30 เมษายน 2553 19:11 น.
ปฏากร ดุริยางค์
* เรื่อง และเนื้อหาที่ปรากฏในเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่แต่งขึ้น ไม่ได้นำชีวิตของใครคนใดคนหนึ่ง มาสร้าง เป็นเพียงนิยายเรื่องหนึ่งที่ต้อง การให้คนเรารู้จักคำว่า "คุณค่าของชีวิต" เพียงเท่านั้น และอาจจะมีถ้อยคำที่ไม่สุภาพบ้าง ก็ต้องขออภัย เพราะต้องการสะท้อนให้เหมือนชีวิต จริงมากที่สุด *
กลับไปอ่านตอนที่ 1
http://thaipoem.com/forever/story.php?storyid=10993
ความเดิมตอนที่แล้ว
... พอนางแก้วตาย ที่ดินก็ตกเป็นของนายเก่ง และนายกล้า บุตรชายทั้ง 2 แต่ถึงอย่างนั้น อาชีพทำนาทำไร่ก็หารายได้ไม่มากนัก จึงต้องมาหางานทำใน กทม. กรรมซัด บริษัทโรงงานที่ทำงานอยู่ดันปิด ตัวลง ทั้งสองจึงต้องแยกงานกันทำ เก่ง ไปทำงานคุมร้านคาราโอเกะในเครือของเสี่ยธำนง ส่วนกล้าไปทำงานร้านข้าวหมูแดง ต่อมา เจ็นวล เจ้าขงอร้านข้าวหมูแดง ก็มาคุยกับกล้า พร้อมกับมอบหนังสือเล่มหนึ่งให้ ...
"กะ...เสด...ทิด....สะดี......ใหม่... ตาม..แนว..พะ...ราด..ชะ.... ดำ..ริ" กล้าพยายามอ่านออกเสียงเบาๆ จากประโยคบนหน้าปก ที่เพิ่งได้รับมาจากเจ็นวล นอกจากประโยคดังกล่าว ยังมีรูปชายคนหนึ่ง ที่ทุกๆ คนก็ต้องรู้จัก และกล้านั้นก็รู้จักด้วยเช่นกัน ในความรู้ของกล้านั้น ชายที่เขาเห็นบนหน้าปกหนังสือ กล้ารู้แต่ว่า ใครๆ ก็เรียกว่า "ในหลวง" เป็นผู้ที่คนไทยทุกคนให้ความเคารพ กราบไหว้ มาตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่ แต่กล้ายังไม่ค่อยรู้จัก "ในหลวง" ดีนัก รู้แต่ว่าเป็นบุคคลที่ต้องกราบไหว้ และก็ยังไม่รู้ว่า ทำไม รูปในหลวง จึงต้องมาปรากฏอยู่บนหน้าปกหนังสือ เล่มนี้ด้วย
เวลาสี่ทุ่มเศษๆ หลังจากที่กล้าช่วยเด็กๆ ในร้านข้าวหมูแดงเก็บของเรีบร้อยแล้ว เขาก็นำหนังสือออกมานั่งอ่านที่ระเบียงร้าน เพราะเจ็นวลไว้วางใจให้กล้าเฝ้า ร้าน กล้าจึงต้องนอนในห้องของร้าน ซึ่งก็หมายความว่าเขาก็ต้องเฝ้า ร้านนั้น ในเวลากลาวคืนด้วย กล้าพยายามใช้ความรู้เรื่องภาษาไทย ในการอ่าน และสะกดคำแต่ละคำในหนังสือ ซึ่งบางทีก็มีคำศัพท์ ที่กล้าไม่รู้จัก การเขียนภาษาไทยทับศัพท์ภาษาอังก ฤษ หรือบางทีก้มีภาษาอังกฤษเลย แต่ถึงอย่างนั้น กล้าก็พยายามที่จะอ่าน เพราะหนังสือเล่มนี้ เกี่ยวกับอาชีพของเขาที่บ้าน ตจว. ที่สำคัญ เจ๊นวลเป็นคนให้เขา แสดงว่าหนังสือเล่มนี้ ต้องมีอะไรดีๆ อยู่อย่างแน่นอน
.........
กล้าไม่รู้ตัวเลยว่า ตอนนี้เป็นเวลาตีสามกว่าแล้ว เพราะว่าด้วยความตั้งใจที่จะอ่านเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ด้วยความสนใจ และตอนนี้กล้าก็ได้อ่านมันแล้วท ั้งเล่ม ถึงแม้จะไม่เข้าใจทั้งหมด แต่กล้าก็คิดว่าควรจะทำอย่างในหนังสือเล่มนี้ รุ่งเช้า เก้านาฬิกา เจ๊นวล... เดินมาหากล้าแบบไม่ให้สุ้มให้เสียง
"เธออ่านหนังสือที่พี่ให้เธอไป หรือยังกล้า" เจ๊นวล ทักกล้าก่อน ทำเอากล้าสะดุ้ง
"ขะ...ครับ ๆ ... เมื่อคืนนี้ผมนั่งอ่านจนหมดเล่มเลยครับ" กล้าตอบ แต่เสียงยังมีสั่นๆ
"เหรอๆ ... ที่พี่ให้เธออ่านเนี่ย เพราะว่าให้อยากให้เธอกลับไปทำอย่างในหนังสือนี้ที่บ้าน เพราะเธอเองบอกว่าที่บ้านนอกเธอมีที่มีทางอยู่แล้ว พี่เสียดาย พี่เองก้อยากทำ แต่พี่มีบ้านอยู่แต่ในกรุงเทพ พี่อยากให้เธอกลับไปทำ และทำให้ดี ได้อยู่ใกล้ครอบครัวเธอด้วย ไม่ต้องมาหางานงกๆๆ ในกรุงเทพแบบนี้ เอาแบบนี้เปล่าเธอ พี่จะให้เงินเธอกลับบ้านนอกไป อยู่อย่างนี้กับพี่มันก็ไม่ค่อย ได้อะไรหรอก เป็นแค่ลูกจ้าง เธอมียังโอกาสที่จะทำ น่าจะกลับไปทำนะ ดีไหมกล้า" เจ๊นวลพูดซะยาว
"เอ่อ... ผมก็อยากทำนะครับ แต่ผมไม่รู้ว่าผมจะทำได้หรือเปล่า อีกอย่างถ้าผมพักงานในกรุงเทพ ผมกลัวว่าถ้าผมทำตามไม่ได้อย่างในหนังสือ ผมกลัวจะไม่มีเงินให้ลูกเรียน..." กล้สยังพูดไม่จบ เจ๊นวลก็พูดตัดบทขึ้นมา
"ไม่ต้องห่วงกล้า พี่สนับสนุนเธอนะ เห็นเธอเป็นคนดี ชีวิตเธอน่าจะมีอะไรดีๆ กว่าเป็นลูกจ้างพี่ ถ้าเธออยากทำ พี่จะให้เงินเธอกลับบ้านไปสามหมื่น แล้วถ้าขาดเหลือ หรือลำบากอะไรบอกพี่ไม่ต้องกลัว" เจ๊นวลบอกกล้าสุดท้าย
"ครับๆ ขอบพระคุณเจ๊นวลมากครับ ผมจะพยายมทำให้ได้ครับ" กล้าพูด แต่ยังสั่นเหมือนเดิม แต่คราวนี้มีน้ำตาคลอ...
ณ สถาณีหมอไม่เคยห่าง... ( หมอชิต -*- )
กล้าตัดสินใจออกจากงานร้านข้าว หมูแดง และกลับไปพัฒนาการงานทำไรไถนา ที่บ้าน ตจว. ตามคำแนะนำของเจ๊นวล ระหว่างที่กล้ากำลังซื้อตั๋วรถทัวร์เพื่อที่จะนั่งกลับบ้าน พลันสายตาก็มองไปเห็นคนคนหนึ่ง ที่กล้าไม่ได้เจอนาน แต่ถ้าเจอที่ไหนก็จำได้แน่นอน
"พี่เก่งงงงงงงงง" เสียงกล้าตะโกนด้วยความดีใจสุดขีด
"เห้ย ! ไอ้ห่ากล้า..." เสียงเก่ง ตอบรับด้วยน้ำเสียงดีใจเช่นกัน แต่เบากว่า
"พี่หายไปไหน แล้วพี่มาทำอะไร พี่ไม่ได้ทำงานกับเสียธำนงแล้วเหรอ พี่ๆ ฯลฯ" กล้ายิงคำถามแบบไม่นับชุด
"ไอ้ห่า... มรึงถามกูที่ละอย่างสิเหี้ย กูไม่ได้หายไปไหน ก็ทำที่เดิม แต่ตอนนี้เสี่ยธำนงแกตายแล้ว ลูกแกมาบริหารแทน แล้วกูก็ไม่ถึงกับลูกแกด้วย นี่กำลังหารถกลับบ้าน" เก่งตอบเสียงดูเหนื่อยๆ
"โหพี่... เมีย กับลูกพี่บ่นหาพี่แทยทุกครั้งที่ผมกลับบ้าน มาเลยพี่กลับบ้านด้วยกัน เดี๋ยวผมออกค่ารถให้พี่นะ" กล้าโต้ตอบกับพี่ชายสุดที่รักของเขาด้วยเสียงสดใส
"อือ..." คือคำตอบสั้นๆ จากพี่ชาย...
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
ณ รถทัวร์...
"พี่เก่ง ๆ" กล้าเรียกพี่ชายของเขาซึ่งกำลังสัปงกอยู่ข้าง
"ห่าไรของมรึงวะ ?" เก่งถามตอบแบบไม่ค่อยอยากจะมีอารมณ์สนทนาในตอนนี้
"พี่กลับบ้านไปจะทำอะไร" กล้าถามต่อ
"จะทำห่าอะไรได้ จูงไอ้มืดไถนา เหมือนทุกปีนั้นแหละ แต่ปีนี้อาจจะอยู่นาน เพราะกูยังไม่รู้จะทำอะไรต่อ" เก่งตอบน้องชาย แต่ตายังหลับอยู่
"นี่ๆ พี่ ผมจะให้พี่ดูหนังสือนี่" กล้าบอกพี่พร้อมทั้งหาหนังสือที่ ว่าในกระเป๋าอย่างตื้นเต้น
"หนังสือห่าไรวะ ?" เก่งตอบน้อง ลืมตามาดูน้องหนึ่งข้าง
"นี่งัยพี่" กล้าหยิบหนังสือมายื่นให้พี่ชายดู
"ในหลวง ???" เก่งตอบงงๆ ตายังจ้องหนังสือ
"ใช่พี่ ในหลวงท่านสอนเกี่ยวกับการทำเกษตรแบบใหม่ ผมอ่านแล้วน่าสนใจมากเลยพี่ นี่ว่าพอกลับบ้านนะ ผมจะไปลองทำตามในหนังสือดู ที่เราก็มีเยอะน่าจะทำอะไรได้หลายอย่างเลย" กล้าคุยให้พี่ชายฟัง
"มรึงจะทำอะไรก็ทำไปเหอะ กูทำนาอย่างเดียวก็จะเหนื่อยตายแหละ จะให้ทำนู่นทำนี่อีก กูไม่เอา มรึงจะทำก็ทำ กูทำนาอย่างเดียวก็เหนื่อยพอละ..." เก่งตอบน้องอย่างหัวเสีย แล้วก็เอนตัวลงนอนที่เบาะ...
ส่วนกล้านั้นก็หน้าเสีย เพราะพี่ชายไม่เล่นด้วย ความหวังที่จะชวนพี่ทำตามอย่าง ในหนังสือ ก็พังทลาย ซ้ำยังโดนด่ากลับมาอีก เลยเก็บหนังสือเข้ากระเป๋า แล้วไม่ได้พูดอะไรอีก ก็หลับตาลงนอนที่เบาะรถทัวร์ ข้างๆ พี่ชาย...
โปรดติดตามตอนต่อไป...
ปฏากรณ์ดุริยางค์
29 เมษายน 2553
29 เมษายน 2553 16:16 น.
ปฏากร ดุริยางค์
* เรื่อง และเนื้อหาที่ปรากฏในเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่แต่งขึ้น ไม่ได้นำชีวิตของใครคนใดคนหนึ่ง มาสร้าง เป็นเพียงนิยายเรื่องหนึ่งที่ต้อง การให้คนเรารู้จักคำว่า "คุณค่าของชีวิต" เพียงเท่านั้น และอาจจะมีถ้อยคำที่ไม่สุภาพบ้าง ก็ต้องขออภัย เพราะต้องการสะท้อนให้เหมือนชีวิต จริงมากที่สุด *
******************************************************
ย้อนกลับไปสัก 20-30 ปีก่อน ในชนบทต่างจังหวัดแห่งหนึ่ง บนผืนแผ่นดินประเทศไทย ยังมีครอบครัวของนางแก้ว ... แกเป็นม่ายผัวตาย มีลูกชายวัยรุ่น 2 คน ชื่อเก่ง กับกล้า เก่งนั้นเป็นพี่ มีนิสัยห้าว ไม่ค่อยกลัวใคร ส่วนกล้านั้นเป็นน้อง เป็นคนที่รักสงบต่างจากพี่ แต่ลึกๆ แล้วเป็นคนที่ไม่ค่อยยอมใครได้ ง่ายๆ เหมือนกัน
นางแก้ว เป็นคนค่อนข้างมีฐานะ มีที่ดินมากมาย ที่ดินในต่างจังหวัดนั้น ก็ไม่พ้นอะไรที่ต้องทำไร่ไถนา เลี้ยงสัตว์ ฯลฯ ไปตามวิถีชนบท พอสิ้นนางแก้ว มรดกก็ถูกแบ่งเป็นครึ่ง เพื่อมอบให้ลูกชาย 2 คน ซึ่งตอนนี้ก็โต และมีครอบครัวกันแล้วพักหนึ่ง
เก่ง และกล้าทำนาทำไร่ ตามแบบบิดามารดาเมื่อสมัยยังเล็กๆ ก็นำมาใช้ ประจวบกับครอบครัวของทั้งสองก็ มีลูกมีเต้า ค่าใช้จ่ายก็เริ่มมีมากขึ้น จึงต้องมาแสวงหางานทำในเมืองหลวง ตามคำบอกเล่าของคนที่ไปทำงานมา และมีรายได้กลับมามากมาย เก่งและกล้า จึงตัดสินใจเข้า กทม. เพื่อที่จะหวังหาเงินมาให้ครอบครัวได้มากขึ้น เมื่อเว้นว่างจากฤดูการทำนา
เพราะว่าเก่ง กับกล้านั้น มีวุฒิที่ไม่สูงนัก ก็คือ จบ ป.4 ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในสมัยนั้น งานที่ทำได้ก็คงไม่พ้นแบกหาม รับจ้าง ใช้ร่ายกายทำงานเป็นหลัก กล้าและเก่งทำมาหลายอาชีพ ไม่ว่าจะเป็น กรรมกร ขับแท็กซี่ ลูกจ้าง พนักงานโรงงาน ฯลฯ ช่วงหนึ่ง เกิดพิษเศรษฐกิจตกต่ำทำให้บริษัทโรงงานที่เก่งและกล้าทำอยู่ ปิดกิขการลง ตอนหลังนั้น เก่งไปทำงานกับเสี่ยธำนง เจ้าพ่อห้องแถว และร้านคาราโอเกะ เพราะว่านิสัยห้าวๆ เลยไปอยู่กับงานแบบนั้นได้ ส่วนกล้านั้น ไปทำงานเป็นพนักงานในร้านข้าวหมู แดงแถวจรัญสนิทวงศ์
ช่วงหลังนี้ กล้ากลับบ้านที่ ตจว. บ่อยครั้งขึ้น เพราะว่าร้านข้าวหมูแดงที่กล้าทำ พนักงานค่อยข้างเยอะ และเจ้าของร้านค่อนข้างจะเอ็นดูกล้า เพราะกล้าเป็นคนนิสัยอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นมิตร และไม่เคยบ่นเรื่องการทำงาน ไม่ว่าจะจ้างถูก หรือแพง หรือว่างานหนัก ลำบากอย่างไร ก็กล้าไม่เคยบ่น จึงเป็นที่รัก และพอใจของเจ้าของร้าน ผิดกลับเก่ง ที่นานๆ จะกลับบ้านที บางปีก็ไม่ได้กลับไปทำนา จนกล้าเวลากลับไป ตจว. ก็ต้องช่วยภรรยาของเก่งทำนาด้วยซ้ำ ถ้าจะให้หาตัวพี่เก่งก็ยากมาก เพราะแกทำงานไม่อยู่กับที่ ไปโน่นนี่ตลอดเวลา และเข้าถึงตัวแกก็อยาก มีแต่ผู้มีอิทธิพลทั้งนั้น
กล้า ทำงานอย่างเดียว ถึงจะได้อาศัยอยู่ในห้องของร้านที่ทำ ค่อนข้างสะดวกสบาย บางทีก็พาเมีย และลูกมาเที่ยว กทม. ด้วย แต่กล้าไม่ค่อยได้ดูทีวี หรือฟังวิทยุเท่าไหร่นัก จึงไม่ค่อยรู้ข่าวสารบ้านเมืองว่ามีอะไรบ้าง วันหนึ่ง เจ๊นวล เจ้าของร้านข้าวหมูแดงที่กล้าทำ ก็ถามกล้าว่าบ้านที่ ตจว. ทำอะไร กล้าก็ตอบไปว่าทำนาทำไร่ เลี้ยงสัตว์ ตามประสาบ้านนอก เจ็นวลก็ถามว่า ทำไม ไม่ไปทำละ กล้าก็บอกว่าจะกลับไปทำเฉพาะหน้านาเท่านั้น...
"แล้วหน้าอื่น ที่ไม่ได้ทำนาละ" เจ๊ถาม
"ก็มีเลี้ยงสัตว์ครับ หมู ไก่ ปลา วัว ควาย ช่วงนั้นผมก็ให้เมียผมดูแล" กล้าตอบอย่างซื่อๆ
"เราน่าจะพออ่านหนังสือออกนะ พี่มีอะไรให้เธออ่าน หนังสือเล่มนี้ พี่ให้เธอ เอาไว้อ่าน เอาไว้ดู" เจ๊บอกพร้อมส่งหนังสือเล่มดังกล่าว นั้น ให้กล้า
กล้า... รับหนังสือมาจากเจ๊นวล ประกอบกับเจ๊นวลพอส่งเสร็จก็เดินกลับไปคุยกับเด็กๆ ที่กำลังเก็บร้าน กล้าจึงก้มลงดูหนังสือที่รับมา จากเจ๊นวลในมือ พยายามอ่าน สะกดอักษรไทยที่ปรากฏบนหน้าปกหนังสือ...
"เกษตรทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดำริ"
โปรดติดตามตอนต่อไป...
ปฏากรณ์ดุริยางค์
28 เมษายน 2553
25 กันยายน 2552 20:55 น.
ปฏากร ดุริยางค์
ที่ทำงานของพี่ชายผม เป็นหน่วยงานราชการแห่งหนึ่งใน กทม. และก็มีข้าราชการหลายๆ คนที่เกษียญอายุแล้ว แต่ยังมาทำงานอยู่ เพราะอยู่ในภาวะที่เรียกว่า "ผู้ชำนาญการ" ข้าราชการใหม่ๆ บางคนยังไม่ค่อยรู้งาน จึงจำเป็นต้องอาศัยบุคคลเหล่านี้มาก และกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นผู้สูงอายุ บางทีก็มีหลงๆ ลืมๆ บ้างตามปกติ ซึ่งอาการหลงลืมนี้ก็เกิดกับป้าราชการชำนาญการพิเศษ คนหนึ่งที่ร่วมงานกับพี่ชายผมเป็นประจำ เหตการณ์จะเป้นอย่างไร นั้น คอยติดตามครับ...
ป้าเนียร เดินเข้ามาที่โต๊ะทำงาน ซึ่งอยู่ข้างๆ โต๊ะพี่ชายผม ป้าเนียนอายุ 70 กว่าแล้ว แต่เขายังจ้างป้าเนียรอยู่ เพราะป้าเนียนติดต่องานราชการได้เก่งมาก วันนี้ป้าเนียรมาเช้า ยังไม่ถึงเวลางาน พี่ชายผมก็เลยชวนป้าเนียนคุยไปเรื่อย พลัยสายตาพี่ชายผมก็เห็นรองเท้าที่ป้าเนียรใส่มา ซึ่งมันก็เป็นคัทชู เหมือนกันทั้ง 2 คู่ แต่ที่แปลกคือสีไม่เหมือนกัน คือข้างหนึ่งสี่แดง ข้างหนึ่งสีเทา...
พี่ชาย - "ป้าเนียร ใส่มาได้ยังงัยเนี่ย คนละสี คนละข้างเลย?? ใส่มาได้งั้ย อายเขา" เสร้จแล้ว พี่ชายผมก็เอารองเท้าป้าเนียรไปแอบไว้หลังโต๊ะ
ป้าเนียร - (มองตามรองเท้าที่พี่ชายผมเอาไปแอบ)
พี่ชาย - "ผมเอาไปแอบให้แล้วนะป้า แหมใครเห็นอายเขาหมด ใส่มาได้ยังงัยเนี่ย"
ป้าเนียร - "อย่าเอาไปทิ้งนะ ... ที่บ้านมีแบบนั้นอีกคู่นึง"
พี่ชาย - "??????"
(เครดิต พี่เทพ)
24 กันยายน 2552 23:23 น.
ปฏากร ดุริยางค์
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริงที่วัดแห่งหนึ่ง ในจังหวัดสุราษฏร์ธานี
(เนื้อเรื่องมีการใส่ไข่เล็กน้อย เพื่อความน่าสนใจในการอ่าน)
เรื่องมีอยู่ว่า...
วันนั้น เป็นงานสวดศพของลูกชายป้า ที่เพิ่งเสียชีวิตไป บรรยากาศเต็มไปด้วยความเศร้า ขณะนั้นก็เป็นเวลาบ่ายๆ แล้ว ทางเจ้าภาพ (แม่ของผู้ตาย) ก็ได้ให้ผู้มาช่วยงานจัดโต๊ะ เพื่อที่จะได้เลี้ยงแขก หรือผู้ที่มาร่วมฟังสวดกันวันนั้น ก็จัดกันได้ประมาณ 5 โต๊ะ เป็นโต๊ะกลมๆ แบบโต๊ะจีน พอดีว่าวันนั้นแขกน้อย นั่งไปกัน 2 โต๊ะ เหลืออกี 3 โต๊ก ก็ว่างอยู่
ในขณะที่ข้าพเจ้า และแขกคนอื่น กำลังสวาปามข้าวต้มหมูด้วยความหิวโหย (ความจริงอดอยาก) ด้วยความอร่อยนั้น ก็มีฝรั่ง 3 คน เป็นผู้ชายทั้งหมด แต่ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเป็น ชาวอะไร เพราะไม่ได้สนใจ แต่ก็เห็นแกเดินถือกล้องถ่ายรูปเดินถ่ายวัดวา ถ่ายโบถส์ ถ่ายศาลา ไปเรื่อย
ข้าพเจ้า และคนในงานก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะก็นึกว่าเป็นชาวต่างชาติมาเที่ยวชมวัด เป็นธรรมดา แต่ที่ทำให้แขกในงาน และเจ้าภาพในงานงงกันไปใหญ่ก็คือ พี่ฝรั่ง 3 คนนั้น เดินมายังโต๊ะเลี้ยงอาหารแขกที่ยังเหลืออยุ่ แกก็มานั่ง และทำท่าชี้มาที่พวกเราเหมือนสั่งอะไร ตามนิสัยคนไทย ใครมาเรือนก็ต้องต้อนรับ ก็เลยเดินไปหาแกหน่อย (พูดก็ไม่ค่อยจะเป็นอะนะ)
เจ้าภาพ (แม่ของผู้ตาย) ก็เดินไปหา แล้วอีตาฝรั่งคนหนึ่งในกลุ่มก็พูดขึ้นว่า
ฝรั่ง - "ผาดทายยย"
เจ้าภาพ - "??? - -* "
ฝรั่ง - "ผาดทายยย ผาดทายยย"
เจ้าภาพ - "จะเอาผัดไทย?"
ฝรั่ง - "เยสส ผาดดดทั้ยยย ^^ "
เจ้าภาพ - "ค่ะๆๆ -*- "
ออ... สรุปว่า เขานึกว่าไอ้ที่เรากำลังทำอยู่เนี่ย เขาเข้าใจว่าเป็นร้านอาหารครับ -*- ด้วยความที่ว่ากลัวฝรั่งหน้าแตก ก็เลยเดินไปหลังโรงทาน ผัดไทยมันไม่มีให้เขาด้วย แถวนี้ก็ไม่มีขาย เลยได้ยินเสียงอะไรในครัว โป๊กๆ แล้วเจ้าภาพ ก็เดินออกมาพร้อมกับ ข้าวสวยโปะไข่เจียว 3 จาน....
เดินมาที่โต๊ะอีตาฝรั่ง 3 คน
เจ้าภาพ - (เอาข้าวไข่เจียววางลงตรงหน้าฝรั่ง)
ฝรั่ง - "โอววว ... พัดทั้ย..?"
เจ้าภาพ - "เยส ผัดไท -_- "
ฝรั่งสามคนพูดพร้อมกัน - "โอววว มั่ยก๊อดดด พัดทั้ยๆๆๆ"
เสร็จแล้ว มันก็กินกันใหญ่เลยครับ กินหมดเลย ไอ้ผัดไท นั่นแหละ -*-
....
หลังจากที่มันเสร็จแล้ว มันก็กวักมือเรียกเจ้าภาพอีก พร้อมกับถามว่า...
ฝรั่ง - "ฮาวมัท ?"
เจ้าภาพ - "โน ๆ ๆ" (ของเลี้ยงแขกจะเอามาขายได้งัย)
ฝรั่ง - "โอ้ววว แทงกิ้วๆๆ ^^ "
เจ้าภาพ - ( -*- )
หลังจากที่มันทั้ง 3 คน เดินไปตรงทางออก พอดีมีพระรูปหนึ่ง เดินสวนเข้ามาพอดี อีตาฝรั่งทั้ง 3 คน ก็ขอเชคแฮนพระ พอก็รับเชคแฮน ไปด้วยความงงๆ และทั้งพระ และแขกที่มาร่วมงานศพ ก็ต่างพากันมองฝรั่งทั้ง 3 คนนั้น เดินหายออกไปจากประตูจนลับตา
อีกประมาณ 5 วินาทีต่อมาก็ปรากฏเสียงหัวเราะ สนั่นไปทั่ว ศาลา
555555555555555555555555555555555555555555555555555+++++++
(เครดิต พี่เทพ)