8 พฤษภาคม 2552 16:24 น.
ปะการังสีฟ้า
บรรยากาศข้างหน้าครึ้มไปด้วยเมฆสีทึมจับตัวกันเป็นก้อนโต เหมือนหุ่นยนต์ตัวใหญ่ กางแขนกางขาที่ไม่ได้สัดส่วนเต็มท้องฟ้า ฝนโปรยลงมาไม่ขาดสายราวกับมูลี่ที่ร้อยด้วยแก้วใสรูปหยดน้ำพวงใหญ่ที่ใครเล่นอุตริเอาไปแขวนไว้กับหุ่นยนต์ตัวนั้น อากาศเริ่มเย็นลง ท้องฟ้ามืด เวลาใกล้ค่ำอย่างนี้ ทำให้การเดินทางของใครหลายคนยิ่งลำบาก โดยเฉพาะ สิน เด็กชายอายุ 9 ปีร่างผอมสูงที่เพิ่งกลับจากการรับจ้างล้างจานในตลาด
"สิน มาหลบในบ้านป้าก่อนเร็ว" ป้าจุกยืนตะโกนโหวกเหวกกวักมือหย็อยๆเรียกสินอยู่หน้าบ้าน
"ไม่ล่ะป้า ผมเป็นห่วงยาย" สินหยุดบอกป้าแล้วรีบวิ่งฝ่าสายฝนไปอย่างรวดเร็ว
"เด็กหนอเด็ก เวรกรรมอะไรของเอ็งหนักหนา อีสายมันใจร้ายจริงๆ ทิ้งลูกให้คนแก่เลี้ยง แล้วตัวเองคงไปเสวยสุขอยู่สิท่า มันจึงไม่คิดกลับมาดูแม่ดูลูกของมันเลย ทำไมใจดำกันจริงคนสมัยนี้" ป้าจุกบ่นพึมพำอยู่คนเดียว
สายฝนที่มาปะทะหน้าทำให้สินต้องเอามือป้องหน้าตัวเองไว้เพื่อดูทาง จุดหมายของสินอยู่ที่กระต๊อบที่เห็นรางๆอยู่ข้างหน้า มันเอียงกระเท่เร่ สินเคยแอบคิดว่าอาจจะมีลมใจดีพัดหอบกระต๊อบของเขาขึ้นไปอยู่บนสวรรค์เขาอาจพบกลับนางฟ้าก็ได้ แต่ตอนนี้เขาหวังเพียงว่าอย่าให้มันพังครืนลงมา หลังคาของกระต๊อบมุงด้วยแฝก มีรูโหว่หลายสิบรู ฝาบ้านขัดแตะซึ่งผุและหักออกไปบางส่วนทำให้เห็นภาพทุ่งนาที่อยู่ข้างนอกได้อย่างสบาย
"ยาย....ยายอยู่ไหน" สินถามหายายตั้งแต่ไม่ทันเข้าบ้าน
"ยายอยู่นี่ สิน" เสียงดังมาจากมุมข้างชั้นวางกับข้าว
ซอกแคบๆส่วนนี้ของบ้านเท่านั้นที่สายฝนซึ่งเทหนักลงมาเรื่อยๆ ไม่สามารถแทงทะลุหลังคาเข้ามาได้ สินเดินเข้าไปใกล้เห็นยายนั่งตัวลีบมือกอดเข่า บนบ่ามีผ้าเช็ดตัวผืนเล็กคลุมอยู่
สินรีบไปเปลี่ยนผ้าแล้วรีบมานั่งข้างยาย กอดเข่าเงยหน้าสำรวจรูรั่วบนหลังคาที่มีน้ำหยดมา
"คืนนี้เราคงนอนเหมือนนกอีกแล้วล่ะยาย" สินพูดแล้วหันหน้ามาดูยายอย่างพินิจ สินไม่เคยรู้ว่ายายอายุเท่าไร แต่ ปีนี้ยายแก่ลงไปมาก ผมยายสีขาวโพลน หน้าตาซูบอิดโรยยายป่วยกระเซาะกระแซะมาแรมปีโดยไม่ยอมไปหาหมอ สินจับมือยายมากอดไว้กับอก มือที่แห้งกร้าน มองเห็นเส้นเอ็นปูนโปนนี้ช่างให้ความอบอุ่นดีแท้ ยายหันมากอดสินแล้วทอดสายดาอย่างเหม่อลอย
ตั้งแต่สินจำความได้ยายคือคนแรกที่สินเห็น ยายรับหน้าที่แม่ของสินตั้งแต่แบเบาะ สินยังจำได้ว่ายายรับจ้างทำงานทุกอย่างเพื่อเอาเงินมาเป็นค่าใช้จ่ายในบ้าน สินเคยถามหาแม่ที่สินไม่เคยเห็นหน้า ยายนิ่งอึ้งไม่ตอบ สินเลยไม่คิดจะถามยายอีก ไม่มีแม่ก็ไม่เป็นไรมียายคนเดียวก็พอ สินคิด
ลมพัดลอดฝาบ้านเข้ามาหอบเอาความหนาวเย็นมาเยือน สินห่อปากพร้อมขยับขาที่เป็นตะคริว "อยากได้ผ้าห่มหนาๆ สักสองผืน" สินคิด
สินเผลอหลับไปเมื่อไรก็ไม่รู้มารู้สึกตัวอีกทีเมื่อได้ยินเสียงยายคราง
"ยายเป็นอะไร" สินรีบจับแขนยาย
"ตัวร้อนจี๋เลย ฉันไปตามป้าจุกมาดูยายดีกว่านะ " สินลุกขึ้นแต่ต้องเซและล้มลงเพราะนั่งนานจนขาเป็นเหน็บ สินเหยียดขาอยู่ครู่ใหญ่แล้วรีบวิ่งออกไป
ป้าจุกมาพร้อมกับรถมอเตอร์ไซค์ "สงสัยต้องไปหาหมอแล้ว ยายเอ็งอาการไม่ดีเลย" ป้าจุกบอก
หลังจากนั้น ยายก็ถูกส่งตัวมาโรงพยาบาล หมอบอกป้าจุกว่า ยายเป็นไข้มาลาเรียอาการหนักมาก สินเห็นนางพยาบาลรีบพายายไปในห้องซึ่งสินและป้าจุกเข้าไปไม่ได้ สินอยากเข้าไปหายายแต่ไม่กล้าพูด
"ยายเอ็งอาการหนักนะเจ้าสิน หมอก็เลยต้องเอาไว้ในห้องนี้" ป้าจุกหันมาบอกสินเมื่อเห็นสินชะเง้อหน้าประตูห้องที่ยายเข้าไป
"แล้วยายจะหายไหมป้า" สินตาแดงๆ ป้าจุกเลยรวบตัวไปกอดไว้
ป้าจุกถอนใจ "หมอบอกว่ายายอาการหนักเพราะทิ้งไว้นานไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง....." ป้าจุกพาลนึกไปถึงความฝันของยายที่เล่าให้ฟังเมื่อสองสามวันก่อน
"เมื่อคืนกูฝันว่า พี่ลอยจะมารับกูไปอยู่ด้วย ให้กูรีบเก็บผ้า แล้วจะมารับ" นึกถึงตอนนี้ป้าจุกขนลุกซู่ ยกมือท่วมหัว "ลุงลอย ลุงไปอยู่บนสวรรค์สบายแล้ว อย่าเพิ่งมารับยายไปเลย ถ้าลุงพายายไปแล้วไอ้สินจะอยู่กับใคร" ป้าจุกยกมือไหว้ประหลกๆ
สินไม่เข้าใจที่ป้าจุกพูด ได้แต่ลุกขึ้นเดินไปเดินมาอยู่หน้าห้อง พักใหญ่ก็นั่งนิ่งที่เก้าอี้ยาว แต่สายตาไปละไปจากประตูห้องที่ยายเข้าไป
เมื่อวันศุกร์สินยังจำได้ ครูให้สินและเพื่อนๆบอกความใฝ่ฝัน ก้องอยากเป็นตำรวจ ชมพู่อยากเป็นครู แต่สำหรับสิน สินอยากเป็นหมอ อยากรักษาคนที่ไม่มีเงินอย่างสินและยาย คุณครูบอกว่า ถ้าเราตั้งใจความฝันของเราจะเป็นจริง
"คุณครูครับ ฝันวันนี้ของผม ผมไม่อยากเป็นหมอแล้วครับ ฝันที่ผมตั้งใจที่สุดตอนนี้คือให้ยายผมหายป่วยไวๆ" สินภาวนา
ทันใดนั้น ประตูก็เปิดออก สินเห็นยายใส่ชุดขาวยืนยิ้มให้สินอยู่ริมประตู.....
29 ธันวาคม 2551 23:26 น.
ปะการังสีฟ้า
เสียงฟ้าคำรามมาตั้งแต่เมื่อคืน ก่อนฝนจะเทลงมาและหยุดขาดเม็ดในช่วงฟ้าสาง เม็ดฝนยังเกาะพราวอยู่บนยอดหญ้ามองเห็นเป็นสีรุ้งยามต้องแสงตะวัน
"ตั้มตื่นได้แล้วลูก" เสียงแม่ตะโกนออกมาจากในครัว
"ครับ" ผมขานรับแล้วนอนนิ่งก่อนจะลุกขึ้นไปอาบน้ำ กลิ่นข้าวต้มที่แม่ทำหอมฉุยมาแตะจมูก ผมรีบอาบน้ำแต่งตัวมาทานข้าวต้มฝีมือแม่
"วันนี้เปิดเรียนวันแรก ต้องทำตัวให้สดชื่นหน่อย" แม่พูดพลางเอามือโยกหัวผมเบาๆ
"จริงสิ วันนี้เป็นวันแรกของการเปิดเทอมในภาคเรียนที่ 2 ผมมีเรื่องเยอะแยะจะเล่าให้เพื่อนฟัง" ผมรีบกินข้าวก่อนแม่จะไปส่งผมที่ปากทางซึ่งเชื่อมต่อกับถนนใหญ่
บ้านผมอยู่ห่างจากโรงเรียนประมาณ 10 กิโลเมตร แม่ฝึกให้ผมนั่งรถสองแถวไปโรงเรียนตั้งแต่ผมอยู่ชั้น ป.3 แรกๆผมก็กลัวเหมือนกัน แต่ตอนนี้กลับสนุกเพราะได้เจอเพื่อนหลายคนและมีเรื่องคุยกันตลอดจนถึงโรงเรียน วันนี้รถสองแถวมีที่ว่างหลายที่ อาจจะเป็นเพราะวันนี้ไม่มีตลาดนัด ผมจึงสามารถเลือกที่นั่งได้อย่างสบาย ผมเลือกที่จะนั่งข้างนอกสุด ข้างในมีเพื่อนของผมสองคนนั่งอยู่ด้วย เราต่างหันมายิ้มและยักคิ้วทักทายกัน วันนี้อากาศดี สายลมเย็นๆพัดปะทะหน้า สองข้างทางเต็มไปด้วยผืนนาที่ทอดตัวยาวขนานไปกับถนน เว้นช่วงบ้างที่มีบ้านคน และลำคลองไหลผ่าน นอกจากจะแกล้งพัดเอาความเย็นมาปะทะหน้าผมแล้วสายลมยังพัดไปแกล้งยั่วต้นข้าวให้ไล่จับไปทั่วท้องทุ่งนา เคลื่อนไหวเหมือนภาพที่มีชีวิต
"วันนี้เราชวนเพื่อนวิ่งไล่จับดีกว่า" ผมคิดอยู่ในใจ
ขณะนั้น มีเสียงผู้หญิงตะโกนโหวกเหวกโบกมือโบกไม้อยู่ข้างหน้า ทำให้คนขับรถชะลอความเร็วและจอดนิ่งเมื่อผู้หญิงคนนั้นบอกให้รถจอดรอ ผมหันไปมองเพื่อนอีกครั้งพร้อมสำรวจผู้โดยสารซึ่งส่วนใหญ่ก็คุ้นหน้าคุ้นตา พี่สาวที่เป็นคนอีสานสองคนนั่งอยู่ในสุด ถัดมาก็เป็นคุณลุงที่ทำงานในอำเภอ แล้วก็ผม ส่วนฟากโน้นก็เป็นเพื่อนผมสองคนและคุณลุงที่ผมจำได้ว่าเห็นแกเคินเตร่อยู่ที่ตลาดบ่อยๆ ผมส่งยิ้มให้แก แต่แกกลับจ้องหน้าผมทำให้ผมต้องเบือนหน้าออกไปมองทางท้ายรถอย่างอายๆ ผมหลบสายตาของแกแล้วหันมาดูรถที่กำลังวิ่งสวนกันไปมา ระหว่างนั้นสายตาของผมก็มาสะดุดกับของบางอย่างที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ริมขอบถนน
" ปู ตัวใหญ่ซะด้วย" ผมบอกตัวเองแล้วหันหน้าไปบุ้ยใบ้กับเพื่อน ท่าทางของผมทำให้คนในรถหันมาสนใจ ปูตัวนี้
ตอนนี้มันเดินขึ้นมาบนถนนแล้ว แถมชูก้ามเดินส่ายไปส่ายมา
"มันจะทำอะไร" โจ้เพื่อนร่วมชั้นตั้งแต่ ป.1 จนเดี๋ยวนี้ ป.4 เรายังอยู่ห้องเดียวกันหันมาถามผม ผมส่ายหน้ายิกๆ แล้วนั่งดูปูตัวนั้นเดินไปเดินมา
รถยังจอดอยู่ที่เดิมผู้หญิงคนนั้นยังไม่ได้ขึ้นรถ คนขับบีบแตรเร่ง ผู้โดยสารในรถเริ่มหงุดหงิด
"พี่ว่ามันจะไปไหน" หญิงสาวที่อยู่ในสุดหันมาถามผู้หญิงที่นั่งข้าง
"คงจะหนีตายละมั้ง นาทางนี้คงไม่มีอะไรให้กิน มันก็เลยจะหนีมาตายดาบหน้า เหมือนแกไง"
"ฉันถามดีๆทำไมต้องมาว่ากัน" หญิงสาวที่ถูกกล่าวถึงค้อนเสียวงใหญ่ "แต่ก็จริงอย่างที่พี่พูดถ้าฉันไม่ดิ้นรนออกมาทำงานป่านนี้คงได้อดตายจริงๆ"
เสียงรถยนต์แว่วมาแต่ไกล ปูยังเดินวนอยู่ที่เส้นขาวบนถนน
"รถมาแล้ว เดินมาเร็วๆ" ผมส่งเสียงเชียร์เบาๆ มันคงไม่ได้ยินเสียงผมและเสียงรถที่กำลังแล่นมา เลยเดินชูก้ามส่ายไปส่ายมาเหมือนเดิม ผมรู้สึกเป็นห่วงมันขึ้นมา และโล่งอกเมื่อเห็นมันยังเดินอยู่บนถนนเมื่อรถแล่นผ่านไป
"ถ้าเป็นคนทำแบบนี้ไม่ได้ เดินทางอย่างไร้จุดหมายก็ไม่ถึงที่หมายซักที เราต้องวางแผนรู้ไหม" ลุงที่ทำงานอำเภอหันมาพูดกับผม
"แล้วจะดิ้นรนไปเพื่ออะไร ถ้ามันข้ามไปฝั่งโน้นได้ คิดหรือว่าจะดีกว่าฝั่งนี้ อยู่ให้สบายเอาตัวรอดไปวันๆดีกว่าไม่ต้องเหนื่อย" ลุงที่ผมเห็นที่ตลาดพูดแทรกขึ้นมาบ้าง
"ถ้าไม่ลองแล้วจะรู้หรือว่ามันดีไม่ดี" เสียงพี่ผู้หญิงที่นั่งในสุดออกความคิดเห็น
"จะลองก็ต้องวางแผน ลองตะพึดตะพือได้ที่ไหน" ลุงที่ทำงานอำเภอพูดแล้วหันหน้าไปที่ต้นเสียง
เวทีแห่งการแสดงความคิดเห็นกำลังเปิดฉากขึ้น โดยมีผมและเพื่อนเป็นผู้ฟัง และมีเจ้าปูเป็นหัวข้อสนทนา แล้วค่อยๆปิดฉากลงเมื่อผู้โดยสารที่ให้รถจอดรอขึ้นมานั่งบนรถ รถแล่นออกไปอย่างช้าๆ จนเห็นตัวปูเป็นจุดเล็กๆ สีดำๆ
ผมไม่รู้หรอกนะว่าปูมันคิดอย่างไรที่ขึ้นมาเดินอยู่บนถนน แต่สำหรับผมแล้วผมเห็นฝั่งโน้นมีแอ่งน้ำและผมเดาว่าต้องมีปลาอาศัยอยู่แน่ๆ สักวันหนึ่งผมจะไปจับปลาที่แอ่งน้ำนั้น แต่ว่า....จะวางแผนอย่างไรดีไม่ให้แม่รู้.......