11 สิงหาคม 2550 13:00 น.
ปราณรวี
ศุภฤกษ์เบิกฟ้า..............แดนสยาม
ปวงราษฎร์ทุกเขตคาม...แซ่ซ้อง
เอกองค์พระทรงนาม.....ขวัญแม่ ไทยเฮย
สิริพระชนม์พ้อง............ยิ่งแล้วทรงเจริญฯ
พระทรงยิ่งสิริศรี คู่พระบารมี
แห่งองค์พระจอมราชันย์
พระปรีชาสามารถอนันต์ ทั่วทั้งเขตขัณฑ์
ทรงดั้นด้นดำเนินไป
เสด็จเยี่ยมเยียนผองไทย ทั้งใกล้และไกล
ด้วยทรงห่วงใยสารทุกข์
ประชาร่มเย็นเป็นสุข ชั่วกาลนานยุค
ด้วยทรงปลุกปั้นการงาน
ศิลปาชีพเรืองตระการ ด้วยทรงประสาน
ลุวารวันผันนานมา
เมื่อล่วงถึงวันเวลา สิบสองสิงหา
ประชาแซ่ซ้องยินดี
ถวายพระพรมิ่งศรี แด่องค์ราชินี
ขอจงทรงพระเจริญ
พระทรงเป็นศูนย์รวมใจไทยทั้งชาติ
คือองค์นาถราชินีศรีสยาม
คือจอมขวัญอนันต์เนื่องเรืองพระนาม
คือนิยาม แม่แผ่นดิน ถิ่นร่มเย็น
คือน้ำทิพย์ชโลมใจไทยทั่วหล้า
คือนางฟ้าประทานสุขยามทุกข์เข็ญ
คือหยาดฝนโปรยปรายหายลำเค็ญ
คือจันทร์เพ็ญส่องฟ้านภาลัย
คือสายลมเป่าร้อนให้ร้อนสร่าง
คือแสงทองส่องทางจนพร่างใส
คือสายธารหล่อเลี้ยงลำเลียงไพร
คือร่มไทร..ไทยทั้งมวล..ล้วนร่มเย็น
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะฯ
10 สิงหาคม 2550 03:55 น.
ปราณรวี
เสียงเรียกแม่แลหาผวาวิ่ง
แล้วซบนิ่งในวงแขนแสนอบอุ่น
แว่ววจีปลอบสอนอ่อนละมุน
ภาพลูกหนุนตักแม่แลจับใจ
เสียงเพลงกล่อมขวัญนอนสะท้อนจิต
ชวนให้คิดถึงแม่เราเศร้าไฉน
โอ้แม่จ๋าลูกพรากจากมาไกล
ไม่มีใครช่วยปลอบขวัญที่สั่นคลอน
ยามร้องไห้ไม่มีใครมาช่วยซับ
ต้องซบกับท่อนแขนแทนรองหมอน
ไม่มีเสียงพิสุทธิ์เกื้อเอื้ออาทร
เช่นแต่ก่อนลูกยังเล็กเด็กอีกเลย
ต้องปลอบตนคนเดียวอย่างเดี่ยวโดด
ต้องแล่นโลดต่อสู้ไม่อยู่เฉย
ไร้ผู้แนะชี้แนวทางอย่างที่เคย
ที่จะเอ่ยพึ่งนั้นหรือคือตนเอง
เสียงเรียกแม่แลหาผวาวิ่ง
อกแอบอิงไม่ให้ใครข่มเหง
สองแขนแม่คุ้มกันภัยคลายหวั่นเกรง
ใครข่มเหงแม่ปลอบรับซับน้ำตา
8 สิงหาคม 2550 14:36 น.
ปราณรวี
ด้วยสองมือแม่นี้.............เกาะกุม
ยามเมื่อหนาวร้าวรุม.......อุ่นเอื้อ
ร้อนใดมิอาจสุม..............นานเหน็บ
ทุกข์บ่ให้ลามเรื้อ............อยู่ใกล้ขวัญตาฯ
ยามเจ้าร้องออดอ้อน.......โยเย
แม่ก็จับนอนเปล.............แกว่งให้
เสียงเพลงกล่อมเห่เฮ.....หวานแว่ว
ดังปลอบประโลมไล้.........ไล่ล้าจากจรฯ
เมื่อถึงคราวป่วยไข้.........งอแง
ไม่ห่างเฝ้าดูแล..............ชิดใกล้
แม้เหนื่อยบ่เชือนแช......เพื่อลูก รักเอย
ยามเจ็บปวดแม่ไซร้........เจ็บด้วยคนดีฯ
ยามหิวได้ดูดน้ำ-............นมกิน
เปี่ยมรักล้นดวงจินต์........อกนั้น
หม่นหมองก็โบยบิน........อ้อมกอด แม่เอย
เปรียบดั่งปราการกั้น......ปกป้องคุ้มภัยฯ
ทุกเวลาแม่จ้อง-...........มองดู
สัมผัสรักพรั่งพรู..........รับได้
อบไออุ่นยามชู............ชื่นชิด
สองจิตคล้องมั่นไว้.......ท่วมท้นผูกพันฯ
6 สิงหาคม 2550 05:11 น.
ปราณรวี
ไม่ง่ายเลยเผยใจให้ใครรู้
กล้ำกลืนอยู่ผู้เดียวมิเหลียวหา
ปล่อยหัวใจไหววาบคราบน้ำตา
ทิ้งเวลาผันผ่านเนิ่นนานไป
ลบอย่างไรใยอดีตที่กรีดเชือด
ไม่แห้งเหือด..ตอกย้ำจนร่ำไห้
ฝืนระทมตรมเศร้าเหงาฤทัย
สะสมไว้ล้นปรี่ที่ชอกช้ำ
คือแผลเป็นเรื้อรังยังเจ็บปวด
ให้ร้าวรวดเหน็บหนาวทุกเช้าค่ำ
อยากจะลืมให้หมด..กลับจดจำ
ทุกข์กระหน่ำซ้ำซากจากอาวรณ์
จึงล้มลุกคลุกคลานอยู่นานครั้ง
ด้วยความหลังฝังไว้ยากไถ่ถอน
สุดอนาถหวาดหวั่นใจสั่นคลอน
ทนร้าวรอนข้ามห้วงบ่วงเวลา
ไม่อาจเริ่มต้นใหม่กับใครแล้ว
เพราะไร้แววรุ้งพรายที่ปลายฟ้า
มีแต่เมฆหมอกมัวสลัวตา
กับฟากฟ้าเดียวดายไร้ดาวเดือน
3 สิงหาคม 2550 07:21 น.
ปราณรวี
หลากชีวิตดิ้นรนเพื่อพ้นผ่าน
กับเหตุการณ์มากมายทั้งหลายแหล่
ที่รุกโรมโถมทุกข์ปลุกดวงแด
อาจพ่ายแพ้หรือชนะ..ต้องผจญ
เมื่อผิดหวังครั้งใดก็ใช่ว่า
กาลภายหน้าจะครอบครองด้วยหมองหม่น
ความสำเร็จจะมีได้ให้อดทน
รู้ร้อนรนเพื่อจดจำชุ่มฉ่ำเย็น
เมื่อเหนื่อยนักพักบ้างวางงานหนัก
แล้วตวงตักผ่อนคลายหายทุกข์เข็ญ
อย่ายื้อยุดฉุดระกำให้ลำเค็ญ
เพียงหยุดเล่นชั่วเวลาคราท้อใจ
เมื่อยามท้อขอจงรู้ฉันอยู่นี่
พร้อมเป็นที่ปรึกษาคราร้องไห้
แม้อยู่ห่างสุดตาฟากฟ้าไกล
จะส่งใจข้ามฟ้าไปหาเธอ
เพียงบอกกล่าวข่าวบ้างอย่าวางนิ่ง
แม้บางสิ่งปิดบังด้วยพลั้งเผลอ
อาจไม่มีแนะนำที่ล้ำเลอ
แต่ก็พร้อมเสมอจะรับฟัง