6 ตุลาคม 2550 08:23 น.
ปราณรวี
ในวิถึชีวิตที่คิดฝัน
ตราบจนมาเป็นฉันทุกวันนี้
ไม่แคร์-ง้อ-ขอร้อง หรือลองดี
เลวก็มีปะปนบ้าง..ช่างประไร
คิดอยากทำสิ่งใด..ก็ใคร่ทำ
หาก้าวล้ำย่ำเส้นของใครไม่
มีสมอง-สองมือ-คือแสงไฟ
เรี่ยวแรงพอหายใจให้ก้าวเดิน
ไม่งอมืองอเท้าคุกเข่าง้อ
เพื่อร้องขอสิ่งใดให้ขัดเขิน
อุปสรรคขวางหน้ากล้าเผชิญ
ไม่หลงเพลินติดบ่วงห้วงมายา
ทุกคำพูดจากปากออกจากใจ
ใช่เสกสรรค์ปั้นแต่งให้ใครกังขา
แม้ความจริงบอกไม่ได้ในบางครา
ทุกเวลาที่เหลือโปรดเชื่อใจ
จะกล่าวหาว่าฉันเห็นแก่ตัว
หาได้เคยเมามัวใส่ร้ายไม่
ไม่หักหลังกลับกลอกหลอกใครๆ
ความหยิ่งพอมีไว้ให้ทะนง
อุดมการณ์ของฉัน..
จะยึดมั่นคงไว้..ใช่ลุ่มหลง
พาชีวิตก้าวไปไม่พะวง
ย้ำ..ซื่อตรงแน่วแน่แก่ตนเอง
3 ตุลาคม 2550 23:18 น.
ปราณรวี
ขึ้นชื่อคฤหัสถ์ล้วน.........ครองตน
ยึดหลักธรรมฝึกฝน........ถ่องถ้วน
สิ่งใดชั่วร้อนรน.............หลบหลีก
คืออบายมุขล้วน............หกข้อพึงจำฯ
หนึ่งปลาบปลื้มกับน้ำ......เมรัย
ดื่มด่ำชุ่มฉ่ำใจ...............ค่ำเช้า
เสียสินทรัพย์บรรลัย.......ไม่บ่น
ขาดสติ,โรครุมเร้า..........ป่วยไข้ทรมานฯ
สองมืดค่ำอาสน์ร้อน........รนราน
ต้องออกนอกเรือนชาน....เที่ยวด้อม
เจ้าชู้อยู่ดักดาน...............บ่เลือก ใครเฮย
กิเลสกาเมล้อม..............หลากล้นคนชังฯ
สามหลงใหลไขว่คว้า.......บันเทิง
เตร็ดเตร่เร่ร่าเริง............เร่งเร้า
ปล่อยตัวปล่อยใจเหลิง.....โลดแล่น
เกินกว่าจะวอนเว้า...........แย่งยื้อกลับคืนฯ
สี่มั่วสุมรุ่มร้อน..............การพนัน
สมบัติก็ผกผัน...............หมดสิ้น
หนี้สินเพิ่มพูนพลัน........เกินกลบ
มวลมิตรก็พลิกลิ้น.........หลบลี้จากจรฯ
ห้าคบคนชั่วช้า..............นักเลง
จับกลุ่มไม่หวั่นเกรง......อวดกล้า
ใครขัดก็ข่มเหง.............ห้ำหั่น
ญาติพี่น้องอ่อนล้า..........ปล่อยแล้วลาไกลฯ
หกหยามเหยียดเกียจคร้าน...การงาน
สร้างกมลสันดาน...............จดจ้อง
กล่าวอ้างหลีกเลี่ยงพาล.......เบือนบิด
พรรคพวกแลเพื่อนพ้อง......ส่ายหน้าระอาใจฯ
หากละเลิกหักห้าม...........ปรามตน
ขึ้นชื่อวิญญูชน.................แม่นแล้ว
สิ่งใดย่อมเกิดผล..............ประกอบ การเฮย
ส่งจิตให้ผ่องแผ้ว..............พรากพ้นโพยภัยฯ
2 ตุลาคม 2550 11:48 น.
ปราณรวี
เพราะโลกร้อนย้อนมาหามนุษย์
เราเกือบหยุดสุขสรรค์ละหรรษา
อากาศแปรอารมณ์เปลี่ยนหมุนเวียนมา
เคยแย้มยิ้มพิมพ์ตาก็ราโรย
หน้าเคยอุ่นละมุนฝันก็พลันบึ้ง
ดูมึนตึงขึ้งค่อนอ่อนระโหย
คนอยู่ใกล้ให้กระดากอยากจะโกย
แทบร้องโวยทำไมหวาหน้าบึ้งจัง
เคยมากมีมวลมิตรสนิทแน่น
ก็โลดแล่นจากไปไม่เหลียวหลัง
มิตรภาพที่มีไม่จีรัง
ด้วยมนต์ขลังเสื่อมฤทธิ์พิชิตใจ
มาเถอะมาสร้างรอยยิ้มพิมพ์ใจเพื่อน
ให้กลาดเกลื่อนเยือนยลดลสมัย
เป็นสื่อแทนไมตรีมิลาไกล
โลกสดใสน่าอยู่ด้วยผู้คน
ละโมโหโกรธาอารมณ์ร้อน
ดับไฟฟอน ฝืน ฝึก ผนึกผล
โลกจะสวยงามตาน่ายินยล
เมื่อทุกคนแจกยิ้มพริ้มเพราตา
30 กันยายน 2550 15:34 น.
ปราณรวี
เพียงเพ่งพิศคิดถามความรู้สึก
จิตสำนึกบอกตามก็หวามไหว
แม้ปิดบังซ่อนเร้นมิเห็นนัย
แต่ดวงใจยอมรับกับเรื่องราว
แอบซุกซ่อนร้อนรนปนปวดปร่า
บางเวลากลืนเก็บกับเหน็บหนาว
ได้แต่เผยเอ่ยเอื้อนกับเดือนดาว
จึ่งรานร้าวคราวครั้งที่รั้งรอ
เมื่อพานพบสบตาผวาหวาด
ด้วยไม่อาจบอกไปตามใจขอ
กลัวเขาหมางเมินหนีไม่ดีพอ
น้ำตาคลอเคลือบแคลงแสลงใจ
จึงอัดอั้นตันอุราละล้าละลัง
ไร้ความหวังจะเล่าแจ้งแถลงไข
จำก้มหน้ามองดินสิ้นเยื่อใย
พรางเอาไว้ใต้ท่าทางวางเฉยเมย
และขอจบเรื่องลงตรงที่นี้
เก็บฤดีเราไว้ไม่เปิดเผย
เหลือเพียงเงาเหงาเล่นเหมือนเช่นเคย
คำเฉลยจากใจ..ไม่มีแล้ว
26 กันยายน 2550 00:35 น.
ปราณรวี
เนิ่นนานผ่านมาใครลาจาก
พร้อมพรากต้นรักจนหักโค่น
กล้ำกลืนฝืนไว้ไม่เงนโงน
ด้วยโดนเล่ห์ร้ายทำลายใจ
ครานั้นฉันเจ็บต้องเก็บกด
เธอลืมไปหมดหรือไฉน
ระรื่นชื่นจิตตามติดใคร
ห่วงใยไม่มีตรงนี้เลย
เอ่ยอ้างวาจาคำว่า"เพื่อน"
แชเชือนเบือนบิดปิดเฉลย
เหินห่างลางเลือนไม่เหมือนเคย
เอื้อนเอ่ยคำลาอย่าเจอกัน
แล้วไยวันนี้ฤดีเปลี่ยน
วนเวียนกลับมาว่าโศกศัลย์
เพ้อพร่ำคำพ้อล้อรำพัน
บอกฉันว่าใจไม่เปลี่ยนแปลง
เมื่อคิดจากลาไยกล้าหวน
ทบทวนซิใครที่หน่ายแหนง
เจ็บปวดรวดร้าวเฝ้าแสดง
แห้งแล้งจริงจังดั่งเป็นมา
แค่คำ"เสียใจ"ใช่แทนทด
ให้ลืมไปหมดได้ดอกหนา
เธอทำใจฉันจนด้านชา
มาเห็นค่าของกัน..วันสายไป