะเลหนีลอยคอเอาตัวรอดมาขึ้นเกาะจนได้ รอดตายดั่งปาฏิหารย์"
"แต่ หมอไม่ต้องกลัว เราต้องพึ่งหมออีกนาน" ดูมันพูดเป็นนัย กรนึกในใจ
"ยังไงพรุ่งนี้ พาแกมาทำแผลที่อนามัยด้วยน่ะครับ"
"หมอรู้ไหม ว่าทำไมคนบนเกาะถึงไม่แจ้งตำรวจหรือนำพวกมาจับ พวกเรา ก็เพราะพวกเราช่วยเหลือชาวบ้านนะซิ"
17 กรกฎาคม 2553 22:25 น.
พ.จินดา
ตอนที่ 7 ความรัก
.........กระดาษแผ่นน้อย ร่วงหลุดลงจากมือของครูอเมอรหรือครูอ้อยที่เด็กนักเรียนเรียกกัน พร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไหลเคลียแก้มที่ขาวผ่องในวัยสาว 25 ปี
"เราเลิกกัน น่ะอ้อย ภาพถ่ายที่เพื่อนผมส่งมาให้มันฟ้อง ผมรับไม่ได้ที่อ้อยเป็นแบบนี้"
ประโยคนี้ต่างหากในจดหมายพร้อมภาพถ่ายที่แฟนหนุ่มส่งกลับมาให้ดู เป็นภาพที่เธอและครูราตรีนอนหนุนตักอยู่ในเรือหางยาวลำนั้น ที่ทำให้เธอต้องสะเทือนใจ ความรักที่เธอและเขาได้ฟูมฟักมาสมัยเรียนที่วิทยาลัยครูภูเก็ต ชั่วระยะเวลาเกือบ 5 ปี ต้องจบลงด้วยความที่ไม่เข้าใจ ด้วยเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง ด้วยเรื่องที่มาจากความเข้าใจในแง่ที่ไม่ดีของคนในสังคมที่มักมองเห็นหรือตีค่าราคาคนด้วยความคิดของตนเองเท่านั้น
"อ้อยจะไปภูเก็ต จะไปพบเขาพูดกับเขาให้เข้าใจ"
"ไม่มีประโยชน์หรอกอ้อย ถ้าเขาจะเข้าใจอย่างนั้น ปล่อยเขาไป ไอ้ผู้ชายที่เอาแต่ได้เห็นแก่ตัว ถ้ามันรักอ้อยจริงมันไม่ปล่อยให้อ้อยมาเผชิญชะตากรรมอยู่บนเกาะแห่งนี้ ยั่วเสือยั่วตะเข้พวกตังเกหรอก" ครูราตรีอ่านเนื้อความในกระดาษแผ่นนั้นพลางโอบไหล่ครูสาวเพื่อนรักเพื่อเป็นการปลอบใจ เธอทั้งสองเป็นครูสาวอยู่ 2 คน ที่ต้องพักร่วมชะตากรรมสอนบุตรหลานของคนชาวเกาะให้มีความรู้แต่เพียงลำพัง ครูใหญ่หรือครูแดงนั้นแทบไม่ได้อยู่ร่วมบนเกาะกับพวกเธอเลย ขึ้นฝั่งแต่ละครั้งก็รว่มเดือน
"ภาพนี้ วันนั้น เราไปฝั่งกัน อาศัยเรือของพี่ณรงค์ แล้วเธอเกิดเป็นลมชักขึ้นมา พวกเราบนเรือช่วยกันปฐมพยาบาลจนเธอฟื้น แต่ยังอ่อนเพลียอยู่เราก็เลยให้เธอนอนหนุนตัก โดยมีหมอกรนั่งกางร่มให้ อยู่กันหลายคน เอใครถ่ายภาพนี้น่ะ หรือว่า" ครูราตรีกล่าวพึมพำ ครูราตรีมีอายุมากกว่าครูอ้อยเกือบ 4 ปี มีความห้าวอยู่ในตัวทะมัดทะแมงเยี่ยงชาย เพราะเธอคิดว่าการที่ต้องลงมาใช้ชีวิตอยู่บนเกาะแห่งนี้ คนที่ฉลาดและแข็งแรงเท่านั้นที่จะเอาตัวรอดได้ยามเกิดภาวะคับขัน
"คงไม่น่า" ..."พี่ราตรีคิดว่าใครหรือ" ..."ไม่รู้ซิ ช่างเถอะใครจะคิดหรือมองอย่างไรก็ช่าง เรารู้ตัวเราดี ไม่ใช่หรือ"
ครูอ้อย มองหน้าครูราตรีด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักฉันพี่น้อง ยามลำบากเดือดร้อนเธอก็มีครูราตรีนี่แหละเป็นที่พึ่งไม่ใช่ญาติก็เหมือนญาติ อีกคนอ่อนหวานอย่างกุลสตรีอีกคนแข็งแกร่ง ห้าวดุจบุรุษ แต่มีความเป็นเพศเดียวกันเมื่อต้องมาอยู่ร่วมชะตากรรมเดียวกัน ทำงานร่วมกัน พักที่เดียวกัน กินนอนด้วยกัน มันสมควรแล้วใช่ไหม คำว่าเพื่อนแท้ย่อมมีค่าแก่ตัวมันเมื่อยามทุกข์นี่เอง
ครูอ้อย มองกระดาษที่ร่วงลงสู่พื้นนั้น ด้วยสายตาที่เย็นชา พร้อมภาพถ่ายที่แฟนหนุ่มส่งมาให้ดูภาพที่เธอและครูราตรีประคองกันอยู่บนเรือ เธอมอบให้แก่เด็กนักเรียนชายคนหนึ่งที่อาสามาอยู่เป็นเพื่อนยามที่ครูราตรีไม่อยู่
"หนุ่ม ช่วยเอาไปทิ้งให้ครูด้วย" "ครับครู" เด็กนักเรียนรับคำ แต่ไม่กล้าถามอะไรต่อ ด้วยเห็นสีหน้าของครูอ้อยที่เคร่งขรึม ซึ่งปกติจะหัวเราะและดูอ่อนโยนเสมอกับพวกเขา
"เราลงไปชายทะเล กันดีกว่า อ้อย ตอนนี้ก็บ่าย 3 แล้ว ปล่อยเด็กกลับบ้านกันเถอะ"
แดดยามบ่ายยังร้อนอยู่แต่ไม่มากนัก ครูทั้งสองเดินลัดเลาะผ่านต้นกาหยูหรือต้นมะม่วงหิมพานต์ที่ชาวบ้านบนเกาะปลูกเป็นอาชีพ ซึงยามนี้ต่างทยอยออกลูกกันเป็นแถวอีกไม่นานก็ถึงฤดูเก็บ
"สวัสดีครับครู จะไปไหนกันหรือครับ" กรทัก เมื่อเห็นครูทั้งสองเดินผ่านสวนกาหยูหลังอนามัย มันเป็นสวนกาหยูที่เขาระดมชาวบ้านมาลงแรงช่วยกันปลูกเพื่อนำผลผลิตที่ได้มาพัฒนาสถานีอนามัย ซึ่งก็ได้ผลเพราะผลผลิตจากความคิดของเขาและความร่วมมือของชาวบ้านทำให้ได้เงินซื้อเครื่องปั่นไฟมาใช้ที่อนามัยเพื่อให้บริการผู้ป่วยในยามค่ำคืน
"น้อยกลับมาแล้ว หรือหมอ" ครูราตรีไม่ตอบ แต่ถามถึงลูกศิษย์
"ครับ แกอยู่บนบ้านพักครับ ครูมีธุระกับน้อยหรือปล่าว เดี๋ยวผมจะตามให้"
"เปล่าหรอก เออหมอ จำวันที่เราไปฝั่งแล้วอ้อยเป็นลมได้ไหม วันที่เราอาศัยเรือพี่ณรงค์ไปน่ะ"
ครูอ้อยเขย่าแขนครูราตรีเป็นการติง ไม่ให้พูดเรื่องนี้กับหมอ
"อ๋อ จำได้ ทำไมหรือครับ" จากนั้นครูราตรก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างแฟนหนุ่มกับครูอ้อยให้ฟัง
ทำไมหนอ ในสังคมทุกวันนี้คนเรามักทำลายค่าของความรักด้วยเพียงเห็นในสิ่งที่เห็นและคิดว่าใช่ในสิ่งที่ได้ยิน นั่นหรือ ทำไมไม่เอาค่าของกาลเวลาที่กว่าจะสร้างความรักความเข้าใจมาได้มาเป็นเครื่องถ่วงดุลถ่วงความคิดแบบมีเหตุผลก่อนที่ทุกอย่างจะจบด้วยการเจ็บของทุกฝ่ายละ
เสียงคลื่นทะเลที่กระทบฝั่งดังไม่ขาดสายอยู่ตลอดเวลา แม้บางครั้งทรายจะถูกเหยียบจนเป็นรอยน้ำทะเลก็ยังโอบจูบลูบไล้ทรายให้อยู่ในสภาพเดิมลบรอยเท้าบนพื้นทรายนั้นได้ แต่ใจคนถ้าถูกย่ำยี ถูกเหยียดหยามความรู้สึก อะไรล่ะที่จะมาลบล้างได้ ถ้าปราศจากความรัก
กรไม่พูดอะไร เพียงเดินมาจับบ่าทั้งสองข้างของครูอ้อย และมองด้วยสายตาที่ให้กำลังใจ และบอกผ่านสายตาไปยังครูอ้อยที่มองมาเช่นกันว่า
"ผมเองก็เช่นกัน เจ็บมาแล้วไม่ต่างอะไรกับครู"