21 มีนาคม 2551 03:33 น.
ปราณรวี
เสียงสุดท้ายวังเวงบรรเลงแผ่ว
เธอจะแว่วยินไหมให้กังขา
กับมุมมืดมิดชิดปิดหูตา
หมดเหนื่อยล้าอาทรทั้งร้อนเย็น
เหลือเพียงร่างทอดยาวราวหลับใหล
ละทิ้งไว้ปวงสุขและทุกข์เข็ญ
ไม่สนใจใยดีที่เคยเป็น
หยุดโลดเต้นวิ่งตามความต้องการ
พระรูปหนึ่งเยื้องย่างนั่งธรรมาสน์
หมู่มวลญาตินิ่งสดับรับธรรมสาร
ท่านเปรียบเปรยเอ่ยถึงซึ่งพรหมญาณ
ยกนิพพานสูงสุดดั่งพุทธองค์
บทส่งท้ายร่ายเรียงเพียงให้คิด
อย่ายึดติดสิ่งใดจนไหลหลง
ด้วยความตายหมายหัวทั่วเผ่าพงษ์
มิมั่นคงเลือกไพร่หรือใหญ่โต
อะนิจจา วะตะ สังขารา อุปาทะวะยะธัมมิโน
อุปัชชิตะวา นิรุชฌันติ เตสัง วูปสโม สุโข
ว่าสังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ
ฤๅรั้งรอห่วงหวงด้วยบ่วงโซ่
มีแต่ร่วงโรยลาจนล้าโซ
จำอวดโอ้ใครใครได้ไม่นาน
ธรรมดาเกิดขึ้นแล้วเสื่อมถอย
ต่างรอคอยล่วงลับดับสังขาร
สุขสงบพบได้ที่ปลายกาล
มิเนิ่นนานเกินรอต่อมรณา
ลมหายใจหนึ่งวูบสูบเข้าออก
เป็นตัวบอกความนัยหายกังขา
สั้นเข้ามาทุกทีแล้วชีวา
อย่ารอช้าเร่งทำแต่กรรมดี
เพียรระลึกนึกไว้ไม่ประมาท
หากสิ้นชาติภพไปในวันนี้
เหลือสิ่งใดไว้ตอบแทนดินแดนที่
ให้ชีวีเติบใหญ่จวบวัยวาร
ที่ผ่านมาสิ่งใดได้สร้างสรรค์
จนถึงวันจากวัฏสงสาร
จงรีบตรองมองซึ้งถึงเหตุการณ์
ก่อนพ้นผ่านเลยไป..ไร้กำลัง
6 มีนาคม 2551 20:25 น.
ปราณรวี
เพลงคะนึงซึ้งข่มอารมณ์วาบ
หนาวกำซาบซ่านทรวงให้ห่วงหา
เพียงพลิ้วแผ่วสายลมพรมพร่างมา
ก็คล้ายพารำพึงคิดถึงไป
โอ้ว่าความรักเอ๋ยเคยรู้สึก
กลับร้าวลึกซ่อนเร้นเป็นไฉน
หรือรักซ้อนย้อนยอกหยอกเย้าใจ
ก่อนผลักไสไกลห่างเพื่อร้างลา
รักหล่นหายปลายทางคือว่างเปล่า
กับเรื่องราวร้าวรวดปนปวดปร่า
หรือใครแสร้งเสกสรรจำนรรจา
ปิดดวงตาปิดใจให้มืดมน
จึงมิเหลือเยื่อใยไว้สัมผัส
อัตคัดถ้อยความท่ามสับสน
สบสายตาล้าเศร้าจากเงาชล
คล้ายอับจนหนทางจะย่างแล้ว
มิใช่กาลเวลามาขวางกั้น
เกินฝ่าฟันจะคว้าถึงซึ่งดวงแก้ว
แต่หัวใจคนดีไร้วี่แวว
จะยึดแนวรักเดียวไว้เกี่ยวกัน
ลมหนาววูบลูบกายคลายจากห้วง
ขอตัดบ่วงอาลัยในคำมั่น
แล้วเลือกทางห่างไกลไปนิรันดร์
ไม่มีวันย้อนหวนทวนกลับคืน
.