16 มิถุนายน 2552 13:14 น.
ฝากฝัน
'อย่าหนีนะ เจ้าเด็กขี้ขโมย'
เสียงผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งตะโกนลั่น
พร้อมกับมีเด็กคนหนึ่งกับผู้หญิงอีกคนหนึ่งวิ่งผ่าน
ฉันกับแม่ที่กำลังซื้อเนื้อหมูในตลาดไปอย่างรวดเร็ว
ทั้งแม่และฉันหันไปดูทันเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้น
แค่แวบเดียว แม่ถามฉันว่า
'อ้าวนั่นป้าร้านขายของไม่ใช่เหรอ'
'ใช่จ้ะแม่ แกวิ่งไล่ใครกันละ'
ป้าคนนั้นชื่อว่า 'ป้าหนอม'เป็นแม่ค้าขายของชำ
สารพัดอย่างในตัวตลาดในอำเภอที่ฉันอยู่มีฐานะ
จัดว่าดีกว่าแม่ค้าคนอื่นๆ ในละแวกเดียวกัน
และเป็นที่รู้จักกันว่าแกเป็นคนที่ขี้เหนียวอย่างร้ายกาจ
แถมปากจัดที่สุดในตลาดอีกด้วย ใครต่อราคาของ
มากเกินไปหรือถามราคาแล้วไม่ซื้อป้าแกจะโวยวาย
ชนิดต้องรีบเผ่นออกจากร้านแทบไม่ทันทีเดียว
เสียงเอะอะดังมากขึ้นฉันหันไปมองป้าหนอมจับข้อมือ
เด็กผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณ 12-13 ขวบไล่เลี่ยกับฉัน
ซึ่งกำลังดิ้นรนอยู่ และป้าแกกำลังจะลงไม้ลงมือ
แม่จึงเดินเข้าไปถาม
'พี่หนอม มีไรหรอคะ'
'ก็คุณเด็กเวรนี่นะสิ มันมา ทำทีขอซื้อยาแก้ปวดกับยาธาตุ
พอฉันหยิบส่งให้ มันก็วิ่งหนีมาเลย เงินก็ไม่จ่าย'
พูดจบป้าหนอมก็ตบหัวเด็กคนนั้นอย่างแรงหนึ่งที
และคงจะมีตามมาอีกหลายทีแน่ถ้าแม่ฉันไม่ห้ามไว้
'ตายแล้วพี่หนอม อย่าถึงกับลงไม้ลงมือกันเลยนะ แล้วนี่จะทำไงต่อ'
แม่รีบตัดบทเพราะเห็นว่าเรื่องราวชักจะไปกันใหญ่
'เรียกตำรวจมาเอามันไปเข้าคุกนะสิ เสียนิสัย
พ่อแม่ไม่สั่งสอนยังเด็กตัวแค่นี้ก็รึจะเป็นขโมยซะแล้ว
ต่อไปก็คงต้องปล้นเขากินหละ'
ฉันสะกิดแม่ทันทีพร้อมกับมองพลางส่ายหัวน้อยๆ
ทำนองว่าอย่าไปยุ่งดีกว่าแม่มองฉันแล้วมองเด็กคนนั้น
ซึ่งท่าทางเหมือนกำลังจะร้องไห้แม่นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง
แล้วหันไปพูดกับป้าหนอมว่า
'อย่าให้ถึงอย่างนั้นเลยนะพี่หนอมเด็กมันคงอยากซื้อยา
แต่ไม่มีเงินนะ เอาเป็นว่าฉันจ่ายให้ละกันนะกี่บาทกันละ'
ในที่สุดเรื่องก็จบลงโดยการที่แม่ยอมจ่ายเงินค่ายา
แก้ปวดกับยาธาตุแล้วแม่ก็จูงเด็กคนนั้นออกมาจากตลาด
แต่ป้าหนอมยังไม่วายเตือนแม่
'ใจดีกับเด็กขี้ขโมยแบบนี้ ระวังจะเสียใจทีหลังนะเธอ'
แม่ไม่ได้ตอบอะไรแต่พอเดินห่างจากร้านพอสมควรแล้วก็ถามว่า
'ทำไมหนูขโมยของป้าเขาละ'
เด็กคนนั้นเงยหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาขึ้นมองแม่ แล้วตอบสะอึกสะอื้นว่า
'แม่ผมปวดท้องมากเลยครับ แล้วแม่ก็ไม่มีเงินไปหาหมอผมก็เลยต้อง...'
แม่มองหน้าเด็กคนนั้นอยู่ครู่หนึ่ง แล้วยืนผลไม้ที่ซื้อมาให้
เด็กคนนั้นถุงหนึ่ง แล้วบอกว่า
'ทีหลังอย่าขโมยของใครนะ ถ้าไม่มีเงินมาขอเงินน้าไปซื้อก็ได้นะน้าชื่อสมพรเปิดร้านเย็บผ้าอยู่ใกล้ๆนี่เองถามคนแถวนี้ก็ได้ รู้จักน้าแทบทุกคนเลยแหละ เอ้า...เอา ส้มไป
ฝากคุณแม่ซิคนป่วยนะต้องกินผลไม้มากๆ จะได้หายไวๆ รู้มั้ย'
แม่เสริมพร้อมกับยิ้ม เด็กคนนั้นอึ้งอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะรับส้มพร้อมกับพูดขอบคุณแม่แล้วเดินจากไป
หลังจากนั้นพอกลับมาถึงบ้าน ฉันก็ถามแม่ทันที
'ทำไมแม่ต้องช่วยเด็กคนนันด้วยละ รู้จักกันหรอจ้ะ'
แม่ยิ้มแล้วตอบฉันว่า
'ไม่รู้จักหรอก แต่แม่เห็นเด็กคนนั้นรับจ้างหาบขนมขาย
อยู่แถวบ้านเราน่ะลูก แต่แกคงจำแม่ไม่ได้หรอกแม่ซื้อขนมแกอยู่ไม่กี่ครั้งเอง'
'แต่นั้นก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะต้องช่วยเหลือเขาถ้าเขาเป็นขโมยนี่แม่'
ฉันถามต่อ แม่มองหน้าฉันแล้วพูดว่า
'แม่เชื่อว่าเด็กที่เคยหาเงินด้วยตัวเองมาก่อนตั้งแต่อายุเท่าๆกับลูกจะต้องเป็นเด็กที่มีความรับผิดชอบรู้คุณค่าของเงินทุกบาท ทุกสตางค์ว่ากว่าจะได้มามันเหนื่อยยากขนาดไหนและคนที่มี ความรับผิดชอบนะ จะไม่มีทางขโมยของใครนอกจากจะจำเป็นจริงๆเมื่อเขาไม่มีทางอื่นให้เลือกแล้วเท่านั้น'
ฉันฟังแล้วก็ถามแม่ต่อว่า
'แล้วต่อไปถ้าเขามาขอเงินแม่ไปซื้อยาอีก แม่จะให้เขารึเปล่า'
'ให้สิลูกถ้ามันไม่มากไม่มายอะไร
'แล้วแม่ไม่เสียดายเงินหรอบ้านเราก็ไม่ได้ร่ำรวยเหมือนบ้านป้าหนอมเขานะแม่'
' ถึงแม่จะไม่มีเงินทองมากนักแต่การที่ได้ช่วยเหลือคน
ที่กำลังลำบากน่ะ มันทำให้แม่มีความสุขแล้วยังได้บุญอีกด้วยนะ
แค่นี้แม่ก็พอใจแล้ว ไม่อยากได้อะไรตอบแทนหรอก'
แล้วแม่ก็พูดต่ออีกว่า
'จำไว้นะลูก คนเรานะต้องรู้จักให้อภัยและให้โอกาสคน
อื่นแก้ตัวเสมออย่างเด็กคนนั้น..แม่มั่นใจว่าแกทำไปเพราะ
รักคุณแม่ของแกจริงๆ แม่ถึงช่วยแกเอาไว้'แล้วแม่ก็พูดต่อว่า
'ลูกอาจจะบอกว่าขโมยเป็นสิ่งทีผิด ใช่...แม่ไม่เถียงแต่บางครั้ง คนเราก็ต้องมองด้านอื่นๆบ้าง อย่าคิดแต่เรื่องทรัพย์สินเงินทอง ตอนนี้ลูกอาจจะยังฟังไม่เข้าใจ แต่แม่เชื่อว่าสักวันลูกจะเข้าใจเองแหละ'
หลังจากนั้น ฉันกับแม่ก็หันไปคุยเรื่องอื่นๆกันต่อ ฉันเองไม่เคยคิดเรื่องนี้อีกเลยจนเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น ทำให้ฉันต้อง
ย้อนกลับมาคิดถึงเรื่องนี้อีก ครั้งทั้งน้ำตา ว่าคำพูดของแม่
ในครั้งนี้ถูกต้องที่สุดจริงๆ
หลังจากนั้นฉันเรียนจบระดับปริญญาตรีจากสถาบันราชภัฏแห่งหนึ่งในตัวจังหวัด แล้วฉันก็ได้งานทำในโรงงานในตัวจังหวัดนั้นเอง เงินเดือนก็พอประมาณ สามารถเลี้ยงดูแม่ได้โดยไม่ขัดสนนัก
ฉันก็เลยขอร้องให้แม่หยุดรับจ้างเย็บผ้าเพราะอยากให้แม่พักผ่อนบ้าง
หลังจากทำงานหนักมาเกือบ 20 ปีเพื่อส่งฉันเรียน แม่ยอมปิดร้าน แต่ก็ยังรับงานเล็กๆ น้อยๆของเพื่อนบ้านมาทำ
บ้างโดยไม่คิดเงิน
แม่บอกว่าถ้าไม่ได้ทำอะไรเลยจะรู้สึกเบื่อ ฉันก็เลยต้องยอมตามใจแม่
ฉันทำงานอยู่ประมาณ 2-3 ปี แม่ก็เริ่มรู้สึกไม่สบายเริ่มจาก
ปวดหัวบ่อยขึ้น ช่วงแรกๆไม่กี่วันก็หายหลังจากนั้นก็เริ่ม
เป็นนานขึ้นเรื่อยๆ ฉันบอกให้แม่ไปหาหมอแล้วฉันก็พาแม่
ไปหาหมอในเมืองหมอบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก แค่ทำงาน
หนักมากเกินไปหมอให้ยามาชุดหนึ่งพร้อมกำชับให้พักผ่อนมากๆะได้หายเร็วๆ
หลังจากกินยาตามที่หมอสั่งอาการปวดหัวของแม่ก็หายไป
ฉันเริ่มสบายใจขึ้น แต่หลังจากไปหาหมอได้ประมาณหนึ่งเดือนแม่ก็เริ่มกลับมาปวดหัวอีกคราวนี้เป็นหนักมากกว่าครั้งที่แล้วยาที่เคยกินแล้วได้ผลมาก่อนก็ไม่ได้ผลเลย
ฉันกังวลใจมากพอถามหมอหมอก็บอกว่าต้องไป.ตรวจที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯเพราะว่าเครื่องไม้เครื่องมือพร้อมกว่าโรงพยาบาลต่างจังหวัด
หลังจากนั้นฉันรีบพาแม่ไปกรุงเทพฯทันทีไปยังโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งหลังจากหมอตรวจแล้วบอกว่า
มีเนื้องอกในสมองต้องผ่าตัดโดยด่วน หากปล่อยทิ้งไว้อาจไปทับเส้นประสาททำให้เป็นอัมพาตได้ หรือถ้าผ่าตัดไม่ทันก็อาจร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต
ฉันตกใจมากของให้หมอผ่าตัดให้ทันทีแต่หมอบอกว่าโรงพยาบาลที่มีหมอผ่าตัดสมอที่มีความพร้อมที่จะผ่าตัดเนื้องอกในสมองเป็นอีกโรงพยาบาลหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงมากกว่า
ดังนั้นหมอจึงต้องส่งตัวคนไข้ไปยังโรงพยาบาลนั้น ฉัน
ก็ตกลงหลังจากถูกส่งตัวมายังโรงพยาบาลดังกล่าวแล้ว
แม่ก็ถูกส่งตัวเข้าห้องผ่าตัดทันที ขณะที่ฉันรออย่างกังวล
ใจอยู่ด้านนอก ทั้งเรื่องอาการป่วยของแม่และจากคำพูด
ของหมอที่ทิ้งท้ายไว้ก่อนส่งตัวแม่มาที่โรงพยาบาลแห่งนี้
หมอบอกให้ทำใจไว้บ้าง เพราะการผ่าตัดสมองเป็น
การผ่าตัดที่เสี่ยงมาก โอกาสที่คนไข้จะเสียชีวิตมีมาก แม้
การผ่าตัดจะประสบความสำเร็จก็ตาม อีกเรื่องก็คือค่าใช้
จ่ายในการผ่าตัดสมอง ค่อนข้างสูง เป็นหลักแสนบาท เมื่อ
รวมกับค่ายาระหว่างพักฟื้น คิดแล้วน่าจะต้องใช้เงินราวๆ
ห้าแสนบาท
ฉันได้ยินแล้วแทบลมจับ ฉันจะไปหาเงินห้าแสนบาท
มาจากไหน ลำพังเงินเก็บของฉันกับแม่ยังมีไม่ถึงห้าหมื่น
บาทเลย แต่ยังไงฉันก็ต้องรักษาแม่ให้หายส่วนเรื่องเงินไว้คิดทีหลัง
หลังการผ่าตัดเสร็จสิ้นลงเป็นโชคดีของแม่ทีการผ่าตัด
ประสบผลสำเร็จและไม่มีอาการแทรกซ้อนใดๆทางโรงพยาบาลบอกให้พักฟื้นประมาณหนึ่งเดือนก็สามารถไปพักฟื้นที่บ้านได้
ทางโรงพยาบาลแจ้งรายการค่าใช้จ่ายทั้งหมดมาให้ฉัน ปรากฏว่าเป็นเงินจำนวนไม่ถึงหนึ่งพันบาทเป็นค่าติดต่อประสานงานเท่านั้น
ฉันแปลกใจมากจึงสอบถามกับนางพยาบาล นางพยาบาลบอกว่าคุณหมอที่เป็นคนผ่าตัดและเป็นเจ้าของไข้ บอกไม่ให้คิดเงินกับฉันและแม่ โดยที่ทางโรงพยาบาลก็ไม่ทราบสาเหตุ
ฉันจึงขอพบคุณหมอคนนั้นเพื่อขอบคุณ นางพยาบาลบอกว่าหลังจากเสร็จคุณหมอก็ถูกส่งตัวไปต่างประเทศทันทีเพื่อศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการผ่าตัดสมองที่อเมริกา แต่คุณหมอได้ฝากจดหมายไว้ให้ฉันกับแม่
โดยกำชับกับทางโรงพยาบาลให้ฝากให้ฉัน พร้อมกับใบเสร็จค่าใช้จ่ายอื่นๆ ของทางโรงพยาบาลในวันที่แม่สามารถออกจากโรงพยาบาลได้
เมื่อกลับถึงบ้าน ฉันกับแม่ก็เปิดอ่านจดหมายของคุณหมอคนนั้น เมื่ออ่านจบทั้งฉันและแม่ก็ร้องไห้ออกมาพร้อมกัน
เนื้อความในจดหมายมีดังนี้
ข้าพเจ้านายแพทย์เดชา ทองวิจิตร แพทย์ผู้ผ่าตัด นางสมพร ภู่จันทร์
ขอสรุปค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดทั้งหมดดังนี้
ค่าผ่าตัด 0 บาท
ค่ายาทั้งหมด 0 บาท
ค่าใช้จ่ายอื่นที่เหลือ 0 บาท
รวมเป็นเงินทั้งหมด 0 บาท
ป.ล. ค่าใช้จ่ายทั้งหมดได้รับแล้ว เมื่อยี่สิบปีก่อนด้วย ยาแก้ปวด ยาธาตุ ส้มหนึ่งถุง
ขอให้สุขภาพแข็งแรงไปอีกนานๆ นะครับคุณน้า
นายแพทย์เดชา ทองวิจิตร
10 พฤษภาคม 2551 10:42 น.
ฝากฝัน
หลายวันมาแล้วที่พี่ๆน้องๆเขาจัดเสื้อผ้าเพื่อเตรียมตัวสำหรับเปิดเทอมใหม่ พี่ดีใจที่จะเปิดเทอมจะได้เจอเพื่อน ลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งที่อยู่บ้านเดียวกันกำลังตื่นเต้นกับเสื้อผ้าที่พ่อแม่เพิ่งซื้อใหม่
ป่านเฝ้าดูพวกเขาตื่นเต้น น้ำตาค่อยๆไหลพยายามไม่มองไปที่พวกเขา เธอเบี่ยงหน้าหนีทุกครั้งที่พวกเขามาดีใจกันข้างที่นอนของป่าน
ใช่ ปีที่แล้วในช่วงเวลาอย่างนี้ป่านก็เป็นอย่างพวกเขาดีใจที่จะได้ไปโรงเรียน เจอเพื่อน ได้วิ่งเล่นกับเพื่อน เอางานประดิษฐ์ของตัวเองที่ทำในช่วงปิดเทอมไปอวดเพื่อนซึ่งเป็นทักษะพิเศษของป่านที่จะเอาเถาวัลย์ หรือเมล็ดไม้มาแปลงเป็นของเล่นสารพัด
แต่ปิดเทอมนี้ป่านไม่มีโอกาสสร้างงานประดิษฐ์เลย นับตั้งแต่ก่อนสอบปลายปีที่ป่าน ล่มหมอนนอนเสื่อ จนพ่อต้องพาเทียวเข้าเทียวออกโรงพยาบาล แต่ก็หาสาเหตุไม่เจอสักที ป่านรู้แต่ว่า ปวดท้องบ่อย ทานอะไรไม่ได้ ทานแล้วอาเจียนตลอดเวลา
พ่อจ๋า หนูเป็นอะไร ทำไมหนูไม่หายซะที เป็นคำถามซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกวัน ที่พ่อต้องคะยั้นคะยอให้ป่านทานยา
หมอบอกว่าลูก น่าจะเป็นโรคกระเพาะนะลูก นี่หมอให้ยามาเดี๋ยวก็หายพ่อก็เฝ้าตอบปลอบใจอย่างนั้นทุกครั้ง ก่อนที่จะชวนลูกหัดนั่งสมาธิ
เราต้องฝึกสมาธินะลูก เพ่งไปที่กระเพาะ จะได้หายไวๆ ช่วยยาหมออีกแรงหนึ่ง
ป่านค่อยฝึกสมาธิได้ครั้งละนานๆแต่ร่างกาย ก็ค่อยๆผอมลงเรื่อยๆ ในขณะที่พ่อก็พยายามพาป่านไปหาหมอทุกโรงพยาบาลและทุกสำนักที่เขาว่าดี
ป่านเคยร้องไห้ลุงฝากฝันแกงเขียวหวานให้กิน เมื่อคราพ่อพามาหาหมอที่ โรงพยาบาลรามา
ป่าน หนูอยากกินอะไรมั่ง เดี๋ยวลุงทำให้
หนูอยากกินแกงเขียวหวาน ค่ะ
แต่หนูสัญญากะลุงก่อนนะว่า กินแล้วหนูจะไม่อ้วก เพราะลุงเสียดาย นะ
ฝากฝัน ย้ำเพื่อเย้าเล่น เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่ฝากฝันไปสกลนคร เด็กหญิงป่าน วัย11 ขวบนี่แหละที่กระตือรือร้นหาโน้นหานี่มาชวนฝากฝันกิน แล้วก็ชอบย้ำว่า กินให้หมดนะ กินไม่หมดจะไม่หามาให้กินอีก
ค่า หนูสัญญาว่าจะไม่อ้วก เป็นคำยืนยันที่คล้ายๆกับฝากฝันเคยยืนยันกับเขา
ครั้งนั้นเมื่อแกงเขียวหวานไก่สุกได้ที่ฝากฝันยกมาให้กิน ป่านตักใส่ปากไปได้ช้อนหนึ่ง ป่านเงยมองหน้าฝากฝัน แล้วพยายามจะกลืนลงไปให้ได้ เหมือนกลืนยากกลืนเย็น แต่ก็สำเร็จ ป่านยิ้มน้อยๆเหมือนจะบอกว่า เห็นมั๊ย หนูทำสำเร็จแล้วนะที่สุดป่านก็กินได้สามสี่คำก็ยอมแพ้
เมื่อสี่ห้าวันก่อนพ่อของป่านโทรฯมาบอกว่าป่าทรุดลงเยอะ จะพาป่านมาหาหมอที่โรงพยาบาลรามาอีกครั้ง แต่ฝากฝันก็ยุ่งงานหลายอย่างไม่ได้ไปเยี่ยมสักที
เมื่อวานฝากฝันไปเยี่ยมป่านที่โรงพยาบาล เจอป่านนอนบนเตียง ในสภาพผอมมากๆ เขาพยายามยกมือไหว้ แต่ดูเหมือนแขนจะยกไม่ขึ้น มีแต่รอยยิ้มน้อยๆที่ยังคงเป็นป่านคนเดิม ป่านพูดไม่มีเสียงแล้ว น้ำตาป่านค่อยไหลออกทางหางตา ฝากฝันเช็ดให้แล้วพยายามถามว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง
ปวดมั๊ยลูก ป่านพยักหน้าแสดงอาการปวดจนหน้าบิดเบี้ยว..น้ำตาไหลแต่ไม่รู้ว่าจะทำไง ก่อนมาเยี่ยมพ่อของป่านบอกว่า หมอเพิ่งพบเมื่อสองวันที่แล้วว่าป่านเป็นมะเร็ง ตอนนี้ลามไปทั่ว มะเร็งเริ่มที่ตับ หมอทั่วไปตรวจอย่างไงก็สันนิฐานว่าเป็นกระเพาะ รักษาผิดทางมานาน..
เราจะทำอย่างไรดี ฝากฝันถามพ่อของป่าน
รอพี่ รอปาฎิหาริย์
อือ..เป็นคำตอบที่แสดงถึงความจนปัญญาของผู้ที่เป็นพ่อที่เกินกว่าจะจัดการหรือทำอะไรได้..
ฝากฝันเหลือบมอง กระถางธูปที่มีก้านธูปเก่ามีรอยไหม้จนแทบเต็มกระถาง ใช่..ปฏิหาริย์ ถ้ามีจริงต้องมาช่วยป่าน เด็กน้อยผู้น่ารัก คนนี้ให้ได้ แล้วในกระถางก็เพิ่มธูปที่เพิ่งจุดใหม่อีกสามดอก เพื่อรอปฏิหาริย์
ฝากฝัน
๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๑
18 พฤศจิกายน 2550 02:32 น.
ฝากฝัน
บันทึกความเหงา(2)
มุกดาหาร..โรงแรมมุกธารา...ห้อง๓๐๖ ..
วันนี้ตื่นนอนที่อำเภอกุดบาก สกลนครแต่เช้า...ด้วยอาการงัวเงียที่สุด...เมื่อคืนนอนดึกมากๆ(ตีสองครึ่ง)เพราะชาวบ้านลากไปงานบุญ ต่างหมู่บ้าน....ต้องรอกลับพร้อมกัน..เลยอดเขียนบันทึกของตัวเอง
เส้นทางจากอำเภอกุดบาก ไป อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร คดเคี้ยวไปตามความเว้าแหว่งของเทือกเขาภูพาน...จากฟากหนึ่งไปอีกฟากหนึ่งของภูเขา ระยะทาง ร้อยกว่ากิโลฯนิดๆ ใช้เวลา ๒ ชั่วโมง
มันไม่ใช่ ๒ ชั่วโมงของความยากลำบากของเส้นทาง..แต่มันเป็น ๒ชั่วโมงของการชมความงาม..สองข้างทาง...เปิดหน้าต่างรถชมหมอกเหมยที่คลอยอดหญ้า..และแมกไม้สองข้างทาง ถ้ามีใครสักคนที่รู้ใจนั่งเคียงข้าง..ช่วยกันชี้ชมสิ่งที่ผ่านเข้ามาทางสายตา...ฉันว่ามันเป็นความสุขที่ล้นเหลือ..และเวลา 2ชั่วโมงก็คงไม่พอแน่เลย....แต่มันเป็นได้แค่ความคิดเท่านั้นเอง
ชาวตำบล ดงหลวง ตำบลพังแดง เป็นชนเผ่าบรู(ชาวโส้..อพยพมาจากฝั่งลาวเมื่อ ๒๐๐ กว่าปีที่ผ่านมา)ที่อาศัยอยู่เชิงเทือกเขาภูพานฝั่งตะวันออก ...)พวกเขาไม่ชอบให้คนอื่นเรียกว่าโส้ เพราะมันเป็นความหมายเชิงดูถูก เพราะคำว่าโส้แปลว่าคนป่า
ใครจะรู้บ้างว่า..พวกเขาเป็นชาวบ้านที่น่ารักมาก...หาอยู่หากินกับป่าเป็นหลัก..ถ้าปลูกพืชผัก ก็เป็นพืชผักพื้นบ้าน .ผักหวาน และสารพัดพืชผักป่า..ปกติเมื่อฉันมาเยี่ยมพวกเขา..เขาต้องให้ฉันนอนกับพวกเขาที่กระท่อมในสวนป่าส่วนตัวใกล้ๆหมู่บ้าน..พวกเขา ร่วมๆ ยี่สิบคนก็จะขนอาหารมาทำกินร่วมกัน(ตุ้มโฮม) ใครมีไก่บ้าน..มดแดง..ผักหวาน..ปลา..หรือผักต่างๆก็เอามา.....ไม่มีหมู...ไม่มีเนื้อวัว ...อาหารทุกอย่างถูกปรุงสุกด้วยกระบวนการหลามด้วยไม้ไผ่...และใช้หม้อเท่าที่จำเป็นมากๆเท่านั้น..และที่ขาดไม่ได้ก็ เจ้าอุ.เหล้าแกลบ. ตบดินพอก...เติมน้ำ...ตอกหลอดไม้ซาง.. อือ..แค่พูดก็น้ำลายหกแล้วหล่ะ...
กว่าจะหลับลงได้แต่ละครั้ง..พวกเขาช่วยกันเล่าตำนาน....วีรกรรมของแต่ละคนเมื่อครั้งยังเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิตส์แห่งประเทศไทย....ครั้งหนึ่งสำหรับพวกเขาในชุมชนแห่งนั้น... แม้แต่หมาก็หมาคอมฯ พวกเขาทั้งหมู่บ้านเข้าป่าเป็นคอมมิวนิตส์ขับปืนต่อสู้กับรัฐบาล...แล้ววันหนึ่งพวกเขาก็พ่ายแพ้..กลับสู่หมู่บ้าน...ยอมเข้าเป็นสมาชิกผู้เข้าร่วมพัฒนาชาติไทย....พวกเขาเป็นฮีโร่ในป่า..แต่ไร้เดียงสามากสำหรับในเมือง...พวกเขาตรงๆ ..ดุดัน...ดื้อ...แต่น่ารัก
เมื่อ 9 ปีที่แล้ว ในพื้นที่เหล่านี้หน่วยงานรัฐแทบจะเข้าไปทำงานในพื้นที่ไม่ได้ สำนักงานปฎิรูปที่ดิน เขาทำโครงการพัฒนานาชุมชน...เขาขอแรง (จริงๆแล้วคือจ้าง) ให้ฉันช่วยเข้าไปทำงานที่นี่...ฉันพกความซื่อใส..ตรงไปตรงมาและความจริงใจ ตั้งใจจริง เข้าหาพวกเขา.....ฉันต้องใช้เวลาถึง 3 วันกว่าจะชวนชาวบ้านที่นี่มานั่งคุยกันได้ ฉันไปนอนอยู่ในศาลากลางหมู่บ้านโดยไม่มีผ้าห่ม เสื่อหรือหมอน แต่อย่างใด 2 คืน แต่ละวันใช้เวลาเดินคุยไปเรื่อยๆ จนผู้นำชาวบ้านยอมรับ และหลังจากนั้นเป็นต้นมาเขายอมรับและรักฉัน
แต่สำหรับวันนี้..ฉันไม่ไหวแล้วเหนื่อยมากๆ...จริงๆแล้วกะว่าเสร็จจากการประชุม ในหมู่บ้าน แล้วจะตีรถกลับปทุมธานีเลย....แต่เมื่อถามร่างกายตัวเอง...มันก็บอกว่า...ไม่ไหวแล้ว...ก็เลยตัดสินใจเข้าเมืองมุกดาหาร ...
เดินเล่นริมน้ำโขง....มองดูแสงไฟวับแวมสะท้อนแสงในลำน้ำจากฝั่งลาวอันเงียบสงบแล้วเหงามาก...ตลิ่งที่สูงชัน.ทำให้.คิดถึงบางบทกลอนของสุรชัย จันทิมาธร นักร้องเพลงเพื่อชีวิตวงคาราวาน
ตลิ่งของสองข้างทางน้ำของ*
แม้ยืนมองอยู่หยั่งคอตั้งบ่า
เขาหาบน้ำตามขั้นบันใดมา
จากตีนท่าลื่นลู่ดังถูเทียน
แต่ละวันเหงื่อไหลลงโทรมร่าง
แต่ละย่างก้าวพันสั่นถึงเศียร
อันความทุกข์มากมายหลายเล่มเกวียน
ก็วนเวียงอยู่กับของสองฝั่งเอย
* ของ...คือ...โขง
2 พฤศจิกายน 2550 09:18 น.
ฝากฝัน
บันทึกความเหงา(1)
จาก:เมืองแพร่ 27 ส.ค. 50
ท้องฟ้าที่ยังคงฉ่ำฝน..หลังจากฝนกระหน่ำอย่างหนักหน่วงเมื่อคืนที่ผ่านมา.... สายน้ำในแม่น้ำยมตรงช่วงตำบลปากกาง อำเภอลอง..จังหวัดแพร่..วันนี้สีแดงด้วยฝุ่นโคลนดั่งสีของน้ำชาใส่นมแต่กลับถาโถมไหลเชี่ยวกราก..กวาดล้างหญ้าและต้นไม่เล็กๆที่งอกอยู่สองฟากฝั่งของแม่น้ำอย่างไร้ความปราณี..
หลายวัน....นานนับสองอาทิตย์ที่ฝนทะยอยตกในถิ่นแถบนี้...ค่อยเติมน้ำลงแม่น้ำยมสูงขึ้นทุกวัน..ภูเขาที่เตียนโล่งสองด้วยอิทธิพลของราคาข้าวโพดที่พุ่งสูงถึงกิโลฯละ 7 บาทของปีที่ผ่านมาและกระแสความร่ำรวยจากยางพารา..โหมกระหน่ำจนเกษตรกรเกิดความโลภอย่างถึงที่สุด..เครื่องเลื่อย..รถไถ..ถูกขนขึ้นภูเขา..วันแล้ววันเล่าจนไม่เหลือแม้แต่ต้นไม้ที่เคยเป็นอาหารและหยูกยา....
พวกเขาโค่นต้นไม้ขนาดใหญ่ที่เติบโตมานานหลายปีลงภายในพริบตา..แล้วปลูกข้าวโพดต้นเท่านิ้วมือ..และหวังร่ำรวยด้วยเวลาเพียงข้ามปี...สาธุ..กับความคิด..และแวบหนึ่งของความสงสารเกษตรกรเหล่านั้นและสงสารประเทศไทย..ที่กำลังพัฒนาผืนแผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์ให้เป็นทะเลทราย..
สองมือของฉันยังคงบวมและช้ำจากการโหมปลูกต้นไม้ในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา..ขณะยืนดูน้ำในแม่น้ำแล้วเงยหน้ามองภูเขาหัวโล้นที่ไกลตาออกไป...บางวูบแห่งอารมณ์ก็อดสะใจไม่ได้เมื่อเกิดกรณีดินถล่ม....ปกติธรรมชาติคือผู้ให้..แต่เมื่อมนุษย์ไม่รู้จักเพียงพอก็สมควรที่จะถูกธรรมชาติลงโทษบ้าง...ไยคนต้องรอให้เกิดเหตุการณ์สูญเสียผ่านน้ำตาก่อนถึงจะได้เริ่มแก้ไข....และมักจะสายเสมอ
เสียงตะโกนจากเจ้าหน้าที่ องค์การบริหารส่วนตำบลปากกาง ร้องบอกว่าชาวบ้านดักปลากกดคังขนาดใหญ่ได้จากแม่น้ำ..เขาเสนอขายปลากดคังราคา ก.ก.ละ 100 บาท..ปลาตัวนั้นหนัก 11 กิโลกรัม รวมแล้วราคา 1,100 บาท..ฉันเดินไปดู..ปลาใหญ่ตัวนี้.มีลูกตาที่ฝ้ามัว..
เข้าใจว่าอาจจะโดนฝุ่นโคลนในน้ำก็เป็นได้..หรือเป็นเพราะฉันตาฝาดก็ไม่รู้...ได้แต่คิดในใจ..หากเขาช่วยกันรักษาแม่น้ำ..รักษาป่า..พวกเขาอาจจะมีปลาให้กินมากกว่านี้..เพราะปลาราคาตัวละพันกว่าบาทซึ่งต้องใช้ข้าวโพดถึง 200 กิโลกรัมกว่าจึงจะพอ..
วันนี้ออกจากหมู่บ้านตอนบ่ายสามโมง..ตอนแรกกะว่าจะเดินทางเข้าเมืองน่านแต่ลูกน้องบอกว่าพื้นที่ๆจะลงพรุ่งนี้อยู่ตรงรอบต่อระหว่างจังหวัดแพร่กับน่านที่อำเภอร้องกวาง..แพร่..กับ..อำเภอเวียงสา..น่าน ดังนั้นน่าจะนอนที่แพร่ต่อ.เช้าค่อยเดินทางลงพื้นที่..
เมื่อเดินทางระยะสั้นๆไม่เร่งรีบ..ก็ถือโอกาสแวะที่บ้านนาตุ้ม..ต.บ่อเหล็กลอง..เพื่อเยี่ยมเยือนผู้ใหญ่จืด.เพราะนานแล้วที่ไม่ได้พบปะกัน .แต่เจตนานาแฝงของฉันอยู่ที่หมอนวดของหมู่บ้านนี้..ซึ่งเป็นหมอนวดที่เพิ่งเรียนรู้(ฝึกหัด)..และเพื่อไล่ความเมื่อยล้าจากการขับรถทางไกล...การนวดน้ำมันสักชั่วโมงช่วยให้สดชื่นขึ้นมาก..
เงินร้อยบาท..สำหรับสุขภาพของตัวเอง...ไม่แพงหรอก..ที่สำคัญหมอนวดเหล่านั้นอยู่ในช่วงเรียนรู้และพัฒนาฝีมือตัวเอง..การตั้งใจไปหา....คือการให้กำลังใจและสร้างความเชื่อมั่นให้กับพวกเขาที่จะต้องพัฒนาฝีมือไปเรื่อยๆอย่าหยุดยั้ง..ด้วยความหวังลึกๆว่าพวกเขา 4-5 คนคือผู้ดูแลสุขภาพของชาวบ้านในชุมชน...
ขณะนอนนวด..มีชาวบ้านสองสามคนนำเห็ดเผาะมาขายที่บ้านผู้ใหญ่บ้านในราคาลิตรละ 70 บาท..ฉันถามผู้ใหญ่บ้านว่าใครทำเห็ดเผาะกินอร่อยบ้าง....ตกลงเย็นนี้ตัดสินใจกินข้าวเย็นที่หมู่บ้านมื้อหนึ่ง..พอเวลาใกล้อาหารมีชาวบ้านนำกับข้าวมาร่วมวงอีกสี่ห้าคน..นับว่าครึกครื้นมาก.. ประมาณ 90 เปอร์เซนต์ของอาหารมื้อนี้ล้วนมาจากป่าจากธรรมชาติทั้งสิ้น..แกงเห็ด... แกงปลา..แกงกบ..ปู ..อึ่ง..ผักนึ่ง..สารพัดผักที่ออกในหน้าฝน .....ฮืม..คั๊ดท่อง (สำนวนของ ตามล
..น้องจากลำปาง..คั๊ดท้อง....อิ่มมากจนแน่นท้อง)
สิ้นอาหาร..หมดนิทานแห่งความคิดถึง...จึงรำลาจากกันตอนสองทุ่ม..ขับรถมาตามเส้นทางคดเคี้ยวในภูเขากลับเข้าเมืองด้วยความสุขใจ...คืนนี้ฉันนอนที่ โรงแรมภูมิไทการ์เด้น..ห้อง103
1 พฤศจิกายน 2550 22:54 น.
ฝากฝัน
บันทึกความเหงา
จาก:สวนฝากฝัน
24 ส.ค.50
ย่างเข้าคืนที่สองแล้ว..ที่มานอนอยู่ในสวนฝากฝัน.คืนนี้ช่าง
มืดมิดไปทั่วทุกทิศ...ท้องฟ้าฉ่ำด้วยเมฆฝน...อากาศเย็นชื้นด้วย
ละอองฝนเมื่อเย็นที่ผ่านมา..เสียงจักจั่น..จิ้งหรีดเรไรร้องระงม
ดั่งจะแข่งขันประชันเสียง..........เขียดน้อยในคลองหลังกระท่อม.
ส่งเสียงกระชั้นเริงร่าหาคู่..จนแสบแก้วหู...ได้แต่ภาวนาให้มันรีบ
หาคู่เจอไวไว.......จะได้เงียบเสียงลงไปบ้าง.
แมลงเม่าหนุ่มสาวลิงโลดกับสายฝนพากันบินมาหยอกล้อเกี้ยว
พาราสีรอบๆแสงไฟ....ก่อนจะสลัดปีกบางๆและเกี่ยวข้อยควงกันไป
หาซอกดินเพื่อสร้างรังรัก...โดยไม่แยแสต่อสายตาของอึ่งอ่าง..คางคก
ที่มาคอยดักตวัดลิ้นยาวม้วนเข้าปากก่อนจะคายปีกทิ้งอย่างไม่ใยดี...
จิ้งจกไต่อยู่ใต้หลังคาคอยจ้องคาบไว้ในปากก่อนจะสลัดหัว..เสียง
ปากกระทบหลังคาถี่ถี่..เพื่อหยุดการดิ้นรนของแมลงเม่าอย่างไม่กลัว
เจ็บปากก่อนจะกลืนกิน.และคอยจ้องจับตัวต่อไป..อย่างอดทน
คนงี่เง่ามักเปรียบเปรย..คนที่กระทำสิ่งหนึ่งสิ่งได้โดยไม่คำนึง
ถึงชีวิต...ว่า เหมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ.. แต่สำหรับฉันกลับ
มองว่า..การใช้ชีวิตเพื่อการดำรงอยู่...และความรักเป็นสิ่งที่หอมหวล
และท้าทาย..บางครั้งการได้มาซึ่งความรักอาจต้องใช้ความพยายาม..
ความอดทน ทุ่มเท..หรือต้องวางชีวิตเป็นเดิมพัน
สำหรับแมลงเม่าเอง...เพื่อให้การดำรงอยู่ของเผ่าพันธุ์อาจ
จะต้องแลกด้วยชีวิต..คุ้มหรือไม่ฉันไม่รู้..หรือบางคนอาจจะคิดว่า
นี่..เป็นธรรมชาติของปลวกก็ตาม..แต่ก็พบว่าปลวกไม่เคย
หายไปจากโลก..พวกมันกลับกล้าพลีชีพเพื่อสร้างงานสร้างเงิน
ให้กับคนอย่างเต็มใจ...และไม่เคยเรียกร้องส่วนแบ่งของชีวิต
เลย...สงสารปลวกจัง..ที่ยอมตายเพื่อให้คนกำจัดปลวกได้เงิน.
นี่หรือความเป็นธรรม
ยามดึกดื่น.. สายลมพัดแผ่วๆ..อารมณ์เหงา..เศร้า..มักจะ
มาเยี่ยมในเวลาเช่นนี้เสมอ..แต่การอยู่กับความเหงามานาน
วันค่อยๆฝึกให้ฉันเริ่มชินชา..และพัฒนาก้าวข้ามสู่การบันทึก
ความเหงา...พยายามมองทุกอย่าง..อย่างเข้าใจ...สร้างให้ทุก
สรรพสิ่ง..ก้อนหิน..ดิน..ต้นไม้..สรรพสัตว์ มีชีวิตมีวิญญาณที่
สื่อสารกับฉัน..กระทั่งร้อยเรียงเป็นตัวหนังสือและเป็นตัว
ละครแห่งความเหงา
ตอนกลางวัน..เอาความเหงา..ความเศร้าทั้งมวล..
ใส่หม้อแห่งอารมณ์แล้วต้มกลั่นเป็นหยดเหงื่อโดยมีจอบเป็น
เชื้อเพลิง..และมีต้นไม้พืชผัก..เป็นผลิตภัณฑ์แห่งความเหงา .
ขอบคุณแม่ธรณีที่ให้โอกาส...ขอบคุณบริษัทจอบตราจระเข้
ที่ผลิตเครื่องมืออันแข็งแกร่ง...แม้จอบไม่หวั่นไหวแต่มือ
ไม้ของฉันเริ่มหนาและบวมเป็นตุ่มใส..มองมือ.แล้วมองไม้
ที่ปลูก..ความสุขใจ..ก็ก่อเกิด....อย่างน้อยฉันก็เป็นหนึ่งใน
คนสร้างโลก..แม้จะไม่ยิ่งใหญ่ใดใดก็ตาม
ใครบางคนบอกว่าต้นไม้มีรุกขเทวดา..ฉะนั้นวันนี้ฉันได้
สร้างเทวดาขึ้นมาอย่างน้อย แปดสิบสามองค์....และพรุ่งนี้จะมี
ลูกน้องมาช่วยอีก สามคน..คาดว่าจะสามารถสร้างเทวดาได้อีก
สัก สี่ร้อยองค์..ฉันกะว่าจะสร้างเทวดาทั้งหมดไม่น้อยกว่า
สองหมื่นองค์... ซึ่งตอนนี้ก็นับว่าใกล้ความจริงเข้าไปมากแล้ว
หละ..บางทีการมีเทวดามากๆอาจจะช่วยให้คลายเหงาได้บ้าง...
และเทวดาเหล่านั้นก็คงไม่หมางเมินกับฉันเหมือนที่ฉันโดน
อย่างทุกวันนี้.....ก็พอแล้ว..ใช่มั๊ย