3 สิงหาคม 2551 14:26 น.
ผมชื่อโจ้
๐เราคือผู้ ผ่านทางมาเดินเทียว
ต่างแปลกหน้าโดดเดี่ยวเที่ยวหาฝัน
แสวงหาโอสถชิ้นปลามัน
ในมหามหรรณพ์ บรรณกวี
๐ในโลกไพศาล บรรณพิภพ
โลกแห่งฝันมิรู้จบกวีศรี
เรากล่อมโลกละมุนความสุนทรี
ให้ชีวิตให้เสรีจิตวิญญาณ
๐เราต่างทางพเนจรพนาไพร
ต่างลัดไต่ ไล่เลาะเยาะสังขาร
เหย้าหยอกเอิน เพลินท่องทะเยอทะยาน
ลางลิงค่าง บ่างพานพบชะนี
๐ลางลิง โล้กิ่งไม้ ก็ลางลิง
ลางลิง ก็ร้องกลิ้งพลางวิ่งหนี
ลางลิง ก็โหยหวนชวนวจี
ลางลิงก็ป่วนผีจะลับลาง
๐คือระหว่างต่างเราผู้แปลกโลก
ผู้แปลกหน้าโบยโบกโลกแตกต่าง
อยู่ในโลกต่างเราความเบาบาง
เบาบ้าง หนักบ้าง ระหว่างเรา
๐ระหว่างกันและกัน กิริยา
โดยภาษาโดยอรรถมาปัดเป่า
มาผ่อนพักผ่อนผันมาบรรเทา
มายิ้มหัว ยั่วพะเน้าหยอกเหย้ากัน
๐โดยสภาพต่างเราก็แปลกหน้า
แปลกต่าง บ้างโหยหา นรกสวรรค์
เพียงบรรจบพบปะก็ต่างพลัน
เสวนาจำนรรจ์เจรจา
๐เราจึงต่างแปลกหน้าในบ้านนี้
โดยพื้นที่ภูมิศาสตร์ต่างองศา
ต่างเท้า ก็ต่างทาง ต่างมรรคา
ต่างกัน มีต่างตา ต่างมุมมอง
(ปอลอ.)
๐ส่วนตัวผมแค่ผ่านทางมาพักเหนื่อย
แวะวักน้ำแก้เมื่อยล้างหน้าหมอง
ทว่า! เมื่อเงยหน้า ได้เชยมอง
เห็นดอกไม้ ก็เลยย่องเก็บดอกไม้ ฯ
29 กรกฎาคม 2551 20:33 น.
ผมชื่อโจ้
๐จึงลิงโลดกระโดดเต้นอยู่เช่นนี้
ทั้งๆที่ ฟ้าหมองมิผ่องใส
ฟ้าบ้านพี่มืดคล้ำมิอำไพ
อมพะงำอำรักไว้ เหมือนในนิทาน
๐แค่ความเพ้อโพ้นท้ายที่ปลายฟ้า
ชะโงกเง้อมองหา ตาประสาน
กระเหย่งเท้าแลไป มิมีประมาณ
ก็เห็นฟ้าดำด้าน โดยดุษณี
๐คงเป็นเพราะความไกลร้อยกิโลฯ
ไกลอักโขเกินไกล ก็ริบหรี่
ก็ลิบลับ ดับมืด เหมือนมิมี
ความหวัง ฝั่งนที ณ ที่ใด
-2-
๐นั่นแล! ที่มาของค่ำนี้
มีดาวหรือไม่มี ก็หาไม่
เหมือนคืนเดิมๆ ไม่ใส่ใจ
เหมือนค่ำทั่วๆไป แล้วเข้านอน
๐แค่อาบน้ำ สระผม
เป่าพัดลม เช็ดหน้าสะอาดก่อน
ทาครีมไวท์เทนนิ่งของพอนด์
ไหว้พระหัวถึงหมอนแล้วหลับตา
-3-
๐นั่นแล้วถึงได้ฝัน
ผุดภาพรำพันจำนรรจ์ว่า
สาวงามสไบเฉียงพัสตรา
กิริยาอาภรณ์ภิรมย์นัก
๐มานั่งเหม่อ มองดาวประกายพรึก
ค่อนดึก ล่วงเช้าเหมือนเฝ้าดัก
สักคน บางใครในความรัก
พริ้มพักตร์ลักยิ้มละมุมละไม
๐แว่วแว่ว เพลงแผ่วมารำพึง
คลับคล้าย เสียงซึงเสียงใสใส
กล่อมโสตสดับดังอยู่ข้างใน
เพ้อลุกเดินไปแล้วได้เจอ
๐พร้อมเห็น ระดะดาวระดา
ดารดาษกลาดฟ้าดูเกลื่อนเกร่อ
เธอเห็น เธอยิ้ม ยิ้มของเธอ
ผมก็เผลอ ยิ้มไป ยิ้มให้กัน
๐ยิ้มนั้น ยิ้มเธอ ยิ้มให้ผม
พลันอารมณ์สะดุ้งพรากออกจากฝัน
ถึงค่อนรุ่ง ฟ้าก็แปลงแสงตะวัน
ขับไล่ อันตรธานความหวานไป
๐ก็มีแต่ การลิงโลดกระโดดเต้น
อยากมาเป็น รักกับเจ้าสาวเจียงใหม่
สักครั้ง ในความรักของหัวใจ
แม้นในฝันก็ยิ่งใหญ่เกินไปแล้ว ฯ
25 กรกฎาคม 2551 13:08 น.
ผมชื่อโจ้
-1-
๐เป็นหนองประจักษ์ตา
มีน้ำตาก็กลัดหนอง
นองเลือดที่ไหลนอง
ก็เลือดผองประชาชน
๐ดูภาพก็ทราบภาพ
สะเทือนอาบทั้งสับสน
ระวิงอลวน
อลหม่านอยู่อึงคะนึง
๐เจ็บปวดประเทศไทย
อะไรกัน?อีกครั้งหนึ่ง
ตอกใจให้เจ็บตรึง
ตอกขึงพืดประเทศไทย
๐นี่แหละประเทศเรา
ประเทศเนาแต่เป็นใบ้
ต่างเราก็ต่างใคร
ต่างหัวใจจะเอาจะเอา
๐โอ้เอ๋ยความสันติ
จะแตกผลิคงแต่เฝ้า
สักการะปัดเป่า
ต่อพระเจ้ากี่ตนกัน
-2-
๐ก็ดูสิ!เต็มตีน
ฝ่ายเจ้าถิ่นก็เข้าหั่น
โหมเร้ารบประจัญ
ทั้งขวานจามทั้งจ้วงแทง
๐ก็ดูสิ!เลือดอาบ
สังเวยบาปอันวิ่นแหว่ง
ใจวูบก็จำแลง
แปลงเป็นไฟบรรลัยกัลป์
๐ก็ดูสิ!พี่น้อง
หนองประจักษ์มาติดจั่น
จิตใจที่ตีบตัน
เพราะต่างเราคิดต่างใจ
๐ก็ดูสิ!ตรองดู
เราหดหู่ก็ร้องไห้
ประชาชนชาวไทย
ประชาธิปไตยของเรา
-3-
๐คือหนองประจักษ์ตา
อวิชชาคือความเขลา
จึงขยี้จะบี้เอา
ชัยชนะความสะใจ
๐เป็นแค่ชัยชนะ
ที่ตกกระความสาไถย
เมื่อยักษ์สิงออกไป
ใจที่ใหญ่ก็เรี่ยดิน
๐แล้วความเป็นเสนียด
ความเป็นเกียรติของเจ้าถิ่น
พังพาบจมปัถพิน
จมในถิ่นอุดรธานี ฯ
23 กรกฎาคม 2551 22:31 น.
ผมชื่อโจ้
๐ฝากคำกลอนหอมแก้มมาแต้มให้
ฝากหัวใจนำพาหอมมาส่ง
ฝากถึงเจ้าหอมเคล้าบุษบง
หอมแก้มนวลอนงค์หอมส่งใจ
๐หอมดอกแก้วหอมคำนึงถึงบ้านพี่
ดอกราตรีหอมหวนหอมชวนให้
อิ่มความรักหอบขนหอมคนไกล
โปรดเอียงแก้มรับไว้หอมใจกัน
๐เจ้าคือกลิ่นความหอมมิห่อนหาย
หอมกลิ่นอายหอมไสวถึงสวรรค์
หอมยามเช้า เหย้ายามสาย บ่ายตะวัน
หอมแบ่งปัน หอมกระหวัดถึงรัตติกาล
๐มิใช่หอมเพ้อเจ้อละเมอหอม
ใช่!ผีเสื้อจะบินดอมหอมน้ำหวาน
แต่หอมนี้หอมรักจักหอมนาน
หอมประทานหอมให้หัวใจเรา
๐ขอเพียงเจ้าส่งใจหอมไมตรี
ความหอมนี้ จะเป็นรักที่หอมเร้า
เป็นหอมให้ กำลังใจจะแบ่งเบา
หอมปัดเป่าความท้อ หอมพอประทัง
-2-
๐หลับตาสิ! สายลมพรมมาแล้ว
เจ้าดอกแก้ว โปรดได้รับกับความหวัง
ความคิดถึงมาทั้งฟ้า ประดาประดัง
มาพรั่งพรู เป็นพลังหอมบังควร
-3-
๐กลิ่นดอกแก้วหอมแล้ว ขจรขจาย
กลิ่นหอมฟุ้ง หอมมิหาย หอมหวน
หอมนำเพ้อ ไปถึงแก้มเนื้อนวล
หอมรัญจวนถึงใจในแววตา
๐หอมดอกแก้วหอมต้องตระกองกอด
เพ้อผวาหอมฟอดหอมใบหน้า
เจ้าหอมฟุ้ง จรุงจรวย หอมกายา
นี่ขนาดคนละฟ้า ยังหอมละมุน
๐หอมเอยเจ้าดอกแก้ว
ยิ่งเสียงเจ้าฟังแล้วยิ่งหอมกรุ่น
หอมเคลิ้มเคล้า เจ้าน่าหอม หอมการุญ
เป็นบุญของพี่นัก หอมรักเอย
20 กรกฎาคม 2551 01:08 น.
ผมชื่อโจ้
-1-
๐ดึกดื่นเวลากาฬปักษ์
ความเหงาเข้ามาดักเป็นลูกแหง่
ถีบยันกระทืบเท้างอแง
ชะแง้คอยหาแต่ความรัก
๐คอยหายิ่งเลือนหาย
เปลี่ยวทางเปล่าดายไร้ทอถัก
กระวนกระวายมิเว้นวรรค
เหงากระตุกกระตักพะเน้าพะนอ
๐พะวักพะวงใจ
เมื่อไหร่ความรักจะมาขอ
ขมวดเข้า เราชรามิชะลอ
ชะล่าใจก่อนได้ช่อดอกไม้จันทน์
๐มิน่า! เจ้าความเหงา
เจ้าจึงเย้า จึงหยอกเจ้าจึงหยัน
ถีบกระทุ้งหัวใจมิเว้นวัน
มิว่างคืนจำนรรจรรจ์ เจ้าโพนทะนา
-2-
๐ว่าเจ้าข้า เจ้าข้าเอ๋ย
หัวใจนี้คือจำเลย จะปรารถนา
มิขอข้าว ขอแกง ขอน้ำยา
แต่ขอรักสักครา ว่าอย่างไร
๐ขอในนามความเหงาเฝ้างอแง
ขอให้แพรความรักจักห่มให้
ขอให้อุ่นอิ่มหวังกำลังใจ
ขอให้ไฟรักโชติได้โจษจัน
๐ป้องปาก ปรารถาเจ้าข้าเอ๋ย
มาละเหวยรักไสวมไหสวรรย์
มหกรรมความสุขจะแบ่งปัน
ทั้งซ้ายหันขวาหันยิ้มยินดี
-3-
๐ค่อนดึกยิ่งคิดยิ่งเคลิ้มคล้อย
ชะรอยจะแอบลักความเหงาหนี
กล่อมให้นอนมือก่ายทับทันที
คงหลับได้ในวันนี้อีกหนึ่งคืน
ได้แต่ถอนหายใจ
พรุ่งนี้เช้าวันใหม่ถึงค่อยตื่น
นั้นแหละทั้งวันนี้ พรุ่งนี้ มะรืน
ความเหงายังกลมกลืนกับลมหายใจ
ต่อไป อยู่ต่อไป ฯ