สับสนปนเปให้เหว่ว้า ซ่อนหน้านานเนาเขาไม่เห็น อยากลี้หลีกไกลคล้ายจำเป็น ชาเย็นเร้นลวงกับบ่วงใจ หรือลืมคำมั่นเคยสัญญา หลุดร่วงโรยราหามั่นไม่ หนทางเพียงนี้มิใกล้ไกล แต่ใยคล้ายห่างจืดจางลง ยิ่งพิศยิ่งเห็นเป็นประจักษ์ เพราะใจจมปลักจึงลุ่มหลง เมินมองข้ามไปไม่พะวง จึ่งกรงรักขังยังทรมา เป็นเพียงหนึ่งตัวสำรอง เขาจองจับไว้ให้กังขา หากคนโน้นไป..คนนี้มา เปลี่ยนหน้าไม่เว้นแต่ละวัน ถามตัวถามใจในครานี้ เวลามากมีที่โศกศัลย์ อดทนอยู่ได้อย่างไรกัน ถูกบั่นผันแปรแพ้กลลวง ดั่งคนไร้ค่าน่าสังเวช อาเพศชักพามาติดบ่วง หากตัดเยื่อใยทั้งหลายปวง คงร่วงหลุดพ้น..คนพ่ายแพ้
อยู่แคว้นแดนใดไกลสุดหล้า นับคณามากมายให้พบเห็น เมืองใหญ่โตโก้หรูดูช่างเป็น เฉกเช่นแดนสวรรค์ดั้นด้นไป พัฒนาก้าวล้ำเกินคำกล่าว หลากเรื่องราวดำเนินเกินขานไข ทั้งผู้คนเชื้อชาติพิลาสพิไล ดูเป็นใครที่ไม่คุ้นจะหนุนนำ และท่ามกลางฝูงชนล้นหลากนี้ เรากลับมีความเหงาเฝ้ากลืนกล้ำ มองทางไหนใจว้าเหว่เร่ระกำ ทุกคืนค่ำคิดถึงบ้านจนซานซม ที่พ่อแม่พี่น้องปองรักใคร่ ทุกดวงใจใครครามาห่อห่ม ให้หมดทุกข์หมดภัยคลายระทม ที่ช้ำตรมก็เต็มตื้นจนชื่นใจ บ้านหลังนี้มีรักสลักจิต ไม่เบือนบิดขัดข้องให้ร้องไห้ ไม่เคยลดถดถอยน้อยลงไป ทุกห่วงใยมอบมาด้วยอาทร บ้านหลังไม่ใหญ่โตจนโก้หรู แต่เฟื่องฟูอยู่เย็นเป็นสิงขร ช่วยปกป้องคุ้มภัยหายสั่นคลอน จึ่งรอนรอนไหววับอยากกลับคืน
โลกสำหรับฉัน ฉันอ่อนแอแพ้พ่ายให้รักแล้ว ด้วยไร้แววชื่นหวานมาสานฝัน คลับคล้ายใจเธอแฝงแอบแบ่งปัน ให้คนนั้นเธอสนิทเฝ้าชิดชม ความห่วงใยให้กันจึงมั่นนัก ฉันประจักษ์จึงเศร้าเฝ้าขื่นขม สัมพันธ์เราเจือจางเหมือนอย่างลม ที่โบกโบยแล้วล่มจมน้ำตา เธอมิได้แคร์ฉันเหมือนวันก่อน ความอาทรที่ฉันใฝ่ฝันหา ถูกปล่อยวางว่างไว้ไร้ราคา ทุกวาจาเอ่ยทักเหมือนหนักใจ ฉันมองเห็นทุกอย่างกระจ่างชัด เมื่อเธอปัดสัมพันธ์จึงหวั่นไหว มิอาจรู้หนทางจะย่างไป เมื่อหัวใจอ่อนล้าไม่กล้าเผชิญ เหมือนโลกมัวใกล้ดับด้วยอับแสง หรือใครแกล้งปิดตาพาห่างเหิน หรือชะตาฟ้าลิขิตปิดทางเดิน จึงหลงเพลินโลกเศร้ามิเบาบาง เมื่อมีดีไม่พอต่อใครเขา อย่ามัวเฝ้ากวนใจให้หมองหมาง ขอปลีกตัวห่างไกลไปตามทาง ให้เธอสร้างโลกใหม่ตามใจปอง ...ทุ่งดอกหญ้า ฟ้าใส... แลคุ้งโค้งขอบฟ้าคราแดดอุ่น ลมละมุนพัดพลิ้วปลิวดอกหญ้า ช่อทองกวาวหลุดรวงร่วงโรยลา เมื่อถึงคราลมฝนหล่นโปรยปราย ท้องทุ่งกว้างร้างรกหญ้าปรกพื้น กลับดาษดื่นชื่นตาฟ้ายามสาย หลากสีสันมาลีคลี่กระจาย เจ้าเรียงรายอวดดอกออกแทรกแซม ทั้งเหลืองแดงส้มขาวพราวพิลาส ดารดาษสุดตาจนจ้าแจ่ม หมู่ผีเสื้อบินจับดูวับแวม ท้องทุ่งแต้มแต่งเติมเพิ่มชีวา หอมรวยรินกลิ่นกรุ่นคุ้นเคยนัก เจ้าทายทักแต่ไกล..ดอกไม้ป่า แม้นห่างหายกายลับได้กลับมา ยังติดตาตรึงใจไม่รู้เลือน เย็นลมโชยโรยรื่นสดชื่นแสน ดั่งดินแดนความฝันอันคล้อยเคลื่อน ออกจากกรุงมุ่งหน้าได้มาเยือน เพื่อลบเลือนเหนื่อยหนักพักใจกาย เก็บสัมผัสธรรมชาติดังวาดหวัง เป็นพลังเพิ่มพูนดังสูรย์ฉาย เพื่อก้าวเดินฝ่าฟันภยันตราย สู่ที่หมายปลายทางอย่างอาจอง พันธนาการ ดังติดบ่วงห่วงมัดตัดไม่ไหว ผูกถึงใจตรึงแน่นดังแผ่นผา มันหนักหน่วงถ่วงถมจมน้ำตา เมื่อรักมาจืดจาง..เธอหมางเมิน มิใช่คนสำคัญดั่งวันก่อน ความอาทรร้างลามานานเนิ่น มีเส้นกั้นแบ่งใจให้ก้าวเดิน ส่วนเกิน..คือตัวเราที่เฝ้ามอง อยากตัดห่วงพันธนาก็สาหัส มิอาจตัดแม้เงา..จึงเศร้าหมอง ยิ่งนานวันฝันดับเข้าจับจอง ทุกข์ครอบครองใจเราอีกคราวแล้ว ได้แต่แอบซุกซ่อนร้อนในอก น้ำตาตกข้างในใจเต้นแผ่ว มองไปทั่วทิศใดก็ไร้แวว พบดวงแก้วชี้ทางก้าวย่างไป จึ่งพะวงหลงทางอยู่อย่างนี้ เธอคนดีมองเห็นเช่นนี้ไหม ฉันอับจนแพ้พ่ายอยู่ภายใน เมื่อหัวใจสองเราไร้เงาเคียง ....พิษกุหลาบ.... กุหลาบงาม ฉันอยากถามความคิดสักนิดหนึ่ง ใครกันหนอไห้หวนครวญคำนึง ยกเจ้าตรึงติดแน่นแทนความรัก เพราะสีสันสวยงามยามเพ่งพิศ จึ่งใจจิตถ่วงถมให้จมปลัก หรือเพียงภาพลวงตาปวดปร่านัก ใครมีรักมิพ้นทุรนทุราย เพราะกลีบบางเรืองเรื่อเมื่อสัมผัส อยากผูกมัดทะนุถนอมพร้อมมั่นหมาย หรือกลีบคมพลิกบาดอาจถึงตาย ยามแพ้พ่ายพิษรักเข้าปักทรวง ด้วยหนามคมจมฝังยั้งไม่หยุด ฤดีทรุดโลดแล่นด้วยแหนหวง เจ็บที่ว่ามากมายทั้งหลายปวง ยังมิหน่วงหนักเท่ารักร้าวราน กุหลาบเอ๋ย แม้อยากเชยชิดชมผสมผสาน แต่ตระหนักรักลวงคือบ่วงมาร อาจหักหาญผลาญสิ้นทั้งวิญญาณ์ จึงขอเพียงเมียงมองจ้องดูเจ้า ชมแค่เงาอยู่ไกลห่างอย่างนี้หนา เก็บภาพฝันถักถ้อยร้อยอุรา เติมชีวาที่ว่างเปล่าคลายเหงาลง ....ด้วยจำยอม.... ระหว่างเราเงาจางคอยขวางกั้น ความผูกพันเลือนรางเกือบห่างหาย ไร้ยึดเหนี่ยวเกี่ยวไว้ทั้งใจกาย จึ่งง่ายดายหมางเมินเกินเอื้อมดึง ไม่สามารถคาดหมายในภายหน้า แรงอ่อนล้าเกินไป..คว้าไม่ถึง ได้แต่เพียงเพ้อพร่ำกับคำนึง ทุกซาบซึ้งเก็บซ่อนอาวรณ์เอง มิอาจเป็นดั่งใจใครวาดหวัง จึงเรื้อรังปวดปร่ามาข่มเหง ก้าวเดินเพียงลำพังกับวังเวง โลกบรรเลงเพลงเศร้าให้เราแล้ว จะอยู่หรือจะไปไม่กล้าบอก เหมือนหนามยอก อกใจให้เต้นแผ่ว โลกที่มัวมืดมิดดังปิดแนว ความผ่องแผ้วคงนานจะพานพบ เมื่อไม่อาจทำได้ดั่งใครหวัง ปล่อยภินท์พังร้างร้าวถึงคราวจบ ปรารถนาลอยเลื่อนต้องเลือนลบ ทิ้งฝังกลบ กลืนกล้ำด้วยจำยอม
สังคมจมดิ่งคล้าย........โดนทัณฑ์ ใครเล่าจักแบ่งปัน.......ทุกข์ท้อ ฟอนเฟะเน่าฤๅผัน.......คืนกลับ แพ้พ่ายกิเลสพ้อ..........ยากพ้นเยียวยาฯ หญิงชายเริงร่ายเร้น....ตัวตน ร้อนเร่าเผากมล..........หม่นไหม้ หมดคุณค่าแห่งคน......เคยเพรียก แล้วฤๅ เพียงเพื่อสนองไซร้.....ครึกครื้นอารมณ์ฯ ไคลคลามาคบค้า........เคียงกัน กำหนัดก็ฉับพลัน........คืบใกล้ มินานเร่งคืนวัน..........ปรากฏ ริบหรี่เริ่มลามไล้.........รุกเร้าโรมรันฯ หลงลืมจนหมดสิ้น.......จรรยา โหมไล่ไฟกามา...........ท่วมท้น เปรียบคนหลับหูตา......มืดบอด ราคะหลายหลากล้น.....เร่าร้อนรอนลาญฯ ศีลธรรมนำจิตพ้น........มลทิน เคยทุกข์ถมธรณิน.......สุขได้ กาเมสุมิจฉายิน...........อย่าเยาะ แย้งนา เพ่งพิศติดตามไว้........ว่างเว้นเวรกรรมฯ
มองท้องฟ้าสดใสใยเมฆขาว แสงแดดส่องแพรวพราววาวไสว สายลมอ่อนโชยพลิ้วทุ่งทิวไกล หอมกลิ่นไม้ดอกงามยามต้องลม หมู่ผีเสื้อเริงร่ายบินไหวว่อน แต้มเกสรสีสันต์วันสวยสม ธรรมชาติวาดไว้ให้ชื่นชม ดั่งปลายคมพู่กันกลั่นออกมา นั่งมองดูทุ่งหญ้าเวลานี้ เหงาเหลือดีดวงใจให้อิจฉา เหล่าภมรร่อนกายในนภา ไม่นำพาโดดเดี่ยวเปลี่ยวฤทัย อยากถามเธอรู้ไหม..ใครคิดถึง แม้เพียงหนึ่งยามเหงาเศร้าหม่นไหม้ ฝากสายลมพรมพลิ้วลิ่วลอยไป ว่าคนไกลคนหนึ่งคิดถึงเธอ