11 พฤศจิกายน 2553 20:02 น.
ผู้สัญจร
ฉันเกลียดจันทร์กระจ่างที่กลางฟ้า
เกลียดน้ำตาที่ไหลจากใครคนหนึ่ง
เกลียดแม้เสียงร่ำไห้ที่คล้ายรำพึง
เกลียดความซึ้งทดท้อที่ล่อลวง
เกลียดอาทิตย์ลับลากับฟ้ามืด
เกลียดกำพืดของใครบอกใจห่วง
เกลียดทุกการกระทำที่ช้ำทรวง
เกลียดคำหวงที่เขาบอกเรามา
เกลียดถนนทอดผ่านหน้าบ้านเขา
เกลียดที่เราไม่อาจมีวาสนา
เกลียดในสิ่งที่ใครเคยให้สัญญา
แล้วร้างลาจากไปไม่ใยดี
เกลียดทุกคำที่เอ่ยเหมือนเคยรัก
เกลียดความหนักในจิตอยากคิดหนี
เกลียดความมีน้ำใจมากไมตรี
ที่เขามีให้คนอื่นอีกหมื่นพัน
เกลียดสายตาที่จ้องมองของเขา
เกลียดความเหงาที่อยู่เป็นคู่ฉัน
เกลียดรอยยิ้มที่ทำเหมือนกำนัล
แต่ว่ามันเจือพิษที่ฤทธิ์แรง
ฉันเกลียดฟ้าเกลียดดินทุกถิ่นที่
เกลียดความดีความงามนิยามแฝง
เกลียดทุกอย่างที่ทำและสำแดง
ที่เสแสร้งให้ตระหนักว่ารักเรา...
********
20 ตุลาคม 2553 18:33 น.
ผู้สัญจร
โอ้ว่าน้องกากีของพี่เอ๋ย
พี่ไม่เคยทำเจ้าให้เศร้าหมอง
แม้สนมมากมายไม่หมายมอง
เทียบเท่าน้องกากีของพี่ยา
ณ เวียงวังครั้งหนึ่งยังซึ้งจิต
สองเราชิดอิงแอบแนบนาสา
พี่เชยปรางวางหัตถ์ทัดมาลา
กลิ่นกายาเจ้าจรุงอบอุ่นใจ
ต่อให้ทิพย์วิมานสำราญอาบ
ยังไม่ทาบเทียมเท่าตัวเจ้าได้
แม้หมดสิ้นบัลลังค์เวียงวังชัย
จะหวั่นใยมีเจ้าเยาวมาลย์
แต่เมื่อน้องหายไปฤทัยพี่
ดวงฤดีเหมือนปักหลักประหาร
พี่เจ็บจนเจียนตายแทบวายปราณ
ทรมานแทบสิ้นทั้งอินทรีย์
ความคะนึงดึงจิตแทบคิดคลั่ง
ทั้งเวียงวังแผ่นดินทุกถิ่นที่
เฝ้าตามหาขวัญตาเจ้ากากี
แต่ไม่มีร่างเจ้าพี่เศร้าใจ
โอ้ว่าน้องกากีของพี่เอ๋ย
เจ้าโปรดเผยร่างหอมจะยอมให้
ทรัพย์สมบัติพัสถานประการใด
ทั้งหทัยกษัตริย์เฒ่าให้เจ้าเอย...
************
2 ตุลาคม 2553 08:05 น.
ผู้สัญจร
เขาเขียนกลอนหวานหยดจนมดลื่น
กลอนพื้นพื้นอย่างเราดูเงาหัว
จะกระดิกเขียนต่อก็กลัวกลัว
ตาก็มัวใจก็หายแทบตายลง
เขาเขียนกลอนฝากรักดูหนักแน่น
มองถึงแก่นแทนใจใครประสงค์
กลอนของเราริบหรี่ในซี่กรง
ออกงงงงงวยงวยใครช่วยที
เขาเขียนกลอนอ้อนกันวันละหน
เหมือนสายฝนหล่นจากตรงฟากนี้
เราเขียนกลอนอ้อนตัวเราเศร้าฤดี
กลอนที่มีใครจะอ่านให้ผ่านตา
เขาเขียนกลอนรำพันดูสรรค์สร้าง
ยอดพระปรางค์ปวงเทพเสพหรรษา
เราเขียนกลอนงึมงำถ้อยคำพา
เขียนถึงหญ้าถึงคนที่จนใจ
เขาเขียนกลอนลำนำถ้อยคำหรู
เรามองดูอยู่นานขอขานไข
คุณประดิษฐ์คิดค้นจากหนใด
เลิศวิไลถ้อยคำจำนรรจา
เขาเขียนกลอนแข่งกันประชันถ้อย
กลอนกระจ้อยของเราไม่เข้าท่า
กลอนนิดนิดน้อยน้อยด้อยราคา
แต่คุณค่าในเราเกินเข้าใจ....
**********
22 กันยายน 2553 02:08 น.
ผู้สัญจร
เสียงกระสุนสาดสัดดุจยัดเยียด
ร่างถูกเบียดล้มกลิ้งแล้ววิ่งหนี
บนถนนลั่นไกไม่ไยดี
เขาไม่มีเมตตาจึงฆ่าลง
ทั้งแม่พ่อรอรับลูกกลับบ้าน
บอกอย่าต้านรัฐเขาประสงค์
ด้วยอำนาจอิทธิฤทธิ์พร้อมปลิดปลง
ขอลูกจงเจียมกายอย่าหมายมา
ทั้งเมียรักบอกว่าอย่าเลยพี่
เป็นหน้าที่ของเราหรือเปล่าหนา
คนอื่นอีกมากมายไม่นำพา
พี่จงอย่ามาให้ใครฆ่าฟัน
ลูกบอกว่าพ่อไปทำไมนะ
แล้วลูกจะอยู่ได้อย่างไรนั่น
จะไปขออธิปไตยให้ใครกัน
หรือไม่หวั่นความตายใต้หลักการ
เขาหลบตาลูกเมียและพ่อแม่
ใจแน่วแน่เดินออกไปนอกบ้าน
หวังประชาธิปไตยได้ผลิบาน
ขอต่อต้านรัฐแม้จะพลี
เสียงกระสุนสาดสัดดุจยัดเยียด
ร่างถูกเบียดล้มกลิ้งลุกวิ่งหนี
ห่ากระสุนสัดสาดขาดปรานี
ร่างเป็นผีในท่าลืมตาโพรง...
----------------
13 กันยายน 2553 20:09 น.
ผู้สัญจร
มองสายน้ำไหลบ่าท่วมนาข้าว
สายน้ำยาวท่วมนาสุดตาเห็น
มือถือเคียวเกี่ยวกำสุดลำเค็ญ
เคียวกระเด็นจากมือที่ถือรอ
ทรุดร่างลงคันนาใบหน้าเศร้า
ต้นกล้าเน่าส่งกลิ่นแผ่นดินท้อ
มือหยาบกร้านงานหนักคอยถักทอ
หวังเกี่ยวกอข้าวรวงก่อนร่วงดิน
นาผืนน้อยคอยเคียวมาเกี่ยวข้าว
ใกล้ลมหนาวน้ำหลากมาพรากสิ้น
ผืนนาล่มจมน้ำที่ทำกิน
มองทรัพย์สินสิ้นไร้หรือใช้กรรม
นั่งเหม่อมองท้องนาน้ำตาหลั่ง
น้ำท่วมขังนาข้าวจนขาวคล้ำ
นาปีก่อนน้ำแห้งหมดแรงดำ
ปีนี้กำต้นกล้าอ่อนล้าใจ
ธรรมชาติสร้างสรรค์มหรรณพ
สร้างจุดจบให้มนุษย์สุดวิสัย
หรือเวรกรรมทำสร้างแต่ปางใด
ลงทัณฑ์ให้ชาวนาน้ำตาริน
วัฏจักรเวียนวนทั้งฝนแร้ง
ชะตาแกล้งกำหนดให้หมดสิ้น
เป็นกระดูกสันหลังใกล้พังภินท์
รอผืนดินกลบหน้าน้ำตาคลอ
**************