12 มิถุนายน 2545 14:01 น.
ปุถุซน
โลกนี้มันกว้างเมื่อเราเริ่มเดินทางออกไป
แต่กลับหดเล็กนิดเดี่ยวยามเมื่อเราย่ำอยู่กับที่
คนที่เดินทางจึงมีความสุขที่สุดในโลกใบนี้
เป้าหมายจึงไม่ได้หมายถึงความสุขใจของนักเดินทาง
แต่ระยะทางต่างหากคือความสุขใจของนักเดินทาง..
หลายคนจึงเลือกเดินทางไกล
ยิ่งไกลแค่ไหนก็ยิ่งดีเลอเลิศ
............................................
ระหว่างทางมีอะไรมากมาย
ให้ได้อ่านได้พบได้ประสบ
ตามรายทางมีก้อนกรวด
ก้อนหินและเม็ดทราย
เก็บเป็นบทเรียน
ที่ไม่มีสอนในห้องเรียน
นอกจากต้องออกเดินทางไปเอง
......................................
การเดินทางให้อะไรมากกว่าที่นายคิดเสียอีก
หลังจากการเดินทางครั้งนี้ นายจะเข้มแข็งยิ่งขึ้น
เพื่อนบอกตอนที่ไปส่งผม
.................................................................................
11 มิถุนายน 2545 10:32 น.
ปุถุซน
การอยู่กับตัวเอง
บางทีก็ดีเหมือนกัน
ได้รู้จักตัวเองมากขึ้น
มากกว่าที่คิดและคาดไว้
บางทีการอยู่กับผู้อื่นนานนาน
ทำให้เรามักลืมสำรวจ
ดูตัวเองอยู่เหมือนกัน
..........................
เมื่อมีโอกาสอยู่โดดเดี่ยว
ในโลกส่วนตัว
ทำให้รู้ว่า
เราไม่ได้อยู่คนเดียวจริงจริงในโลกนี้
อย่างน้อยน้อยเรายังมีตัวตนของเราอยู่
ที่คอยเป็นมิตรแท้ตลอดชีวิตของเรา
ลองอยู่กับตัวเองบ้าง
แล้วจะรู้ว่า
ห้วงเวลาเช่นนี้
มีคุณค่าเพียงใด
................
10 มิถุนายน 2545 11:52 น.
ปุถุซน
ผมสะดุ้งตื่นอีกครั้ง
เมื่อเสียงล้อเหล็กบดราง
กระชากเบร็คดั่งสนั่น
ผมพบว่าตัวเองกำลังนอน
อยู่ในโบกี้ของรถไฟขบวนหนึ่ง
ผมงงงวยที่เห็นภาพตัวเอง
อยู่ในสภาพเช่นนี้
ผมถามตัวเอง
ผมมานอนอยู่ที่นี่ได้ไง !!!
แล้วผมพยายามทบทวน
ความทรงจำของตัวเอง
ใช่ซิเมื่อวาน
เมื่อวานนี้เองที่ผมร่ำลาเธอ
เพื่อหนีความจริงบางอย่าง
ที่สถานีรถไฟแห่งหนึ่ง
ใช่..สถานีรถไฟ..?
อาห์..ผมจำได้ล่ะ
สถานีรถไฟแห่งชีวิต
เป็นขบวนสุดท้ายซะด้วย
ก่อนที่เราจะจากกัน
ผมบอกให้เธอจ้องลึกลงไป
ในดวงตาของผม
และผมก็ทำเช่นนั้นกับเธอ
ผมบอกเธอไปว่า
ผมยังคงรักเธออยู่น่ะ
ไม่ว่าเธอจะไม่รักผมสักนิดเดียวก็ตาม
แล้วผมก็กระโดดขึ้นโบกี้
โดยที่ยังไม่รู้เลยว่า มันจะพาผมไปไหน
รถไฟแห่งชีวิตเคลื่อนไปข้างหน้า
อย่างช้าช้าแล้วค่อยเร็วค่อยเร็ว
แล้วผมก็ผล็อยหลับไปอย่างรันทด
..................... .
เมื่อรถไฟจอดสนิท
ผมลงมาที่ชานชาลาเก่าเก่า
นั่งทบทวนความรู้สึกบนม้านั่งเก่าเก่า
ผมรู้ว่า ถ้าขาดผมเธอก็อยู่ได้
แต่ผมซิถ้าขาดเธอผมอยู่ไม่ได้
ผมบอกกับชีวิตเก่าเก่าของผมว่า
ผมต้องกลับไปหาเธอ
ผมจึงจับรถไฟอีกขบวนหนึ่ง
นั่งย้อนกลับไปสู่ที่เดิม
เพื่อไปพบกับความจริง
ถึงแม้มันจะขมขืนสักปานใด
ผมจะไม่หนีเธอไปไหนอีกแล้วล่ะ
จะอยู่เคียงข้างเธอตลอดไป
10 มิถุนายน 2545 09:12 น.
ปุถุซน
แก้มเป็นส่วนหนึ่งของใบหน้า
ไวต่อประสาทความรู้สึก
เนื้อแก้มทั้งสองข้างจะนุ่ม
จนหน้าแนบหน้าหรือซบจมูกลงไป
สมัยเด็กเด็กมีแตคนชอบหอมแก้ม
ของเด็กเช่นผม และเช่นคุณ
แต่ตอนนี้ผมก็อยากให้ใครใคร
ได้มาหอมแก้มของผมบ้าง
หอมแบบสมัยตอนที่ผมยังเป็นเด็กเล็กเล็ก
แต่ถ้าไม่มีใครยินดีที่จะหอมแก้มของผม
ก็คงเป็นทีของผมบ้างแล้วล่ะซิ!
8 มิถุนายน 2545 12:43 น.
ปุถุซน
กาแฟยี่ห้อเดิม
ถ้วยก็ถ้วยใบเดิม
กาแฟสามช้อน
น้ำตาลไม่ต้อง
ผมนั่งจิบกาแฟหอมกรุ่น
พลางจ้องดูรอยยิ้มหวานล้ำ
ในรูปภาพเก่าเก่าใบนั้น
แล้วฟังเพลง TO LOVE SOMEBODY
ของ BEE GEES
certain kind of light
That never shone on me
I want my life to be
Lived with you
Lived with you
Theres a way
evrybody say
To do each and
evry little thing
But what does it bring
If I aint got you,
aint got you, hey baby
You dont know
what its like
Baby, you dont know
what its like
To love somebody,
To love somebody
The way I love you
In my brain
I see your face again
I know my frame of mind
You aint got
to be so blind
And Im blind,
So, so, so very blind
Im a man
cant you see what I am
I live and breathe for you
But what good does it do
If I aint got you,
aint got you, hey baby
you dont know
what its like,
Baby, you dont know
what its like
To love somebody,
To love somebody
The way I love you
I love her
You dont know
what its like,
Baby, you dont know
what its like
To love somebody,
To love somebody,
The way I love you
no
You dont know
what its like,
Baby, you dont know
what its like
To love somebody,
To love somebody,
The way I love you
Leart...
ฟังไปจิบกาแฟไป
เพลงจบก็กรอกลับไปกลับมา
............
อาห์....ถึงก้นถ้วยอีกแล้วหรือนี่!!!
กาแฟยี่ห้อเดิม
ถ้วยก็ถ้วยใบเดิม
กาแฟสามช้อน
น้ำตาลไม่ต้อง
- - - - - - -