15 มิถุนายน 2553 13:36 น.
ผิงดาว อิงจันทร์
แล้วบางภาพที่พร่าเลือนก็เคลื่อนไหว
ปรากฏความเป็นไปอย่างขมขื่น
ปรากฏภาพความรักยากหยัดยืน
ปรากฏถ้อยกล่ำกลืนระหว่างกัน
ในภาพนั้นฉายว่า แท้แล้วรัก
มิประจักษ์สัมผัสได้อย่างใจฝัน
มิอาจก่อในรูปเงาความผูกพัน
อดีตกาลแค่คืนวันที่ล่วงไป
เคยคิดว่าแท้แล้ว ในเนื้อรัก
มีหน่อเนื้อเชื้อภักดิ์อยู่หว่างใจ
มีคุณค่า ความงาม หวานละไม
มีหยาดใสของละอองแห่งดวงดาว
แต่แท้แล้วความจริงรักที่เห็น
ล้วนขื่นเข็นลำเค็ญแสนปวดร้าว
ไม่มีหรอกละอองใดที่พร่างพราว
คงมีแต่เหน็บหนาวหยาดน้ำตา
ไม่มีหรอกความรักใดสุกสกาว
คงมีแต่ร้อนผ่าวทุกคราวไปฯ
13 มิถุนายน 2553 19:06 น.
ผิงดาว อิงจันทร์
ใครขโมยลมหายใจของดอกไม้
ยามเช้าที่พร่าไหวในม่านฝน
ดอกก็ช้ำ กลีบก็ร่วง ใบยับย่น
ปี้ป่นระครน้ำตาเจ้าแมลงปอ
ใครขโมยคนรักของผีเสื้อ
ที่จุนเจือน้ำหวาน , แลกหวานต่อ
ฟังสิฟังผีเสื้อเจ้าตัดพ้อ
ร้องขอลมหายใจคนรักคืน
ใครขโมยความเย็นฉ่ำของสายน้ำ
จึงร้าวกล่ำคร่ำครวญยากจะฝืน
ปลาน้อยใหญ่อาลัยเศร้าเต็มกลืน
ขมขื่นร่ำไห้ พร่ำรำพัน
ใครขโมยแววตาของเด็กน้อย
จึงเหลือแต่ริ้วรอย ฝอยดอกฝัน
จึงเหลือแต่ความเศร้าร้าวจาบัลย์
จึงเหลือเพียงแต่ขวัญคว้างกลางใจ
ใครขโมยความรักมนุษย์โลก
จึงเหลือเพียงเสียงโศกไม่สดใส
ใครขโมยความรักจากเราไป
จึงเหลือเพียงอาลัยไร้อารีย์
(ใครขโมยความรักจากพวกเราไป
คงแต่เสียงร่ำไห้ในปฐพี!)
10 มิถุนายน 2553 08:16 น.
ผิงดาว อิงจันทร์
ข้าฯ คือกวี
ทุกข์มากเยี่ยงใดใจย่อมรู้
เมื่อเธอหมายก้าวสู่ ทางอักษร
เงยหน้ารับความจริงอย่าเว้าวอน
อย่าออดอ้อนตัดพ้อต่อชะตา
ไม่มีหรอกชะตาใดมาคอยชี้
เมื่อเธอพร้อมยอมพลีเยี่ยงคนกล้า
กล้าเด็ดดาว เอื้อมเดือนบนเวิ้งฟ้า
กล้าที่จะประกาศว่า "ข้าฯ คือกวี"
เป็นกวีเพื่อจะรบด้วยความคิด
มีชีวิตอย่างง่ายงามไร้แสงสี
เขียนถึงโลกทุกมุมเหงา เศร้า ร้าย ดี
จนหรือมี อดหรืออิ่มไม่สำคัญ
เป็นกวีเพื่อจะรบกับตัวเอง
มิคล้ามเกรงใครข่มแหงบนทางฝัน
มิหวาดกลัวความเหงาทุกคืนวัน
สุขคือการได้ปันถ้อยคำงามฯ
"ผิงดาว อิงจันทร์"
๒ - ๐๖ - ๕๓