17 พฤษภาคม 2555 10:17 น.
ปติ ตันขุนทด
***เจ้าเมืองลำพูน***
ปติตันขุนทด
***เจ้าเมืองลำพูน***
๑. เจ้าคำฝั้น พ.ศ. ๒๓๔๘ - ๒๓๕๙
๒. เจ้าบุญมา พ.ศ. ๒๓๕๙ - ๒๓๗๐
๓. เจ้าน้อยอินทร์ พ.ศ. ๒๓๗๐ - ๒๓๘๑
๔. เจ้าน้อยคำตัน พ.ศ. ๒๓๘๑ - ๒๓๘๔
๕. เจ้าน้อยธรรมลังกา พ.ศ. ๒๓๘๔ - ๒๓๘๖
๖. เจ้าไชยลังกาพิศาลโสภาคุณหริภุญชัย พ.ศ. ๒๓๘๖ - ๒๔๑๔
๗. เจ้าดาราดิเรกไพโรจน์ พ.ศ. ๒๔๑๘ - ๒๔๓๑
๘. เจ้าเหมพินธุ์ไพจิตร พ.ศ. ๒๔๓๑ - ๒๔๓๘
๙. เจ้าอินทยงยศ พ.ศ. ๒๔๓๘ - ๒๔๕๔
๑๐. พลตรีเจ้าจักรคำขจรศักดิ์ พ.ศ. ๒๔๕๔ - ๒๔๘๖
***หลังจากคณะราษฎรเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ ได้ยกเลิกระบบมณฑลเทศาภิบาลในปี ๒๔๗๖ เปลี่ยนฐานะเมืองเป็นจังหวัด มีผู้ว่าราชการจังหวัดที่แต่งตั้งจากกระทรวงมหาดไทยมาปกครองแทนข้าหลวงประจำจังหวัด
ผู้ตั้งกระทู้ ปติตันขุนทด (suchati2495-at-yahoo-dot-com) :: วันที่ลงประกาศ 2010-03-14 12:12:41 IP : 125.26.103.175
1
ความเห็นที่ 1 (2977804)
โหลนเจ้าน้อยกู้
เจ้าลำพูน มีอีกองค์หนึ่ง ที่ไม่ได้บันทึกไว้บนหน้าประวัติศาสตร์ คือ เจ้าน้อยกู้ เจ้าพรหมปั๋น เจ้าทรายคำ เจ้าเลาแก้ว เป็นเจ้าเชื้อสายจากลำพูน สกุลเดิม วงษ์วรรณ์ เจ้าน้อยกู้อพยบมาอยู่ที่เขต เมืองแกน ทำไร่ทำสวนอยู๋ ณ บ้านใหม่ ม.5 เป็นเวลานับร้อยปีแล้ว ลูกของท่านมีทั้งหมด 9 คน ตอนนี้เหลือ 1 คน
ผู้แสดงความคิดเห็น โหลนเจ้าน้อยกู้ (pongpiwat12777-at-gmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-01-24 13:57:19 IP : 192.168.213.57,
17 พฤษภาคม 2555 10:13 น.
ปติ ตันขุนทด
***เขลางค์นคร***
ปติตันขุนทด
***เขลางค์นคร***
หลังจากพระนางจามเทวีสละราชสมบัติให้เจ้ามหันตยศพระโอรสแล้ว พระนางมีพระเกียรติยศเป็น พระพันวัสสา (พระราชชนนี) ทรงบำเพ็ญแต่พระราชกุศล ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา เช่น สร้างอรัญญิกวิหาร (วัดต้นแก้วทางทิศตะวันออก) สร้างอารามแห่งหนึ่ง ณ ป่าไม้ยางทราย ชื่อ มาลุวาราม และสร้างวิหารทางทิศอิสาน (วัดสันป่ายาง) สร้างพัทธาราม ในทิศอุดร (วัดพระคงคาฤาษีทางทิศเหนือ) สร้างลังการราม และมหาวนารามไว้ในเบื้องทิศปัจจิม (วัดมหาวันทางทิศตะวันตก) สร้างมหาสถารามไว้ในเบื้องทิศทักษิณ (วัดประตูลี้ทางทิศใต้) ทรงสร้างพระพุทธรูปใหญ่น้อยเป็นอันมาก วิหารทั้งห้านี้ พระนางจามเทวีสร้างด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ พระองค์ทรงรักษาอุโบสถศีล และทรงธรรมเสมอมิได้ขาด ครั้งนั้นเสนาอำมาตย์ราชมนตรี และชาวพระนครก็พากันประพฤติปฏิบัติตามอย่างพระนาง เป็นที่พุทธอุปถัมภก ยกย่องพระพุทธศาสนารุ่งเรืองสืบมา
เมื่อเมืองหริภุญชัยมีความเจริญมั่นคงทางการเมืองแล้ว ได้ขยายอำนาจออกไปสร้างเมือง เขลางค์นคร ในที่ราบลุ่มแม่น้ำวัง
ตามตำนานกล่าวว่า ภายใต้การสนับสนุนของสุพรหมฤษี แห่งเขลางค์บรรพต สุพรหมฤาษีเป็นสหายอีกตนหนึ่งของวาสุเทพฤาษี สร้างเขลางค์นคร เพื่อให้อินทรวรกุมาร หรืออนันตยศ โอรสองค์เล็กขึ้นครอง เขลางค์นครมีความสำคัญรองจากเมืองหริภุญชัย
หลังจากที่เจ้าอนันตยศครองเมืองเขลางค์นครมีความเจริญมั่นคงในระยะหนึ่งแล้ว ได้มาทูลขอคณะสงฆ์ และพระครูพราหมณ์ไปสืบศาสนาในเขลางค์นคร พระเชษฐาธิราชเจ้ามหันตยศได้พระราชทานอนุญาต เจ้าอนันต์ยศจึงได้เชิญพระนางจามเทวี พระราชมารดาเสด็จเขลางค์นคร และให้ประทับอยู่ที่เขลางค์นคร เจ้าอนันตยศ ได้ปรึกษามหาพรหมฤาษี สร้างเมืองขึ้นมาทางทิศใต้อีกเมืองหนึ่ง ให้ชื่อว่า อลัมพางค์นคร โดยเจ้าอนัตยศทรงประทับอยู่ และมาปฏิบัติพระราชมารดาอยู่เสมอทุวัน พระนางจามเทวีเสด็จมาประทับอยู่ที่เมืองเขลางค์นครได้ ๖ พรรษา ทรงพระประชวรจึงเสด็จกลับสู่หริภุญชัยนคร หลังจากนั้นพระอาการกำเริบหนัก ได้เสด็จสวรรคตเมื่ออายุได้ ๙๒ พรรษา หรือในราว พ.ศ. ๑๒๕๘
เมื่อพระนางจามเทวีสเด็จสวรรคตแล้ว เจ้ามหันตยศ และเจ้าอนันตยศ ได้ปลงพระศพที่บริเวณป่าไม้ยาง แล้วได้นำพระอัฐิมาบรรจุไว้ด้านประจิม (ตะวันตก) แห่งเมืองหริภุญชัย ได้ชื่อว่า สุวรรณจังโกฏเจดีย์
(พงศาวดารโยนก)
ผู้ตั้งกระทู้ ปติตันขุนทด (suchati2495-at-yahoo-dot-com) :: วันที่ลงประกาศ 2010-03-14 14:05:44 IP : 125.26.103.175
17 พฤษภาคม 2555 10:04 น.
ปติ ตันขุนทด
***เจ้านครโยนกนาคบุรี***
ปติตันขุนทด
***เจ้านครโยนกนาคบุรี***
ในรัชกาลพระองค์พังคราช เจ้านครโยนกนาคบุรีนั้น มหาศักราชล่วงได้ ๒๗๗ ปี ครั้งนั้นนครโยนกร่วงโรย ราชอำนาจอ่อนน้อยถอยลง พวกขอมเมืองอุมงคเสลานครกลับกำเริบตั้งแข็งเมืองขึ้น เจ้านครโยนกปราบปรามไม่ชนะ ขอมมีกำลังและอำนาจมากกว่า ก็ยกพลโยธาเข้าตีปล้นเอาพระนครโยนกได้ในวันอาทิตย์ เดือน ๕ แรม ๑ ค่ำ พระพุทธศาสนากาลล่วงแล้วได้ ๙๐๐ พรรษา พระยาขอมจึงไล่พระองค์พังคราช เจ้านครโยนกกับราชเทวี ไปอยู่ ณ เวียงสีทวง ริมแม่น้ำสาย ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ แห่งโยนกนคร และขอมเข้าจัดการเมืองเป็นใหญ่ในนครโยนกและแคว้นทั่วไป
*****
พงศาวดารโยนก บริเฉทที่ ๕ ว่าด้วยขอมและไทย
17 พฤษภาคม 2555 09:32 น.
ปติ ตันขุนทด
***พรหมกุมาร***
ครั้นพรหมกุมารเจริญวัย มีชนมายุได้ ๗ ขวบ ก็มีน้ำใจองอาจกล้าหาญ ชอบเครื่องสรรพยุทธ์และวิชาการยุทธ์ทั้งปวง ครั้นชนมายุได้ ๑๓ ขวบ มหาศักราชล่วงได้ ๒๙๓ ปี ดับไซ้ คือปีมะเส็ง เดือน ๙ คือเดือน ๘ ขึ้น ๘ ค่ำ วันอังคาร ยามกลางคืนค่อนแจ้ง พรหมกุมารทรงสุบินนิมิตฝันเห็นเทพดาลงมาหา แล้วบอกว่า ถ้าเจ้าอยากได้ช้างมงคลตัวประเสริฐ รุ่งเช้าวันนี้ จงตัดขอไม้ไม้ไร่ถือไป และจงไปล้างหน้าที่แม่น้ำของ เจ้าจักได้เห็นช้างเผือกล่องน้ามาสามตัว
ถ้าจับได้ตัวที่หนึ่งจะได้ปราบทวีปทั้งสี่
ถ้าจับได้ตัวที่สองจะได้ปราบชมพูทวีปแต่ทวีปเดียว
ถ้าจับได้ตัวที่สามจะได้ปราบแคว้นล้านนาไทย ประเทศขอมดำทั้งมวล
เทพดาบอกความแล้วก็กลับไป พรหมกุมารสะดุ้งตื่นก็พอรุ่งแจ้ง จำความฝันนันได้แม่นยำ จึงเรียกเด็กบริวาร ๕๐ คนมาสั่งให้ไปตัดไม้ไร่ได้แล้วก็พากันไปสู่ท่าน้ำ ณ ฝั่งแม่น้ำขละนที คือแม่น้ำของ(โขง) สรงแล้วก็รอคอยอยู่ประมาณครู่หนึ่ง ก็เห็นงูตัวหนึ่งสีเหลืองเลื่อมเป็นมันยับ ใหญ่ยาวยิ่งนัก เลื้อยล่องน้ำมาใกล้ฝั่งแม่น้ำของที่พรหมกุมารกับเด็กบริวารอยู่ พรหมกุมารและบริวารก็พากันหวั่นไหวตกใจกลัว มิจลงไปใกล้กรายได้ ครั้นงูใหญ่นั้นล่องเลยไปได้ประมาณยามหนึ่ง ก็ได้เห็นงูอีกตัวหนึ่ง ใหญ่เท่าลำตาล เลื้อยล่องลงมาอีก พรหมกุมารและบริวารก็มิอาจที่จะทำประการใด พากันนิ่งดูอยู่ งูนั้นก็ล่องเลยไป
สักครู่หนึ่งก็เห็นงูใหญ่เท่าลำตาล ล่องน้ำมาอีกตัวหนึ่ง ครั้นพรหมกุมารได้เห็นงูครบ ๓ ตัวดังนั้น จึงมาระลึกถึงความฝันอันเทพดามาบอกว่า จะมีช้างประเสริฐ ๓ ตัวล่องแม่น้ำของงมา ครั้นมาดูก็ไม่เห็นช้าง ได้เห็นแต่งูใหญ่ถึง ๓ ตัว ดังนี้ ชะรอยว่าช้างนั้นจะเป็นงูนี้เอง
เมื่อดำริเห็นเป็นแม่นมั่นเช่นนั้นแล้ว จึงสั่งบริวารทั้งหลายว่า เราจงช่วยกันจับงูตัวนี้ให้จงได้ จะเป็นตายร้ายดีประการใดก็ตามทีเถิด แล้วก็พากันลงไปเตรียมคอยจับงูอยู่ริมกระแสน้ำ
พองูนั้นลอยมาใกล้เจ้าพรหมกุมารกับเด็กบริวาร ก็เอาขอไม้ไร่เข้าเกาะเกี่ยวจับงูนั้นได้ งูนั้นก็กลับหายกลายเป็นช้างเผือกบริสุทธิ์ผุโผ่องพ่วงพีงาม พรหมกุมารก็มีน้ำใจชื่นชมยินดี ขึ้นขี่เหนือคอช้างนั้น เอาไม้ไร่เกาะเกี่ยวขับไสให้ขึ้นจากน้ำ ช้างนั้นก็มิได้ขึ้น ลอยเล่นน้ำทวนไปมาอยู่
พรหมกุมารจึงใช้เด็กบริวารไปทูล่ความแก่บิดาให้ทรงทราบ พระองค์พังคราชจึงปรึกษาโหราจารย์ โหรแนะนำให้เอาทองคำหนักพันหนึ่ง (คือชั่งหนึ่ง) ตีเป็นพาง คือกระดึงไปตีนำหน้าพระยาช้าง ๆ จึงจะขึ้นจากน้ำได้ พระบิดาก็ให้ทำตามคำโหราจารย์ แล้วเจ้าทุกขิตะกุมารผู้เป็นเชษฐาเจ้าพรหมกุมาร นำกระดึงทองคำไปตามหาพรหมกุมาร ครั้นถึงจึงตีกระดึงทองนั้น พระยาช้างได้ยินเสียงกระดึงจึงขึ้นจากน้ำโดยปกติ ที่ ๆ ช้างลอยน้ำอยู่นั้นจึงมีชื่อปรากฏว่า ตำบลควานทวน ส่วนพระยาช้างนั้นจึงมีนามว่า ช้างพางคำ (คือกระดึงทองคำ)
*****
พงศาวดารโยนก บริเฉท ๕ ว่าด้วยขอมและไทย