2 เมษายน 2546 06:26 น.
ผีขี้เมา
....ไปด้วยกันสิ....
....ไปด้วยกันไหม....
ฟังเรไรกล่อมทุ่งยามรุ่งสาง
กรุ่นกลิ่นความเหงาเศร้าอยู่เบาบาง
หอมกลิ่นความเวิ้งว้างอยู่บางเบา
เพื่อจะได้หัวเราะด้วยเสียงสะอื้น
คลอคลื่นโน้มหน่วงของรวงข้าว
เพื่อน้ำตาสักดวงจักร่วงร้าว
มองดาวสักดวงจักร่วงลับ
....ไปด้วยกันไหม....
ฟังลมไกวคลื่นกราวคืนดาวดับ
ยอดคลื่นแตกดอกอยู่วับวับ
สะท้อนจับแสงดาวพราวเดือน
เพื่อจะได้ร้องไห้ด้วยรอยยิ้ม
สนิมน้ำตาพร่าเปื้อน
เพื่อสำนึกสุดท้ายสลายเลือน
ล้มเรือนกายลง ณ ตรงนั้น
....ไปด้วยกันสิ....
ไปดูการบานผลิของสีสัน
แห่งไม้ดอกยอดภูซึ่งชูชัน
ก่อนแสงวันค่ำพลบจะลบเลือน
เธอจะเห็นแสงตาดวงล้าอ่อน
ซึ่งแอบซ่อนแสงหม่นอยู่ปนเปื้อน
ไปดูความฝันที่ฟั่นเฟือน
ฝันของเพื่อนมนุษย์-ฝันสุดท้าย
....ไปด้วยกันเถิด....
เพื่อเห็นความบรรเจิดแสนเฉิดฉาย
ของล้านคำคารมความคมคาย
จากดวงหน้าขี้อายของเด็กน้อย
กุมมือเดินเคียง-ไร้เดียงสา
โตมากลางท่ามความต่ำต้อย
โครงร่างแตกเม็ดสะเก็ดรอย
เกี่ยวก้อยเขาเดินหยอกเอินไป
....ไปไหม...ไปเดินตากดาว
พรางพราวดาวเรืองชานเมืองใหญ่
ริมทางรางคดหมอนรถไฟ
ทอดไกลชานชาลาสถานี
เพื่อจะได้กอดอกตนเองก้าว
คืบเท้ายาวยาวดังก่อนกี้
กระเหย่งกระโดด-มือโบกวี
หัวเราะได้เต็มที่กับชีวิต
....ไปโจนโตนโตดยามดึกไหม...
แล้วจุดไฟก่อฟืนให้ตื่นติด
ลมแรงโชนไฟไสวทิศ
จิดริดหิ่งห้อยจะพลอยวับ
เพื่อการปรากฏภาพงดงาม
ไฟโผงดอกวามแล้ววูบดับ
เป็นดาวแห่งหล้า-คณานับ
ระยิบระยับสุกปลั่งไปทั้งภู
....ไปสิ...ไปด้วยกัน....
ความฝันมีไว้เพื่อไปสู่
อาจเป็นความฝันเศร้าที่ลาดปู
ณ รอยต่อฤดูและทางเท้า
แต่ก็เป็นความฝันอันหนึ่งเดียว
แม้หลั่งกรากหลากเชี่ยวด้วยเปลี่ยวเหงา
เมื่อน้ำตาสักดวงได้ร่วงเงา
ความสุขความเศร้า-ก็เท่านั้น
................