โลกสำหรับฉัน ฉันอ่อนแอแพ้พ่ายให้รักแล้ว ด้วยไร้แววชื่นหวานมาสานฝัน คลับคล้ายใจเธอแฝงแอบแบ่งปัน ให้คนนั้นเธอสนิทเฝ้าชิดชม ความห่วงใยให้กันจึงมั่นนัก ฉันประจักษ์จึงเศร้าเฝ้าขื่นขม สัมพันธ์เราเจือจางเหมือนอย่างลม ที่โบกโบยแล้วล่มจมน้ำตา เธอมิได้แคร์ฉันเหมือนวันก่อน ความอาทรที่ฉันใฝ่ฝันหา ถูกปล่อยวางว่างไว้ไร้ราคา ทุกวาจาเอ่ยทักเหมือนหนักใจ ฉันมองเห็นทุกอย่างกระจ่างชัด เมื่อเธอปัดสัมพันธ์จึงหวั่นไหว มิอาจรู้หนทางจะย่างไป เมื่อหัวใจอ่อนล้าไม่กล้าเผชิญ เหมือนโลกมัวใกล้ดับด้วยอับแสง หรือใครแกล้งปิดตาพาห่างเหิน หรือชะตาฟ้าลิขิตปิดทางเดิน จึงหลงเพลินโลกเศร้ามิเบาบาง เมื่อมีดีไม่พอต่อใครเขา อย่ามัวเฝ้ากวนใจให้หมองหมาง ขอปลีกตัวห่างไกลไปตามทาง ให้เธอสร้างโลกใหม่ตามใจปอง ...ทุ่งดอกหญ้า ฟ้าใส... แลคุ้งโค้งขอบฟ้าคราแดดอุ่น ลมละมุนพัดพลิ้วปลิวดอกหญ้า ช่อทองกวาวหลุดรวงร่วงโรยลา เมื่อถึงคราลมฝนหล่นโปรยปราย ท้องทุ่งกว้างร้างรกหญ้าปรกพื้น กลับดาษดื่นชื่นตาฟ้ายามสาย หลากสีสันมาลีคลี่กระจาย เจ้าเรียงรายอวดดอกออกแทรกแซม ทั้งเหลืองแดงส้มขาวพราวพิลาส ดารดาษสุดตาจนจ้าแจ่ม หมู่ผีเสื้อบินจับดูวับแวม ท้องทุ่งแต้มแต่งเติมเพิ่มชีวา หอมรวยรินกลิ่นกรุ่นคุ้นเคยนัก เจ้าทายทักแต่ไกล..ดอกไม้ป่า แม้นห่างหายกายลับได้กลับมา ยังติดตาตรึงใจไม่รู้เลือน เย็นลมโชยโรยรื่นสดชื่นแสน ดั่งดินแดนความฝันอันคล้อยเคลื่อน ออกจากกรุงมุ่งหน้าได้มาเยือน เพื่อลบเลือนเหนื่อยหนักพักใจกาย เก็บสัมผัสธรรมชาติดังวาดหวัง เป็นพลังเพิ่มพูนดังสูรย์ฉาย เพื่อก้าวเดินฝ่าฟันภยันตราย สู่ที่หมายปลายทางอย่างอาจอง พันธนาการ ดังติดบ่วงห่วงมัดตัดไม่ไหว ผูกถึงใจตรึงแน่นดังแผ่นผา มันหนักหน่วงถ่วงถมจมน้ำตา เมื่อรักมาจืดจาง..เธอหมางเมิน มิใช่คนสำคัญดั่งวันก่อน ความอาทรร้างลามานานเนิ่น มีเส้นกั้นแบ่งใจให้ก้าวเดิน ส่วนเกิน..คือตัวเราที่เฝ้ามอง อยากตัดห่วงพันธนาก็สาหัส มิอาจตัดแม้เงา..จึงเศร้าหมอง ยิ่งนานวันฝันดับเข้าจับจอง ทุกข์ครอบครองใจเราอีกคราวแล้ว ได้แต่แอบซุกซ่อนร้อนในอก น้ำตาตกข้างในใจเต้นแผ่ว มองไปทั่วทิศใดก็ไร้แวว พบดวงแก้วชี้ทางก้าวย่างไป จึ่งพะวงหลงทางอยู่อย่างนี้ เธอคนดีมองเห็นเช่นนี้ไหม ฉันอับจนแพ้พ่ายอยู่ภายใน เมื่อหัวใจสองเราไร้เงาเคียง ....พิษกุหลาบ.... กุหลาบงาม ฉันอยากถามความคิดสักนิดหนึ่ง ใครกันหนอไห้หวนครวญคำนึง ยกเจ้าตรึงติดแน่นแทนความรัก เพราะสีสันสวยงามยามเพ่งพิศ จึ่งใจจิตถ่วงถมให้จมปลัก หรือเพียงภาพลวงตาปวดปร่านัก ใครมีรักมิพ้นทุรนทุราย เพราะกลีบบางเรืองเรื่อเมื่อสัมผัส อยากผูกมัดทะนุถนอมพร้อมมั่นหมาย หรือกลีบคมพลิกบาดอาจถึงตาย ยามแพ้พ่ายพิษรักเข้าปักทรวง ด้วยหนามคมจมฝังยั้งไม่หยุด ฤดีทรุดโลดแล่นด้วยแหนหวง เจ็บที่ว่ามากมายทั้งหลายปวง ยังมิหน่วงหนักเท่ารักร้าวราน กุหลาบเอ๋ย แม้อยากเชยชิดชมผสมผสาน แต่ตระหนักรักลวงคือบ่วงมาร อาจหักหาญผลาญสิ้นทั้งวิญญาณ์ จึงขอเพียงเมียงมองจ้องดูเจ้า ชมแค่เงาอยู่ไกลห่างอย่างนี้หนา เก็บภาพฝันถักถ้อยร้อยอุรา เติมชีวาที่ว่างเปล่าคลายเหงาลง ....ด้วยจำยอม.... ระหว่างเราเงาจางคอยขวางกั้น ความผูกพันเลือนรางเกือบห่างหาย ไร้ยึดเหนี่ยวเกี่ยวไว้ทั้งใจกาย จึ่งง่ายดายหมางเมินเกินเอื้อมดึง ไม่สามารถคาดหมายในภายหน้า แรงอ่อนล้าเกินไป..คว้าไม่ถึง ได้แต่เพียงเพ้อพร่ำกับคำนึง ทุกซาบซึ้งเก็บซ่อนอาวรณ์เอง มิอาจเป็นดั่งใจใครวาดหวัง จึงเรื้อรังปวดปร่ามาข่มเหง ก้าวเดินเพียงลำพังกับวังเวง โลกบรรเลงเพลงเศร้าให้เราแล้ว จะอยู่หรือจะไปไม่กล้าบอก เหมือนหนามยอก อกใจให้เต้นแผ่ว โลกที่มัวมืดมิดดังปิดแนว ความผ่องแผ้วคงนานจะพานพบ เมื่อไม่อาจทำได้ดั่งใครหวัง ปล่อยภินท์พังร้างร้าวถึงคราวจบ ปรารถนาลอยเลื่อนต้องเลือนลบ ทิ้งฝังกลบ กลืนกล้ำด้วยจำยอม
สังคมจมดิ่งคล้าย........โดนทัณฑ์ ใครเล่าจักแบ่งปัน.......ทุกข์ท้อ ฟอนเฟะเน่าฤๅผัน.......คืนกลับ แพ้พ่ายกิเลสพ้อ..........ยากพ้นเยียวยาฯ หญิงชายเริงร่ายเร้น....ตัวตน ร้อนเร่าเผากมล..........หม่นไหม้ หมดคุณค่าแห่งคน......เคยเพรียก แล้วฤๅ เพียงเพื่อสนองไซร้.....ครึกครื้นอารมณ์ฯ ไคลคลามาคบค้า........เคียงกัน กำหนัดก็ฉับพลัน........คืบใกล้ มินานเร่งคืนวัน..........ปรากฏ ริบหรี่เริ่มลามไล้.........รุกเร้าโรมรันฯ หลงลืมจนหมดสิ้น.......จรรยา โหมไล่ไฟกามา...........ท่วมท้น เปรียบคนหลับหูตา......มืดบอด ราคะหลายหลากล้น.....เร่าร้อนรอนลาญฯ ศีลธรรมนำจิตพ้น........มลทิน เคยทุกข์ถมธรณิน.......สุขได้ กาเมสุมิจฉายิน...........อย่าเยาะ แย้งนา เพ่งพิศติดตามไว้........ว่างเว้นเวรกรรมฯ
มองท้องฟ้าสดใสใยเมฆขาว แสงแดดส่องแพรวพราววาวไสว สายลมอ่อนโชยพลิ้วทุ่งทิวไกล หอมกลิ่นไม้ดอกงามยามต้องลม หมู่ผีเสื้อเริงร่ายบินไหวว่อน แต้มเกสรสีสันต์วันสวยสม ธรรมชาติวาดไว้ให้ชื่นชม ดั่งปลายคมพู่กันกลั่นออกมา นั่งมองดูทุ่งหญ้าเวลานี้ เหงาเหลือดีดวงใจให้อิจฉา เหล่าภมรร่อนกายในนภา ไม่นำพาโดดเดี่ยวเปลี่ยวฤทัย อยากถามเธอรู้ไหม..ใครคิดถึง แม้เพียงหนึ่งยามเหงาเศร้าหม่นไหม้ ฝากสายลมพรมพลิ้วลิ่วลอยไป ว่าคนไกลคนหนึ่งคิดถึงเธอ
โอ้ใจเอ๋ย..ช่างกระไรให้หวั่นหวาด เพลินหวังวาดแววฝันอันลอยเลื่อน มัวพะวงหลงสาวแต่ดาวเดือน จนลืมเลือนเศร้าโศกที่โลกมี มิหันมองความจริงที่สิงซ่อน มายอกย้อนตอกย้ำช้ำเหลือที่ กับเรื่องราวร้าวรอนซ้อนฤดี แหละท่าทีเมินหมางที่ห่างไป ไม่มีสิทธิ์ใดใดให้เรียกร้อง เพียงเฝ้ามองพะวงด้วยสงสัย อยากค้นหาคว้าถึงซึ่งเยื่อใย มีบ้างไหมตกหล่นบนหนทาง เธอเหมือนเงาเฝ้าตามเกินห้ามหัก ด้วยยากนักจะกำจัดหรือขัดขวาง หากหันหลังหลบเร้นมิเว้นวาง ก็อ้างว้างเกินใจจะใคร่ทำ หนักอย่างไรคงถึงคราต้องลาจาก เหลือเพียงซากรักทรุดหยุดถลำ ยอมหลงวนเวียนว่ายในมืดดำ ดีกว่าช้ำโศกเศร้า..กับเงาเธอ
เวรกรรมเก่าก่อนนั้น.....บันดาล ให้ประสบพบพาน.........ชาตินี้ ดำเนินเรื่องร้อยกาล......บรรจบ เพียงต่างผลบุญชี้.........ทุกข์เศร้าโศกตรมฯ ไม่อาจคิดหลบลี้............ที่ใด แม้อยู่ใกล้หรือไกล........ฟากฟ้า ผลกรรมจะตามไป........กำหนด อาจพบสุข-อ่อนล้า........เร่าร้อนฤๅเย็นฯ คล้ายเรือมนุษย์ผู้-.........ล่องลอย กลางทะเลเฝ้าคอย........หลุดพ้น ทั้งลมคลื่นทยอย...........ซัดสาด ความทุกข์ถมท่วมท้น....ทั่วถ้วนถึงกันฯ เพียงมิท้อ,ต่อสู้............อดทน ดวงจิตพร้อมผจญ........แกร่งกล้า เมื่อพายุฟ้าฝน.............พัดผ่าน ฟากฝั่งที่ไขว่คว้า........จักเอื้อมถึงเองฯ เปรียบคล้ายชีวิตพ้น......วนเวียน ด้วยฝึกฝนพากเพียร......หมั่นไว้ ความดีดั่งบังเหียน........กำกับ ให้ทุกผู้คนไซร้.............ผ่านห้วงบ่วงกรรมฯ