21 สิงหาคม 2550 12:20 น.
ปราณรวี
โอ้ใจเอ๋ย..ช่างกระไรให้หวั่นหวาด
เพลินหวังวาดแววฝันอันลอยเลื่อน
มัวพะวงหลงสาวแต่ดาวเดือน
จนลืมเลือนเศร้าโศกที่โลกมี
มิหันมองความจริงที่สิงซ่อน
มายอกย้อนตอกย้ำช้ำเหลือที่
กับเรื่องราวร้าวรอนซ้อนฤดี
แหละท่าทีเมินหมางที่ห่างไป
ไม่มีสิทธิ์ใดใดให้เรียกร้อง
เพียงเฝ้ามองพะวงด้วยสงสัย
อยากค้นหาคว้าถึงซึ่งเยื่อใย
มีบ้างไหมตกหล่นบนหนทาง
เธอเหมือนเงาเฝ้าตามเกินห้ามหัก
ด้วยยากนักจะกำจัดหรือขัดขวาง
หากหันหลังหลบเร้นมิเว้นวาง
ก็อ้างว้างเกินใจจะใคร่ทำ
หนักอย่างไรคงถึงคราต้องลาจาก
เหลือเพียงซากรักทรุดหยุดถลำ
ยอมหลงวนเวียนว่ายในมืดดำ
ดีกว่าช้ำโศกเศร้า..กับเงาเธอ
20 สิงหาคม 2550 00:24 น.
ปราณรวี
เวรกรรมเก่าก่อนนั้น.....บันดาล
ให้ประสบพบพาน.........ชาตินี้
ดำเนินเรื่องร้อยกาล......บรรจบ
เพียงต่างผลบุญชี้.........ทุกข์เศร้าโศกตรมฯ
ไม่อาจคิดหลบลี้............ที่ใด
แม้อยู่ใกล้หรือไกล........ฟากฟ้า
ผลกรรมจะตามไป........กำหนด
อาจพบสุข-อ่อนล้า........เร่าร้อนฤๅเย็นฯ
คล้ายเรือมนุษย์ผู้-.........ล่องลอย
กลางทะเลเฝ้าคอย........หลุดพ้น
ทั้งลมคลื่นทยอย...........ซัดสาด
ความทุกข์ถมท่วมท้น....ทั่วถ้วนถึงกันฯ
เพียงมิท้อ,ต่อสู้............อดทน
ดวงจิตพร้อมผจญ........แกร่งกล้า
เมื่อพายุฟ้าฝน.............พัดผ่าน
ฟากฝั่งที่ไขว่คว้า........จักเอื้อมถึงเองฯ
เปรียบคล้ายชีวิตพ้น......วนเวียน
ด้วยฝึกฝนพากเพียร......หมั่นไว้
ความดีดั่งบังเหียน........กำกับ
ให้ทุกผู้คนไซร้.............ผ่านห้วงบ่วงกรรมฯ
17 สิงหาคม 2550 03:36 น.
ปราณรวี
หนาวลมพรมแผ่วแว่วเสียงคลื่น
เก็บกลืนฝืนใจที่ไหวหวั่น
หยุดคำพร่ำเพ้อเผลอรำพัน
เมื่อวันฝันดับกับความจริง
ด้วยเราห่างไกลไปเสียแล้ว
สิ้นแววหวนกลับสดับนิ่ง
แม้เจ็บเพียงใดไม่ติติง
ด้วยหยิ่งในตนต้องทนเอา
ไอหมอกมัวหม่นคนก็หมอง
พิศมองคราใดให้อับเฉา
โลกปิดมิดไปไกลจากเรา
จึ่งเศร้าเดียวดายมิวายเว้น
สองคนสองทางถูกกางกั้น
เธอ-ฉันนั้นหนอใช่ล้อเล่น
กับสิ่งเลือนลางที่ต่างเป็น
เฉกเช่นปุถุชนคนทั่วไป
มิใช่ฟากฟ้ามาขัดขวาง
มิใช่หนทางความห่าง-ใกล้
มิใช่เปลือกนอกที่หลอกใคร
แต่คือใจสองเราไม่เข้ากัน
หนาวเหน็บเก็บกลืนสะอื้นเงียบ
เย็นเฉียบหัวใจเริ่มไหวหวั่น
เก็บคำพร่ำเพ้อเผลอรำพัน
เก็บฝันซุกซ่อนรอนน้ำตา...
15 สิงหาคม 2550 03:57 น.
ปราณรวี
มองจันทร์ลอยเด่นฟ้า.....วับแวม
ดุดสะอื้นคืนแรม.............แหว่งเว้า
วิโยคโศกแทรกแซม.......ซุกซ่อน
เราก็เหมือนด้วยเจ้า........ชอกช้ำทรวงในฯ
ยิ่งพิศยิ่งอ่อนล้า.............โรยแรง
หม่นทุกข์ที่แอบแฝง......ร่ำไห้
ดวงใจสิคลายแคลง........รักเร่
จึ่งมิวางคลั่งไคล้............เคลื่อนคล้อยรอยจำฯ
ยามใดใจที่ร้าง................ลางเลือน
เพียงเพิ่มสุขมาเยือน........หนึ่งบ้าง
ที่ปกปิดบิดเบือน..............หายโศก ได้แฮ
เหมือนดั่งจันทร์แรมร้าง....ล่วงขึ้นเต็มดวงฯ
14 สิงหาคม 2550 06:56 น.
ปราณรวี
หลากนิยามความรักจากโลกหล้า
ต่างค้นหาวุ่นวายแม้พ่ายหนี
บ้างเจ็บปวดชอกช้ำย่ำฤดี
บ้างก็มีบางใครไว้แบ่งปัน
ดั่งความรักหนุ่มสาวคราวแรกเริ่ม
ดูเหิมเกริมเติมแต่งด้วยแรงฝัน
ไม่ช้านานผ่านไป..ไห้จาบัลย์
เลิกรักกันลืมหมดรันทดใจ
หรือรักหนึ่งผูกพันฉันมวลมิตร
คราใกล้ชิดเป็นเพื่อนกันมิหวั่นไหว
เมื่อลดน้อยถอยหลังลงครั้งใด
ก็มอดไหม้หายหดหมดราคา
ไม่ว่ารักใดใดก็ให้คิด
เมื่อดวงจิตมิผ่องใสก็ไร้ค่า
ถูกแบ่งปันผันแปรแพ้เวลา
ให้อ่อนล้าผิดหวังทุกครั้งไป
แต่รักหนึ่งซึ้งใจไม่เคยหมด
ไม่มีลดหดจาง..แต่พร่างใส
ไม่เหือดแห้งแกล้งทำช้ำฤทัย
แต่หลั่งไหลชุ่มเย็นเป็นสายธาร
ที่หล่อเลี้ยงเคียงใจไปทุกที่
ด้วยรักนี้มั่นหนักสมัครสมาน
ไม่มีหม่นหมองมัวชั่วกัปกาล
คือตำนานรักของแม่เที่ยงแท้นัก
เป็นรักที่จริงใจใสบริสุทธิ์
แลผ่องผุดมากล้นจนประจักษ์
เฝ้าหลั่งรินรดใจไม่เคยพัก
ลูกตระหนักรักนี้..คือนิรันดร์