2 มีนาคม 2549 18:28 น.
ผกากรอง
ลมฤดูร้อนพัดมาแต่ไกล ต้นยางใหญ่บอกบรรดาลูกๆให้เตรียมตัว
เดินทาง
"พอลมฤดูร้อนมาถึง เจ้าจงกางปีกให้เต็มที่ สายลมจะพาลูกข้ามป่า ข้ามนา ข้ามผู้คน ผ่านตรงไหนที่ชอบ ลูกก็ร่อนลงตรงนั้น"
ปีกสีแดงของลูกยางเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลมาหลายวันแล้ว ลมพัดอู้ใกล้เข้ามา ลูกยางทั้งหลายพร้อมเดินทางแล้ว แม้จะใจหายเหมือนกัน
สายลมฤดูร้อนมาถึงต้นยาง พลางร้องว่า
"ลุงจะพาไปเดินทางท่องโลก ตามมาเลย"
ว่าแล้วก็พัดพาลูกยางไปทันที ปีกลูกยางกางเต็มที่ ลมปะทะแล้วลูกยางก็เหินขึ้นสู่ห้วงฟ้ากว้าง
ลูกยางบางลูกรีบตกใกล้ๆแม่
บางลูกร่อนลงริมบึงน้ำใหญ่
บางลูกร่อนลงที่ดงไม้
แต่ละลูกเลือกที่ตนชอบ
ลูกยางลูกสุดท้ายยังหมุนติ้วอยู่กับสายลมฤดูร้อน มันมองไปที่ผืนดินโล่งริมถนนลูกรัง กำลังจะตัดสินใจ ลุงสายลมฤดูร้อนเตือนว่า
"แน่ใจนะ ตรงนี้ดูเหมือนดินจะแข็งโป๊กเลย"
ลูกยางตอบว่า "ตรงนี้ไม่มีต้นไม้ ถ้ามีต้นยางสักต้นคงดี"
"ตามใจ" ลุงสายลมพัดต่อไป
เจ้าลูกยางน้อยร่อนลงตรงรอยแตกเล็กๆระหว่างถนนกับท้องนาแล้ง
ฤดูร้อนผ่านไป เข้าสู่ฤดูฝน ปีกลูกยางหลุดร่วงไปตามธรรมชาติ มันแอบนึกอยู่ว่าคิดถูกหรือผิด ระหว่างนั้นต้นอ่อนข้างในค่อยๆงอกออกมาเป็นต้นยางเล็กๆ มันใช้รากชอนไชหาอาหารและน้ำ ดินแข็งกระด้าง บางวันมันนึกท้อแท้ แต่ก็แว่วๆ ได้ยินเสียงแม่ที่เคยสอนไว้
"...ลูกอาจพบว่า ที่ลูกอยู่แสนลำบาก บางทีร้อนจัดแข็งเป็นหิน เปียกจนหนาว แต่เมื่อตั้งใจว่าจะอยู่ตรงไหนก็ต้องทำให้ดีที่สุด"
ต้นยางอ่อนนึกถึงพี่น้องต้นอื่นๆ แต่ละต้นคงมีชีวิตต่างกัน แต่เมื่อตั้งใจว่าจะอยู่ที่นี่ มันจะไม่ยอมแพ้ พรุ่งนี้น่าจะดีกว่า มันไม่สามารถขอให้ดินอ่อนนุ่มกว่านี้ได้ แต่มันพยายามทำให้รากของตน ค่อยๆงอกและแทรกไปในผืนดินทีละน้อย
โชคดีที่ต้นยางอดทน ฝันถึงวันที่เติบโต หลังจากนั้นไม่กี่วัน ฤดูฝนก็พาความชุ่มฉ่ำ แผ่นดินอ่อนนุ่ม รากต้นยางไชดินเพียงนิดเดียวก็พบความอุดมสมบูรณ์ที่อยู่ข้างล่าง
ต้นยางดูดอาหารและน้ำ เติบโตผิดหูผิดตา ความพากเพียรทำให้มันพร้อมจะเติบโตทันฤดูฝนพอดี
ผ่านไปหลายเดือน ต้นยางมีกิ่งก้านมากขึ้น มันพอใจสิ่งที่เกิดขึ้น ภูมิใจตนเอง ขอบคุณดิน น้ำ ฟ้า ฝน ที่ทำให้มันเติบโต
ฤดูฝนกำลังผ่านไป อีกไม่นานฤดูหนาวที่มันไม่เคยรู้จักก็จะมาถึง คงอีกนานกว่าฤดูฝนจะเวียนมาอีก
ฤดูกาลลที่แปรเปลี่ยน เจ้ายางน้อยต้องพบกับอะไรบ้างไม่มีใครรู้ แต่มั่นใจได้ว่า หัวใจนักสู้ของต้นยางน้อย จะไม่ยอมแพ้สิ่งใดๆ.....
14 กันยายน 2548 21:03 น.
ผกากรอง
สมัยตอนฉันเด็กๆอยู่ป.3 เมื่อถึงวันเปิดเทอม...
ฉันเข้าห้องเรียนเป็นคนสุดท้าย ไม่มีใครสักคนที่ต้องการเด็กที่ไม่รู้จักคนหนึ่งมานั่งใกล้ๆ ทำไมจะไม่มี...
... เด็กผู้หญิงผมสั้น สูงไร่เรี่ยกัน หน้ากลม คนหนึ่งชื่อ "ออย" ให้ฉันนั่งด้วย
ฉันดีใจมาก
...
...
...วันเวลาผ่านไป 1 ปี... ฉันอยู่ป.4 เป็นเหตุการณ์ที่ฉันไม่เคยลืม
มีเพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งเป็นเพื่อนเก่าของออยเข้ามาหาฉันแล้วพูดว่า
"ระวังนะออยน่ะชอบทิ้งเพื่อน"
...ฉันไม่คิดอะไรมาก
...
...
...ผ่านไปอีก 1 ปี... ฉันอยู่ป.5 ฉันกับออยสนิทกันมากขึ้น
ฉันมีความสุขที่สุด ที่ฉันได้สนิทกับออยมาหลายปี
...แต่ไม่เคยโกรธกันสักที... มันแปลกไหมล่ะ
...
...
...ปัจจุบันตอนนี้ฉันอยู่ป.6 .. ก็ไม่เลิกกันสักทีจนวันหนึ่ง
งานเข้ามาเยอะมาก แทบจะนอนตี 1 ทุกวัน
ฉันกับออยอยู่คนละกลุ่มงานกัน
...ฉันเลยต้องไปปรึกษาคนในกลุ่มของฉันมากกว่าออย
.....ออยก็ปรึกษางานกลุ่มกับกลุ่มตัวเอง...
เราแทบจะไม่ได้พูดกันเลยเป็นเวลาเกือบ 1 เดือน
เราไม่ค่อยสนิทกันนาน......มาก.............. ...จน
ออยได้เพื่อนใหม่... เพื่อนที่ดีทุกอย่างงานเสร็จเร็ว มีเวลาให้กันทุกเมื่อ
...ซึ่งต่างกันกับฉัน
...ตอนแรกฉันคิดว่าคงโกรธที่ฉันปรึกษากับเพื่อนในกลุ่มมากเกินไป
จนไม่มีเวลาให้กัน
.....แต่ฉันคิดผิด...ที่แท้ออยก็มีเพื่อนใหม่เลยลืมฉัน
...
...
...
...ความสัมพันธ์ของเรา จากที่เคยเรียกว่าเพื่อน ตอนนี้คงเรียกว่า
คนรู้จัก
จะดีกว่า
เพราะคำว่า เพื่อน ใช้สำหรับ คนที่สนิทกับเรามากที่สุด และไม่ทอดทิ้งกัน
เพื่อนย่อมไม่ทิ้งกัน
2 กันยายน 2548 20:24 น.
ผกากรอง
...แก้ว และปื๊ดเป็นเด็กบ้านนอกคนหนึ่ง ทั้งสองเป็นเพื่อนรักกัน เรียนชั้นเดียวกัน เล่น และเที่ยวด้วยกัน ไปไหนมาไหนด้วยกันเป็นประจำ
ทั้งสองใช้เสียงเป่ามือเป็นรหัสติดต่อกัน
..วันหนึ่งแก้วไม่ไปช่วยแม่ถอนหญ้า แล้ววิ่งไปตามเสียงเป่ามือของปื๊ด มีเสียงแม่ตามหลังว่า
"อย่ากลับช้านะ ไม่งั้นจะโดนตี !"
เมื่อทั้งสองพบกัน ปื๊ดก็ช่วยแก้ววิดน้ำอย่างแข็งขัน จนกระทั่งน้ำแห้ง ก็จับปลา
ปื๊ดถูกปลาดุกอุยเข้ายักที่นิ้วโป้ง ปวดมาก แต่ก็จับปลาดุกตัวนั้นได้
...พอถึงตอนแบ่งปลา ปลาที่ถูกจับได้ทั้งหมดถูกเทออกเพื่อแบ่งปันกัน
เป็นเรื่องปกติของเด็กทั้งสอง เมื่อจับปลาได้ก็จะผลัดกันหยิบ
"มึงหยิบก่อนแก้ว" ปื๊ดบอกแก้ว
"มึงก่อนดีกว่า" แก้วแนะ
"มึงน่ะดีแล้ว" ปื๊ดบอก
แก้วหยิบปลาฉลาด แล้วทิ้งปลาดุกไว้ให้ปื๊ด แต่ปื๊ดบอกว่า
"ไอ้ดุกตัวสุดท้ายของมึง มึงเอาไปเถอะ"
"กูไม่เอา กูให้มึง" แก้วยืนยัน
"มึงเอาไปเถอะ แค่นี้กูก็พอกินแล้ว" ปื๊ดปฏิเสธ
"แต่มึงจับได้ แถมถูกปลาดุกยักด้วย ปลาดุกตัวนี้ของมึง" แก้วตอบเสียงแข็ง
"บ้านมึงคนเยอะ บ้านกูคนน้อย มึงต้องเอาไป" ปื๊ดยืนยันอย่างเสียงแข็ง
...แล้วแก้วก็เอาปลาดุกไป แก้วไม่ถูกแม่ตีเรื่องที่กลับค่ำ เพราะปลาดุกตัวนี้เมื่อถูกย่างเหลืองอร่าม หอมชวนกิน ขณะที่แก้วกินปลาดุกภาพปื๊ดเลือดท่วมมือก็ปรากฎให้เห็นในความคิด
ป่านนี้ปื๊ดเป็นอย่างไรบ้างหนอ แก้วคิด
แก้วนึกขึ้นได้ว่า ก่อนที่ปื๊ดกับแก้วจะแยกกันกลับบ้านปื๊ดสั่งแก้วว่า
"ถ้ามึงถึงบ้านแล้วไม่โดนตี เป่ามือมาบอกกูด้วย"
"มึงด้วย ถ้ามึงหายปวดแล้วเป่ามือบอกกูด้วย"แก้วบอก
แล้วแก้วก็เป่ามือ
"หวู่ ฮู้ว์ หวุดๆๆๆ" แม้เสียงอาจจะไม่แจ่มใสเหมือนทุกครั้ง แต่มันก็ล่องลอยไปท่มากลางความมือ และตามสายลมหนาวที่พัดแผ่วเบา
ปื๊ดซึ่งนอนอยู่ ตัวร้อนด้วยไข้พิษ ก็ยิ้มได้ จนลืมความปวดที่มือ
เขาอยากเป่ามือตอบกลับ แต่มือของเขายกขึ้นไม่ไหว ได้แต่ฟังเสียงเป่ามือของแก้ว
"หวู่ ฮู้ว์ หวุดๆๆๆ" เสียงของแก้วยังคงดังต่อไปเรื่อยๆ เหมือนคอยเสียงตอบกลับของเพื่อนรักจนดึกดื่น...ทั้งคืน.......
26 สิงหาคม 2548 19:48 น.
ผกากรอง
"นอนได้แล้วลูก" เสียงเรียกนี้อาจจะทำให้คนที่ได้ฟังแล้ว คิดถึงใครบางคน
เสียงที่อ่อนหวาน และกล่าวด้วยความเป็นห่วง เสียงนี้คือเสียงของแม่นั่นเอง
"ค่ะแม่ อีกนิดเดียว" เสียงตอบที่ใสนี้ ตอบอย่างความเร่งรีบ และเป็นห่วงแม่
เสียงของลูกนั่นเอง
และเมื่อแม่ได้ยินคำตอบนี้จากลูกแม่จะทำอย่างไร
แม่บางคนอาจจะขึ้นไปนอนก่อน เพราะลูกทำงานอยู่ชั้นล่าง
แม่บางคนอาจจะนอนคอยอยู่กับลูก
แม่บางคนนั่ง หรือนอนดูโทรทัศน์ในห้องที่ลูกกำลังทำงาน เพราะถ้าคอยอยู่เฉยๆก็ไม่มีอะไรทำ
แต่สำหรับแม่ที่มีความรัก เอ็นดู เป็นห่วงลูกอย่างแท้จริงแล้วจะต้องช่วยลูกทำงานอยากแน่นอน และจะไม่เปิดโทรทัศน์ หรือวิทยุเป็นการรบกวนสมาธิของลูก ทำให้ลูกทำงานช้า
เหตุใดแม่จึงต้องช่วยลูกทำงาน
เพราะถูกลูกบังคับ เพราะไม่มีอะไรทำ เพราะนอนไม่หลับ หรือเพราะว่าความรัก เป็นห่วงลูก และยากที่จะอดทน เห็นลูกทำงานหนัก นอนดึกอยู่คนเดียวได้
จึงช่วยลูกทำงานอย่างเต็มใจ และเต็มความสามารถ
และคำถามอีกข้อหนึ่งคือเหตุใดลูกจะต้องตอบว่า
"ค่ะแม่ อีกนิดเดียว" ทั้งๆที่เหลืออีกมากมาย
เพราะว่าลูกนั้น ก็มีความรัก และเป็นห่วงแม่อย่างเต็มเปี่ยมเช่นเดียวกัน
ไม่อยากให้แม่กังวลใจ และต้องมาเหนื่อยด้วย
บางคนอาจจะคิดว่าลูกคนนี้มีนิสัยที่ไม่ดีชอบโกหก
นั่นก็ถูก แต่ไม่ถูกเสมอไป เพราะสิ่งที่ลูกทำเป็นสิ่งที่แสดงถึงความเป็นห่วงแม่
แต่ทำถึงไม่ตอบว่า
"เหลืออีกเยอะ แม่ขึ้นไปนอนเถอะค่ะ"
อาจจะเป็นเพราะว่า ไม่อยากให้แม่กังวลใจนั้นเอง
สุดท้ายนี้ขอฝากไว้ว่า แม่ไม่ใช่ขนมที่เมื่อหมดแล้วก็ไปซื้อใหม่ แต่แม่มีคนเดียวถ้าแม่ตายไป ก็ไม่มีวันฟื้นขึ้นมาใหม่ได้
ลูกบางคนที่ได้สูญเสียแม่ไปอาจจะต้องไปเคาะโรงศพให้แม่ฟื้น
บางคนนำอาหารคาว-หวานไปให้แม่หน้าหลุมฝั่งศพ แต่แม่ก็ไม่ฟื้นขึ้นมา
จึงขอให้ลูกทุกคนที่ยังมีแม่อยู่ รักแม่ให้มากๆ เหมือนดั่งที่แม่ได้รักเรา
ด้วยความปรารถนาดี
ผกากรอง