7 สิงหาคม 2550 20:32 น.
ปลายตะวัน
อุ่นรักไออุ่นอุ้ม แห่งดิน
อิ่มอุ่นอัสสุริน เอื่อเอื้อ
อุ่นสายเกษียรสินธุ์ บ่สุด สิ้นแล
นมอุ่นกรุ่นเลือดเนื้อ เมื่อแม้ป้อนกิน
เอื้อมเด็ดดวงเด่นฟ้า ดารา
กลืนกลั่นพสุธา แหล่งเหง้า
พรายพร่างต่างพู่มา บรรจบ
ฤๅเอ่ยเอื้อนอกเว้า ท่องถ้อยรำพัน
คำคายปรายหมดสิ้น ฤๅแล
บ่พร่องพลบเพียงแด แม่ได้
ดาวด้วยเผดียงแข เทียมท่าน ได้ฤๅ
แม้นผ่านพันภพไซร้ ห่อนให้ลืมเลือน
ชลนัยน์ผ่าวร้าว รอนริน
ดั่งดับอาดูรดิน มอดไหม้
สังขารเมื่อผลาญผิน ภิณท์พราก
จำจากหากโหยไห้ ห่างแล้วนิรันดร์
ลมลอบหอบแม่นั้น สู่สวรรค์
บ่เอ่ยเผยจำนรรจ์ เหว่ว้า
ลาล่วงรุดร้าวพลัน ผันดับ
ลางตะวันลับฟ้า คร่าข้ารอนรอน
จำจรจำจากสิ้น วิญญาณ
ทวนทิวาละวาร ห่อนคล้าย
รั้งจุติทัดทาน ผันชาติ
บ่อาจเอื้อนเบือนร้าย กลับกล้ำโศกครวญ
*ชาติ ในที่นี้หมายถึงการเกิด
3 สิงหาคม 2550 06:49 น.
ปลายตะวัน
อุราราวร่าวร้าว รอนรอน
อกบ่ผายคลายคลอน ห่างไห้
ทุกข์ท่วมเทวษทอน รอนร่าง
ลางบ่ร้างมล้างไล้ ห่างผู้ เดียวดาย
ผัสสะสัมผัสผู้ เปลือยเปล่า
ร้าวบ่วางร้างเร้า รุ่มร้อน
กำซาบสวาทเคล้า เผาผ่าว
อกสะเทือนสะท้อน ห่อนรู้ แรมลา
เพียงมโนมั่นไว้ ดั่งดิน
หนักเยี่ยงธรณินทร์ แม่นแม้น
อันชอบฤ มลทิน เรียมร่ำ
เคืองบ่เคืองครองแค้น แค่นคล้อง จองจำ
ละอองจิตผ่องเพี้ยง เพียงจันทร์
แม้นผ่านทวนภพพลัน บ่สิ้น
อารมณ์บ่พบผัน รันทด
สุขทุกข์เพียงพ่างริ้น ร่ายไล้ โลมนา
ชีวิตมิอาจย้อน เวลา
ทุกข์ย่อมพานพบพา แทรกซ้อน
จิตบ่หวาดผวา หวามหวั่น
อกก็เพียงยอกย้อน ห่อนให้ หวั่นเกรง
31 กรกฎาคม 2550 09:57 น.
ปลายตะวัน
ทุกข์เทวษท่วมท้น แดนดิน
อกร่ำอัสสุริน เรื่อเรื้อ
ดังดาวล่วงแดดิน ระด่าว ด้าวเอย
ร้อนร่าวราวถกเนื้อ เมื่อสิ้น ลมปราณ
ถ้อยหวานเคยหว่านไว้ เลือนหาย
คำเปล่งวจีกลาย เข่นข้า
สละละยางอาย เห็นถ่อง แล้วเอย
ราวดั่งสางสิงบ้า หมดสิ้น ใจคน
อันสยามจักให้ ใครแล
มิถนอมอกแม่ ฤๅเจ้า
เราร่วมอุทรแท้ ภพแผ่น ดินเดียว
ควรที่วจีเว้า ถ่องถ้อย ผลาญฤๅ
หมู่อริท่าวด้าว แดนดล
บรรพบุรุษชน ปราบไว้
หลั่งเลือดบ่เหือดท้น ทบท่าว
ผีผวาโหยไห้ ห่วงร้าย สาบคำ
ถวิลหวามหวั่นสิ้น เดียวดาย
ร้าวฤๅมลายวาย ศกนี้
ถ้อยคล้อยมโนคล้าย ผลาญพร่อง
จักมล้างภพลี้ ล่มสิ้น ฤๅไฉน
30 กรกฎาคม 2550 03:01 น.
ปลายตะวัน
อันความเงียบ เปรียบดังมีด กรีดอกร้าว
ทุกข์พร่างพราว ดังดาวคล้อย ลอยเวหน
ดื่มอารมณ์ ห่มสำนึก ฝึกฝนตน
สุขระคน ปนทุกข์ คลุกเคล้าใจ
เมฆหมอกกรรม ทำไว้ แต่ไรหนอ
พะนอรอ อกข้า ผวาไหว
อันปราณแผ่ว แล้วลอย คล้อยล่วงไป
ล่วงลงใน มโนหนึ่ง ซึ่งเดียวดาย
พึ่งพระธรรม ชำระใจ ให้เปล่าเปลื้อง
ให้ลืมเรื่อง ราวโศก วิโยคหาย
ชีวิตวัน อันสมหวัง ยังรู้วาย
มีดีร้าย ผายผัน ไม่มั่นคง
อนิจจัง สังขารแท้ ไม่แน่นอน
เพียรตายผ่อน ตกตาม อย่าหวามหลง
รูปหนังนี้ ที่ครองไว้ ไม่ยืนยง
เพียรดำรง จิตตรงมั่น ไม่พรั่นพรึง
24 กรกฎาคม 2550 06:31 น.
ปลายตะวัน
อันลมปาก ลากความ มิคร้ามถ้อย
ถ่มลมลอย ผลอยหล่น ปนเลศหมาย
ใจหยามหยาบ ทราบทราม ตามถ้อยปราย
ซ่อนนัยร้าย ลายเร้น เช่นแย้มยล
ใจจ้วงจาบ คาบคำถ่อย คายถ้อยบาป
ย่อมตราตราบ สาปเร้น ชั่วเหลนก่น
กอร์ปก่อกรรม พร่ำไป ในหมู่ชน
ผู้มืดมน อนธกาล ด้วยมารเบือน
โบราณว่า คราฝนหล่น ขี้หมูไหล
คนจัญไร ไหลบ่า รวมห่าเถื่อน
มิผิดคำ ย้ำความ ตามท่านเตือน
มิคลาดเคลื่อน เลือนล่อง ถ่องใจตน
ธรณี ที่นี้ เป็นพยาน
สยามราน แหลกราว ร้าวสถล
ด้วยถ้อยถ่อย คล้อยกระทำ เป็นกรรมกล
ยามยินยล ชนสนเท่ห์ ด้วยเล่ห์ทราม
แผ่นดินถอย ครรไลคล้อย ลอยล่มแล้ว
ตะวันแวว สุดท้าย ใจหวาดหวาม
ฤๅชาติล่ม จมสิ้น ถิ่นลือนาม
ผีสยาม แต่บรรพ์ โปรดหันมอง