18 พฤศจิกายน 2550 02:32 น.
ฝากฝัน
บันทึกความเหงา(2)
มุกดาหาร..โรงแรมมุกธารา...ห้อง๓๐๖ ..
วันนี้ตื่นนอนที่อำเภอกุดบาก สกลนครแต่เช้า...ด้วยอาการงัวเงียที่สุด...เมื่อคืนนอนดึกมากๆ(ตีสองครึ่ง)เพราะชาวบ้านลากไปงานบุญ ต่างหมู่บ้าน....ต้องรอกลับพร้อมกัน..เลยอดเขียนบันทึกของตัวเอง
เส้นทางจากอำเภอกุดบาก ไป อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร คดเคี้ยวไปตามความเว้าแหว่งของเทือกเขาภูพาน...จากฟากหนึ่งไปอีกฟากหนึ่งของภูเขา ระยะทาง ร้อยกว่ากิโลฯนิดๆ ใช้เวลา ๒ ชั่วโมง
มันไม่ใช่ ๒ ชั่วโมงของความยากลำบากของเส้นทาง..แต่มันเป็น ๒ชั่วโมงของการชมความงาม..สองข้างทาง...เปิดหน้าต่างรถชมหมอกเหมยที่คลอยอดหญ้า..และแมกไม้สองข้างทาง ถ้ามีใครสักคนที่รู้ใจนั่งเคียงข้าง..ช่วยกันชี้ชมสิ่งที่ผ่านเข้ามาทางสายตา...ฉันว่ามันเป็นความสุขที่ล้นเหลือ..และเวลา 2ชั่วโมงก็คงไม่พอแน่เลย....แต่มันเป็นได้แค่ความคิดเท่านั้นเอง
ชาวตำบล ดงหลวง ตำบลพังแดง เป็นชนเผ่าบรู(ชาวโส้..อพยพมาจากฝั่งลาวเมื่อ ๒๐๐ กว่าปีที่ผ่านมา)ที่อาศัยอยู่เชิงเทือกเขาภูพานฝั่งตะวันออก ...)พวกเขาไม่ชอบให้คนอื่นเรียกว่าโส้ เพราะมันเป็นความหมายเชิงดูถูก เพราะคำว่าโส้แปลว่าคนป่า
ใครจะรู้บ้างว่า..พวกเขาเป็นชาวบ้านที่น่ารักมาก...หาอยู่หากินกับป่าเป็นหลัก..ถ้าปลูกพืชผัก ก็เป็นพืชผักพื้นบ้าน .ผักหวาน และสารพัดพืชผักป่า..ปกติเมื่อฉันมาเยี่ยมพวกเขา..เขาต้องให้ฉันนอนกับพวกเขาที่กระท่อมในสวนป่าส่วนตัวใกล้ๆหมู่บ้าน..พวกเขา ร่วมๆ ยี่สิบคนก็จะขนอาหารมาทำกินร่วมกัน(ตุ้มโฮม) ใครมีไก่บ้าน..มดแดง..ผักหวาน..ปลา..หรือผักต่างๆก็เอามา.....ไม่มีหมู...ไม่มีเนื้อวัว ...อาหารทุกอย่างถูกปรุงสุกด้วยกระบวนการหลามด้วยไม้ไผ่...และใช้หม้อเท่าที่จำเป็นมากๆเท่านั้น..และที่ขาดไม่ได้ก็ เจ้าอุ.เหล้าแกลบ. ตบดินพอก...เติมน้ำ...ตอกหลอดไม้ซาง.. อือ..แค่พูดก็น้ำลายหกแล้วหล่ะ...
กว่าจะหลับลงได้แต่ละครั้ง..พวกเขาช่วยกันเล่าตำนาน....วีรกรรมของแต่ละคนเมื่อครั้งยังเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิตส์แห่งประเทศไทย....ครั้งหนึ่งสำหรับพวกเขาในชุมชนแห่งนั้น... แม้แต่หมาก็หมาคอมฯ พวกเขาทั้งหมู่บ้านเข้าป่าเป็นคอมมิวนิตส์ขับปืนต่อสู้กับรัฐบาล...แล้ววันหนึ่งพวกเขาก็พ่ายแพ้..กลับสู่หมู่บ้าน...ยอมเข้าเป็นสมาชิกผู้เข้าร่วมพัฒนาชาติไทย....พวกเขาเป็นฮีโร่ในป่า..แต่ไร้เดียงสามากสำหรับในเมือง...พวกเขาตรงๆ ..ดุดัน...ดื้อ...แต่น่ารัก
เมื่อ 9 ปีที่แล้ว ในพื้นที่เหล่านี้หน่วยงานรัฐแทบจะเข้าไปทำงานในพื้นที่ไม่ได้ สำนักงานปฎิรูปที่ดิน เขาทำโครงการพัฒนานาชุมชน...เขาขอแรง (จริงๆแล้วคือจ้าง) ให้ฉันช่วยเข้าไปทำงานที่นี่...ฉันพกความซื่อใส..ตรงไปตรงมาและความจริงใจ ตั้งใจจริง เข้าหาพวกเขา.....ฉันต้องใช้เวลาถึง 3 วันกว่าจะชวนชาวบ้านที่นี่มานั่งคุยกันได้ ฉันไปนอนอยู่ในศาลากลางหมู่บ้านโดยไม่มีผ้าห่ม เสื่อหรือหมอน แต่อย่างใด 2 คืน แต่ละวันใช้เวลาเดินคุยไปเรื่อยๆ จนผู้นำชาวบ้านยอมรับ และหลังจากนั้นเป็นต้นมาเขายอมรับและรักฉัน
แต่สำหรับวันนี้..ฉันไม่ไหวแล้วเหนื่อยมากๆ...จริงๆแล้วกะว่าเสร็จจากการประชุม ในหมู่บ้าน แล้วจะตีรถกลับปทุมธานีเลย....แต่เมื่อถามร่างกายตัวเอง...มันก็บอกว่า...ไม่ไหวแล้ว...ก็เลยตัดสินใจเข้าเมืองมุกดาหาร ...
เดินเล่นริมน้ำโขง....มองดูแสงไฟวับแวมสะท้อนแสงในลำน้ำจากฝั่งลาวอันเงียบสงบแล้วเหงามาก...ตลิ่งที่สูงชัน.ทำให้.คิดถึงบางบทกลอนของสุรชัย จันทิมาธร นักร้องเพลงเพื่อชีวิตวงคาราวาน
ตลิ่งของสองข้างทางน้ำของ*
แม้ยืนมองอยู่หยั่งคอตั้งบ่า
เขาหาบน้ำตามขั้นบันใดมา
จากตีนท่าลื่นลู่ดังถูเทียน
แต่ละวันเหงื่อไหลลงโทรมร่าง
แต่ละย่างก้าวพันสั่นถึงเศียร
อันความทุกข์มากมายหลายเล่มเกวียน
ก็วนเวียงอยู่กับของสองฝั่งเอย
* ของ...คือ...โขง
2 พฤศจิกายน 2550 09:18 น.
ฝากฝัน
บันทึกความเหงา(1)
จาก:เมืองแพร่ 27 ส.ค. 50
ท้องฟ้าที่ยังคงฉ่ำฝน..หลังจากฝนกระหน่ำอย่างหนักหน่วงเมื่อคืนที่ผ่านมา.... สายน้ำในแม่น้ำยมตรงช่วงตำบลปากกาง อำเภอลอง..จังหวัดแพร่..วันนี้สีแดงด้วยฝุ่นโคลนดั่งสีของน้ำชาใส่นมแต่กลับถาโถมไหลเชี่ยวกราก..กวาดล้างหญ้าและต้นไม่เล็กๆที่งอกอยู่สองฟากฝั่งของแม่น้ำอย่างไร้ความปราณี..
หลายวัน....นานนับสองอาทิตย์ที่ฝนทะยอยตกในถิ่นแถบนี้...ค่อยเติมน้ำลงแม่น้ำยมสูงขึ้นทุกวัน..ภูเขาที่เตียนโล่งสองด้วยอิทธิพลของราคาข้าวโพดที่พุ่งสูงถึงกิโลฯละ 7 บาทของปีที่ผ่านมาและกระแสความร่ำรวยจากยางพารา..โหมกระหน่ำจนเกษตรกรเกิดความโลภอย่างถึงที่สุด..เครื่องเลื่อย..รถไถ..ถูกขนขึ้นภูเขา..วันแล้ววันเล่าจนไม่เหลือแม้แต่ต้นไม้ที่เคยเป็นอาหารและหยูกยา....
พวกเขาโค่นต้นไม้ขนาดใหญ่ที่เติบโตมานานหลายปีลงภายในพริบตา..แล้วปลูกข้าวโพดต้นเท่านิ้วมือ..และหวังร่ำรวยด้วยเวลาเพียงข้ามปี...สาธุ..กับความคิด..และแวบหนึ่งของความสงสารเกษตรกรเหล่านั้นและสงสารประเทศไทย..ที่กำลังพัฒนาผืนแผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์ให้เป็นทะเลทราย..
สองมือของฉันยังคงบวมและช้ำจากการโหมปลูกต้นไม้ในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา..ขณะยืนดูน้ำในแม่น้ำแล้วเงยหน้ามองภูเขาหัวโล้นที่ไกลตาออกไป...บางวูบแห่งอารมณ์ก็อดสะใจไม่ได้เมื่อเกิดกรณีดินถล่ม....ปกติธรรมชาติคือผู้ให้..แต่เมื่อมนุษย์ไม่รู้จักเพียงพอก็สมควรที่จะถูกธรรมชาติลงโทษบ้าง...ไยคนต้องรอให้เกิดเหตุการณ์สูญเสียผ่านน้ำตาก่อนถึงจะได้เริ่มแก้ไข....และมักจะสายเสมอ
เสียงตะโกนจากเจ้าหน้าที่ องค์การบริหารส่วนตำบลปากกาง ร้องบอกว่าชาวบ้านดักปลากกดคังขนาดใหญ่ได้จากแม่น้ำ..เขาเสนอขายปลากดคังราคา ก.ก.ละ 100 บาท..ปลาตัวนั้นหนัก 11 กิโลกรัม รวมแล้วราคา 1,100 บาท..ฉันเดินไปดู..ปลาใหญ่ตัวนี้.มีลูกตาที่ฝ้ามัว..
เข้าใจว่าอาจจะโดนฝุ่นโคลนในน้ำก็เป็นได้..หรือเป็นเพราะฉันตาฝาดก็ไม่รู้...ได้แต่คิดในใจ..หากเขาช่วยกันรักษาแม่น้ำ..รักษาป่า..พวกเขาอาจจะมีปลาให้กินมากกว่านี้..เพราะปลาราคาตัวละพันกว่าบาทซึ่งต้องใช้ข้าวโพดถึง 200 กิโลกรัมกว่าจึงจะพอ..
วันนี้ออกจากหมู่บ้านตอนบ่ายสามโมง..ตอนแรกกะว่าจะเดินทางเข้าเมืองน่านแต่ลูกน้องบอกว่าพื้นที่ๆจะลงพรุ่งนี้อยู่ตรงรอบต่อระหว่างจังหวัดแพร่กับน่านที่อำเภอร้องกวาง..แพร่..กับ..อำเภอเวียงสา..น่าน ดังนั้นน่าจะนอนที่แพร่ต่อ.เช้าค่อยเดินทางลงพื้นที่..
เมื่อเดินทางระยะสั้นๆไม่เร่งรีบ..ก็ถือโอกาสแวะที่บ้านนาตุ้ม..ต.บ่อเหล็กลอง..เพื่อเยี่ยมเยือนผู้ใหญ่จืด.เพราะนานแล้วที่ไม่ได้พบปะกัน .แต่เจตนานาแฝงของฉันอยู่ที่หมอนวดของหมู่บ้านนี้..ซึ่งเป็นหมอนวดที่เพิ่งเรียนรู้(ฝึกหัด)..และเพื่อไล่ความเมื่อยล้าจากการขับรถทางไกล...การนวดน้ำมันสักชั่วโมงช่วยให้สดชื่นขึ้นมาก..
เงินร้อยบาท..สำหรับสุขภาพของตัวเอง...ไม่แพงหรอก..ที่สำคัญหมอนวดเหล่านั้นอยู่ในช่วงเรียนรู้และพัฒนาฝีมือตัวเอง..การตั้งใจไปหา....คือการให้กำลังใจและสร้างความเชื่อมั่นให้กับพวกเขาที่จะต้องพัฒนาฝีมือไปเรื่อยๆอย่าหยุดยั้ง..ด้วยความหวังลึกๆว่าพวกเขา 4-5 คนคือผู้ดูแลสุขภาพของชาวบ้านในชุมชน...
ขณะนอนนวด..มีชาวบ้านสองสามคนนำเห็ดเผาะมาขายที่บ้านผู้ใหญ่บ้านในราคาลิตรละ 70 บาท..ฉันถามผู้ใหญ่บ้านว่าใครทำเห็ดเผาะกินอร่อยบ้าง....ตกลงเย็นนี้ตัดสินใจกินข้าวเย็นที่หมู่บ้านมื้อหนึ่ง..พอเวลาใกล้อาหารมีชาวบ้านนำกับข้าวมาร่วมวงอีกสี่ห้าคน..นับว่าครึกครื้นมาก.. ประมาณ 90 เปอร์เซนต์ของอาหารมื้อนี้ล้วนมาจากป่าจากธรรมชาติทั้งสิ้น..แกงเห็ด... แกงปลา..แกงกบ..ปู ..อึ่ง..ผักนึ่ง..สารพัดผักที่ออกในหน้าฝน .....ฮืม..คั๊ดท่อง (สำนวนของ ตามล
..น้องจากลำปาง..คั๊ดท้อง....อิ่มมากจนแน่นท้อง)
สิ้นอาหาร..หมดนิทานแห่งความคิดถึง...จึงรำลาจากกันตอนสองทุ่ม..ขับรถมาตามเส้นทางคดเคี้ยวในภูเขากลับเข้าเมืองด้วยความสุขใจ...คืนนี้ฉันนอนที่ โรงแรมภูมิไทการ์เด้น..ห้อง103
1 พฤศจิกายน 2550 22:54 น.
ฝากฝัน
บันทึกความเหงา
จาก:สวนฝากฝัน
24 ส.ค.50
ย่างเข้าคืนที่สองแล้ว..ที่มานอนอยู่ในสวนฝากฝัน.คืนนี้ช่าง
มืดมิดไปทั่วทุกทิศ...ท้องฟ้าฉ่ำด้วยเมฆฝน...อากาศเย็นชื้นด้วย
ละอองฝนเมื่อเย็นที่ผ่านมา..เสียงจักจั่น..จิ้งหรีดเรไรร้องระงม
ดั่งจะแข่งขันประชันเสียง..........เขียดน้อยในคลองหลังกระท่อม.
ส่งเสียงกระชั้นเริงร่าหาคู่..จนแสบแก้วหู...ได้แต่ภาวนาให้มันรีบ
หาคู่เจอไวไว.......จะได้เงียบเสียงลงไปบ้าง.
แมลงเม่าหนุ่มสาวลิงโลดกับสายฝนพากันบินมาหยอกล้อเกี้ยว
พาราสีรอบๆแสงไฟ....ก่อนจะสลัดปีกบางๆและเกี่ยวข้อยควงกันไป
หาซอกดินเพื่อสร้างรังรัก...โดยไม่แยแสต่อสายตาของอึ่งอ่าง..คางคก
ที่มาคอยดักตวัดลิ้นยาวม้วนเข้าปากก่อนจะคายปีกทิ้งอย่างไม่ใยดี...
จิ้งจกไต่อยู่ใต้หลังคาคอยจ้องคาบไว้ในปากก่อนจะสลัดหัว..เสียง
ปากกระทบหลังคาถี่ถี่..เพื่อหยุดการดิ้นรนของแมลงเม่าอย่างไม่กลัว
เจ็บปากก่อนจะกลืนกิน.และคอยจ้องจับตัวต่อไป..อย่างอดทน
คนงี่เง่ามักเปรียบเปรย..คนที่กระทำสิ่งหนึ่งสิ่งได้โดยไม่คำนึง
ถึงชีวิต...ว่า เหมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ.. แต่สำหรับฉันกลับ
มองว่า..การใช้ชีวิตเพื่อการดำรงอยู่...และความรักเป็นสิ่งที่หอมหวล
และท้าทาย..บางครั้งการได้มาซึ่งความรักอาจต้องใช้ความพยายาม..
ความอดทน ทุ่มเท..หรือต้องวางชีวิตเป็นเดิมพัน
สำหรับแมลงเม่าเอง...เพื่อให้การดำรงอยู่ของเผ่าพันธุ์อาจ
จะต้องแลกด้วยชีวิต..คุ้มหรือไม่ฉันไม่รู้..หรือบางคนอาจจะคิดว่า
นี่..เป็นธรรมชาติของปลวกก็ตาม..แต่ก็พบว่าปลวกไม่เคย
หายไปจากโลก..พวกมันกลับกล้าพลีชีพเพื่อสร้างงานสร้างเงิน
ให้กับคนอย่างเต็มใจ...และไม่เคยเรียกร้องส่วนแบ่งของชีวิต
เลย...สงสารปลวกจัง..ที่ยอมตายเพื่อให้คนกำจัดปลวกได้เงิน.
นี่หรือความเป็นธรรม
ยามดึกดื่น.. สายลมพัดแผ่วๆ..อารมณ์เหงา..เศร้า..มักจะ
มาเยี่ยมในเวลาเช่นนี้เสมอ..แต่การอยู่กับความเหงามานาน
วันค่อยๆฝึกให้ฉันเริ่มชินชา..และพัฒนาก้าวข้ามสู่การบันทึก
ความเหงา...พยายามมองทุกอย่าง..อย่างเข้าใจ...สร้างให้ทุก
สรรพสิ่ง..ก้อนหิน..ดิน..ต้นไม้..สรรพสัตว์ มีชีวิตมีวิญญาณที่
สื่อสารกับฉัน..กระทั่งร้อยเรียงเป็นตัวหนังสือและเป็นตัว
ละครแห่งความเหงา
ตอนกลางวัน..เอาความเหงา..ความเศร้าทั้งมวล..
ใส่หม้อแห่งอารมณ์แล้วต้มกลั่นเป็นหยดเหงื่อโดยมีจอบเป็น
เชื้อเพลิง..และมีต้นไม้พืชผัก..เป็นผลิตภัณฑ์แห่งความเหงา .
ขอบคุณแม่ธรณีที่ให้โอกาส...ขอบคุณบริษัทจอบตราจระเข้
ที่ผลิตเครื่องมืออันแข็งแกร่ง...แม้จอบไม่หวั่นไหวแต่มือ
ไม้ของฉันเริ่มหนาและบวมเป็นตุ่มใส..มองมือ.แล้วมองไม้
ที่ปลูก..ความสุขใจ..ก็ก่อเกิด....อย่างน้อยฉันก็เป็นหนึ่งใน
คนสร้างโลก..แม้จะไม่ยิ่งใหญ่ใดใดก็ตาม
ใครบางคนบอกว่าต้นไม้มีรุกขเทวดา..ฉะนั้นวันนี้ฉันได้
สร้างเทวดาขึ้นมาอย่างน้อย แปดสิบสามองค์....และพรุ่งนี้จะมี
ลูกน้องมาช่วยอีก สามคน..คาดว่าจะสามารถสร้างเทวดาได้อีก
สัก สี่ร้อยองค์..ฉันกะว่าจะสร้างเทวดาทั้งหมดไม่น้อยกว่า
สองหมื่นองค์... ซึ่งตอนนี้ก็นับว่าใกล้ความจริงเข้าไปมากแล้ว
หละ..บางทีการมีเทวดามากๆอาจจะช่วยให้คลายเหงาได้บ้าง...
และเทวดาเหล่านั้นก็คงไม่หมางเมินกับฉันเหมือนที่ฉันโดน
อย่างทุกวันนี้.....ก็พอแล้ว..ใช่มั๊ย