10 พฤศจิกายน 2549 13:44 น.

บันทึกรักนักดับเพลิง บทที่ ๒

ป.ยุทธ

บันทึกรักนักดับเพลิง บทที่ ๒
ตอน รักสองต้องห้าม

 	ลมปลายฤดูหนาวพัดเอื่อยๆ ขณะข้าพเจ้าขับรถกระบะคู่ชีพเคลื่อนออกจากหน่วยดับเพลิง ไปตามถนนใหญ่สายหลัก ต้นจานริมทางหลายต้นออกดอกสีส้มเบ่งบานเต็มกิ่งก้าน ดูเป็นสีสันประดับประดาให้ทุ่งนาที่แห้งแล้งเวลานี้ดูสดชื่นขึ้นบ้าง 

	หลายวันแล้วที่ข้าพเจ้าไม่ได้กลับบ้าน ออกเวรวันนี้จึงกะว่าจะกลับเยี่ยมแม่สักหน่อยเพื่อจะได้ปรึกษาหารือเตรียมงานบวชที่ตกปากรับคำกับไว้ และข้าพเจ้าได้ยื่นหนังสือลาบวชต่อผู้บังคับบัญชาแล้ว

	รถเคลื่อนมาถึงสามแยก ข้าพเจ้าก็เหลือบไปเห็นชายวัยรุ่นสองคนกำลังลวนลามหญิงสาวที่ศาลาริมทาง ดูท่าทางแล้วต้องไม่ใช่แฟนกันแน่  ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษ ข้าพเจ้าจึงหยุดรถแล้วเดินเข้าไปหา

	มีอะไรให้ช่วยไหมครับ  
	หญิงสาวท่าทางดีใจรีบเดินมาหา แต่ถูกชายทั้งสองดักหน้าไว้
	เรื่องของผัวเมียคนอื่นไม่เกี่ยว  
	ใจเย็นๆ มีอะไรค่อยพูดค่อยจากัน  ข้าพเจ้ายกมือห้าม เมื่อเห็นพวกเขาเดินปรี่เข้ามา  
	พี่คะช่วยด้วยค่ะ เราไม่ใช่ผัวเมียกันนะคะ  เธอร้องบอก
	เฮ้ย...เราอัดสั่งสอนไอ้หน้าจืดหน่อยวะหมูจะหามดันเสือกเอาคานมาสอด

	พูดจบมันปรี่เข้ามาแล้วปล่อยหมัดหมายที่ใบหน้าข้าพเจ้าขณะระวังตัวอยู่แล้วจึงฉากหลบแล้วเตะสวนเข้าไปที่หน้าท้องจนมันตัวงอ  อีกคนเมื่อเห็นเพื่อนโดนเตะ จึงยกฝ่าเท้าถีบเข้ามา   ข้าพเจ้ารีบจับขาทันควัน แล้วเตะสวนขาอีกข้างของมันจนล้มคลุกฝุ่นไปไม่เป็นท่า  

	คนที่โดนก่อนงัวเงียลุกขึ้น ข้าพเจ้าดูท่าทียอมปล่อยให้ลุกขึ้นมาตั้งหลัก แต่ด้วยความใจดีมันจึงประเคนแข้งมาใส่ที่กลางหลังจนข้าพเจ้าเซถลา
	ระวังด้านหลังค่ะ เสียงเธอร้องเตือนอย่างตกใจ
	ข้าพเจ้ารีบชำเหลืองไปทางด้านหลังเห็นอีกคนปรี่เข้ามาใกล้ จึงตวัดจระเข้ฟาดหางโดนใบหน้าของมันอย่างจังจนร้องโอ๊ยล้มฟุบ  ข้าพเจ้าไม่ปล่อยโอกาสให้ไอ้คนแรกเข้ามาง่ายๆ อีกแล้ว จึงกระโดดถีบที่หน้าอกของมันจนกระเด็นไปกระแทกเสาศาลาแล้วลงกองกับพื้น

	นึกว่าพวกมันจะเข็ดหลาบ  คนที่โดนจระเข้ฟาดหางกลับชักมีดพกออกมาจากเอว แล้วค่อยๆ บรรจงถอดออกจากฝัก ดวงตาขมึง ขบกรามแน่น มืออีกข้างยกขึ้นเช็ดเลือดที่มุมปาก  ข้าพเจ้ามองมีดในมือของมันอย่างไม่กระพริบ  พลัน...มันแทงตรงดิ่งมาที่อกของข้าพเจ้าในขณะที่ระวังตัวอยู่แล้ว จึงเพียงเอนตัวหลบ เสี้ยววินาทีนั้นก็คว้าไปที่ข้อมือที่ถือมีดแล้วบิดไขว้หลังของมันอย่างแรงจนมีดร่วงลงพื้น ก่อนที่จะผลักไปข้างหน้าจนมันเซหัวคะมำ  

	จังหวะนั้นเสียงเรียกกันดังขึ้นในวิทยุมือถือของข้าพเจ้าที่วางอยู่ในรถ ทั้งสองหันไปมองหน้ากันอย่างตกใจ ก่อนหันมายกมือไหว้ข้าพเจ้าอย่างหวาดๆ 

	โทษครับพี่ แหมเป็นตำรวจก็ไม่บอก  พูดจบทั้งสองรีบวิ่งไปที่รถเครื่องของตนก่อนสตาร์ทให้อีกคนซ้อนท้ายขับกระชากออกไป   
	ขอบคุณนะค่ะ... พี่เจ็บไหมคะนี่  เสียงใสๆ เล่นเอาข้าพเจ้าหันไปมองราวกับว่าเธอคือพิม หญิงสาวผู้ที่หักอกข้าพเจ้าจนคิดที่จะหันไปหารสพระธรรมเยียวยา  แต่เมื่อเพ่งมองแล้วก็รู้สึกหายเหนื่อยเหมือนกัน  เมื่อเห็นใบหน้าใสๆ รับกับทรงผมที่รวบรัดไว้ด้านหลัง  ดูเธอสวยเรียบทีเดียว
	ไม่เป็นไรครับ  ข้าพเจ้าตอบพลางปัดฝุ่นที่เสื้อ 
	เธอก้าวขึ้นรถตามคำเชื้อเชิญ  เพื่อไปส่งบ้านที่ห่างออกไปจากทางแยกราวสองกิโลเมตร เธอเล่าให้ฟังว่านัดรอให้ญาติออกมารับ แต่ยังไม่เห็นมาจนมีวัยรุ่นขี่รถเครื่องผ่านมาอาสาจะไปส่ง แต่เธอปฏิเสธจึงถูกลวนลาม
	 เราพูดคุยระหว่างทางทำให้รู้ว่าเธอเป็นครูอัตราจ้างที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง ทุกวันเธอจะขี่รถเครื่องมาเอง บังเอิญวันนี้ไปส่งหนังสือราชการที่จังหวัดจึงไปรถโดยสาร ส่วนข้าพเจ้าได้แนะนำให้เธอทราบว่าเป็นหัวหน้าดับเพลิงไม่ใช่ตำรวจตามที่วัยรุ่นพวกนั้นเข้าใจ
	เมื่อถึงบ้านเธอแนะนำให้รู้จักแม่  และเล่าเรื่องราวให้แม่ฟัง  แม่เธอขอบคุณข้าพเจ้าเป็นการใหญ่  	เรานั่งคุยกันประมาณครึ่งชั่วโมง  ข้าพเจ้าจึงขอตัวกลับ   เธอเดินมาส่งที่รถ   
	โชคดีค่ะพี่ยุทธว่างๆ แวะมาเที่ยวเล่นที่บ้านสุดานะคะ  เธอบอกก่อนที่ข้าพเจ้าขึ้นรถขับออกไป
 	รถเคลื่อนออกมาท่ามกลางความมืดสลัวของเวลาย่ำค่ำจนต้องเปิดไฟหน้ารถส่องสว่าง พลางนึกถึงใบหน้าหญิงสาวชื่อสุดา ร่างบอบบางใบหน้าสวยเรียบ  แฝงไว้ด้วยเสน่ห์ลึกๆ วนเวียนในมโนภาพ แต่...ไม่หรอกเราจะไม่หลงรักใครง่ายๆ อีกแล้ว ประสบการณ์ที่ผ่านมามันสอน    เพียงแค่รับเธอมาไว้พิจารณาในหัวใจก็พอแล้ว  
		
	จวบจนงานบวชใกล้มาถึงข้าพเจ้าส่งการ์ดเชิญให้สุดา พร้อมส่งไปให้พิมทางไปรษณีย์ 
	วันงานเริ่มคึกคักแต่เช้า ผู้คนมาช่วยงานเริ่มหนาตา พิธีปลงผมเริ่มขึ้น ก่อนโกนหัวให้ข้าพเจ้า เสร็จแล้วจึงสวมชุดนาครับการบายศรีสู่ขวัญจากพราหมณ์ตามประเพณีท้องถิ่น หลังเสร็จพิธีข้าพเจ้านั่งพักที่เก้าอี้ส่งสายตามองผู้คนที่มาช่วยงาน   และแล้วสายตาก็ไปสะดุดตรงหญิงสาวคนนั้นที่กำลังเดินเข้ามาหา	 
	สวัสดีคะพี่ยุทธ โอ๊ะ ต้องเรียกพี่นาคยุทธสินะ  ข้าพเจ้ารับไหว้พลางยิ้มให้ แล้วส่ายสายตาหาใครสักคน
	มองหาใครหรือคะ  
	อ๋อ...มองหาเพื่อนน่ะ  คงไม่มาแล้วล่ะ ที่จริงแล้วข้าพเจ้ามองหาพิม  แต่คิดไปอีกทีพิมคงไม่มาหรอก เพราะงานเราคงไม่สำคัญสำหรับคนชื่อพิมอีกแล้ว     ข้าพเจ้าคิดลมๆ แล้งๆ ไปเองต่างหากล่ะว่าจะมา
	พี่ครับมีจดหมายมาถึงพี่  น้องชายยื่นซองจดหมายให้
	ข้าพเจ้าพยายามระงับความตื่นเต้นเมื่อรู้ว่าเป็นจดหมายจากพิม  รีบฉีกอ่าน เธอบอกว่ายินดีและอนุโมทนากับงานบวช แต่ไม่สามารถมาช่วยงานได้ พร้อมฝากธนาณัติมาช่วยงานห้าร้อยบาท แค่นี้ข้าพเจ้าก็อดปลื้มไม่ได้แล้ว  แต่...จะดีใจไปทำไมก็ในเมื่อเธอจะแต่งงานแล้วนี่ สุดาไง สุดาต่างหากสิที่จะเข้ามาในชีวิตของเรา-เราต้องรับมาพิจารณา    ข้าพเจ้าครุ่นคิด 
	จดหมายใครค่ะ  เสียงสุดาทำให้ข้าพเจ้าตื่นจากภวังค์
	อ๋อ...เพื่อนน่ะ
 &&&&&&&&&&&&&&&&&&&

	ตะวันสาดแสงส่องเหนือทิวเขา ขณะข้าพเจ้าเดินบิณฑบาตตามหลังพระเจ้าอาวาส  ไปอย่างช้าๆ ตามถนนในหมู่บ้าน พอกลับถึงวัด 
	พอดีเป็นวันเกิดค่ะเลยมาทำบุญ  สุดากับแม่นั่งพนมมือก่อนลุกขึ้นยืนตักบาตร  ข้าพเจ้ารับตักบาตรอย่างสำรวม  
	เชิญที่ศาลาดีกว่านะโยมทั้งสอง  ข้าพเจ้าเชื้อเชิญก่อนนั่งสนทนากับเธอและแม่พอสมควรแล้วข้าพเจ้าจึงขอตัวขึ้นกุฏิไป  

	ข้าพเจ้านั่งสมาธิเพื่อขับไล่ความคิดอันฟุ้งซ่าน ความคิดอันว้าวุ้นสับสนอย่างไร้ขอบเขต  นั้นออกไป โอ...โยมสุดา  โยมพิม
	พุทธโท...พุทธโท  ข้าพเจ้าพึมพำขณะลมหายใจเข้า-ออก  หลับตาทำสมาธิให้แน่วแน่ แต่...ความคิดยังฟุ้งซ่าน ต้องเริ่มต้นใหม่หลายต่อหลายครั้ง  จนสงบนิ่ง ความจริงแล้วข้าพเจ้าพยามยามปฏิบัติตัวให้สมกับเป็นพระสงฆ์จะได้ไม่เป็นบาปหรือผิดวินัยในขณะครองสมณะเพศ
	ข้าพเจ้าละจากนั่งสมาธิ  พลางทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่างกุฏิ  ต้นข้าวที่เขียวขจีถูกลมพัดพลิ้วไหว ชาวนาก้มๆ เงยๆ กับการปักดำต้นกล้าในแปลงนาของตนเหมือนไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย  พลัน...เม็ดฝนโปรยปรายลงมา แต่ไม่มีทีท่าว่าชาวนาจะขยับหนีหรือหลบฝนไปไหน  ยังคงปักดำอย่างมุ่งมั่น  ข้าพเจ้ามองผ่านเลยไปที่ทิวเขาเวลานี้ถูกปกคลุมไปด้วยละอองฝนจนดูพร่ามัว  
&&&&&&&&&&&&

	สายลมหนาวพัดมาเป็นครั้งแรกในช่วงปลายฝนต้นหนาว วันออกพรรษามาถึงแล้ว ข้าพเจ้าลาสิกขาจากสมณะเพศ  เพื่อกลับไปรับราชการต่อ
	หวัดดีค่ะพี่ทิด เสียงใสๆ ของใครบางคน ข้าพเจ้าหันไปมอง
	อ๋อ...น้องสุดามาทำบุญออกพรรษาเหรอจ๊ะนี่ 
	ค่ะ...พี่ทิดยุทธ  ส่งยิ้มหวาน
	เธอนั่งรถโดยสารมาคนเดียว ข้าพเจ้าจึงถือโอกาสขับรถไปส่งเธอที่บ้านหลังจากทำบุญเสร็จแล้ว วันนี้ดูเธอมีความสุขมาก  
	สุดาขอถามพี่อย่างหนึ่งได้ไหมคะ  เธอถามขณะนั่งคุยกันที่บ้านของเธอ
	ครับ...ว่าไงครับ
	ก่อนอื่นต้องขอโทษก่อนนะคะเพราะสุดาเป็นหญิงไม่สมควรจะพูดคำนี้ แต่...มันจำเป็นจริงๆ ค่ะ  คือว่าพี่ยุทธคิดยังไงกับสุดาคะ
	ข้าพเจ้าอึ้งไปไม่รู้ว่าจะตอบเธอยังไงดี ใช่...ข้าพเจ้ายอมรับว่าไม่ได้รังเกียจเธอ แต่ ณ เวลานี้ยังไม่ได้รักเธอแค่นั้นเอง		
	โทษนะคะพี่ยุทธสุดาอยากรู้ เพราะมีบางสิ่งบางอย่างที่จะตัดสินใจ  เธอยังย้ำถาม   เมื่อเห็นข้าพเจ้าเงียบไป ความสงสัยยังผุดพรายขึ้นในใจข้าพเจ้าเหมือนกันว่าทำไมเธอจึงใจร้อนนัก
	สักวันพี่จะให้คำตอบแล้วกัน  ข้าพเจ้ากล่าวก่อนขับรถออกมา มองกระจกหลังเห็นเธอยืนนิ่งเหมือนรูปปั้นคล้ายกับว่าไม่พอใจในคำตอบ
&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&
 
	ขณะข้าพเจ้านั่งตรวจเอกสารที่โต๊ะทำงาน
	หัวหน้าครับมีจดหมายถึงหัวหน้า  ลูกน้องยื่นซองจดหมายให้
	ข้าพเจ้าฉีกซองอย่างดีใจ  เพราะมันเป็นจดหมายของพิมนั่นเอง 
	ข้าพเจ้ากวาดสายตาอ่านข้อความในจดหมายอย่างใจจดใจจ่อ  และแล้วข้าพเจ้าก็ร้องไชยโยอย่างลืมตัวจนสายตาทุกคู่ของลูกน้องจ้องมองมา 
	ข่าวดีอะไรหรือครับหัวหน้า
	ปะ...ปล่าวหรอก...ขอโทษที  ข้าพเจ้ารีบเดินออกจากห้องทำงาน ยืนพิงเสาอาคารยิ้มเหม่อมองต้นคูณที่เขียวขจีเป็นทิวแถว  จะขาดก็แต่เพียงดอกสีเหลืองเท่านั้นที่ยังไม่ถึงฤดูกาล
	จะไม่ให้ข้าพเจ้าดีใจยังไงเล่า ก็ในเมื่อพิมเขียนมาบอกว่าแฟนหนุ่มชาวญี่ปุ่นถูกแม่บังคับให้กลับไปแต่งงานกับหญิงสาวชาวแดนปลาดิบด้วยกัน เขาบินกลับไปโตเกียวหลายวันแล้ว พิมยอมรับว่าเสียใจมาก จะกลับบ้านในวันปีใหม่ที่จะถึงนี้ และที่สำคัญอยากพบข้าพเจ้า
	แฟนของใคร..มอเตอร์ไซค์ทำหล่น หน้ามนสวยสะดุดตา...
	ข้าพเจ้าฮำเพลงอยู่คนเดียวอย่างมีอารมณ์ พลางนับไม้นับมือระยะเวลาเหลือเดือนสองเดือนที่จะถึงวันปีใหม่	 
	เสียงรถเครื่องที่เลี้ยวเข้ามาจอดที่โรงรถใกล้ๆ ทำให้ข้าพเจ้าชะงักจากการฝันหวาน พอถอดหมวกกันน็อคออก
	หวัดดีค่ะพี่ยุทธ	
	อ้าว...น้องสุดาหวัดดีจ๊ะ    ไปไงมาไงล่ะนี่
	พอดีมาอบรมที่อำเภอค่ะ  แล้วตอนนี้ก็พักเที่ยงพอดี เธอยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู ข้าพเจ้ารู้ทันจึงเอ่ยปาก
	ไป...ถ้างั้นเราไปทานข้าวกัน   เธอยิ้มดีใจ
	ข้าพเจ้าพาเธอไปที่ร้านเดิมที่เคยพาพิมไปเมื่อปีที่แล้ว  
	น้องสุดาพี่อยากบอกกับน้องตรงๆ นะ  คือว่า...
	อ๋อ...พูดมาเลยค่ะกำลังรอฟัง  เธอกระตุ้นอย่างอยากรู้
	คือว่าพี่มีความรู้สึกที่ดีกับน้องสุดาเสมอๆ นะ แต่อย่างว่าพี่ไม่อยากให้ความหวังอะไร เอาเป็นว่าถ้าน้องสุดาจะตัดสินใจยังไงกับใครล่ะก็พิจารณาได้เลย  ใช่สิก็ข้าพเจ้ามีความหวังจากพิมนี่ เพราะนั่นคือความหวังใหม่ที่พึ่งจะได้รับ  สุดาก้มหน้าดูเศร้าๆ ไป ถามคำตอบคำ เธอเร่งให้ข้าพเจ้าพากลับอ้างว่าจะไปอบรมต่อภาคบ่าย  เธอยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับดวงตาที่มีน้ำเอ่อซึม  ทำให้อดสงสารเธอไม่ได้  แต่...จะทำไงได้ในเมื่อหัวใจมันปรารถนาเช่นนั้น
&&&&&&&&&&&&&&&&

	วันนี้อากาศช่างหนาวเหน็บจนสั่นสะท้าน มันเป็นวันขึ้นปีใหม่ 1 มกราคม 2541 ข้าพเจ้าก้าวขึ้นรถด้วยหัวใจที่เบิกบาน 
	รถเคลื่อนไปข้างหน้า ดูๆ แล้วช่างเหมือนปีที่แล้วไม่มีผิด ดอกไม้ช่อใหญ่วางข้างๆ ความหวังตั้งใจเหมือนเดิม คือชวนพิมไปกินข้าวแล้วบอกรักพร้อมขอเธอแต่งงาน  คราวนี้คงไม่มีปัญหาอะไรแล้ว 
	รถจอดหน้าบ้านเธอ สักครู่เธอออกมาต้อนรับ   ใช่...จะต้องไม่เหมือนเดิมตรงที่ไม่มีไอ้ยุ่น
ออกมาด้วยอย่างแน่นอน  ข้าพเจ้ากระหยิ่มในใจ 
	หวัดดีค่ะพี่ยุทธ     ดูเธอผอมลงมาก และหมองๆ ไงชอบกล คงอกหักล่ะสิท่า  ไม่เป็นไรจะรักษาแผลใจให้   ข้าพเจ้าคิด 
	หวัดดีครับน้องพิม  ข้าพเจ้ายื่นดอกไม้ช่อใหญ่ให้  โอ...ช่างเหมือนปีที่แล้วจริงๆ ด้วย และต้องดีกว่าปีที่แล้วคือความสมหวัง ข้าพเจ้าหัวเราะร่าในอารมณ์
	เรานั่งคุยกันที่ม้าหินอ่อนหน้าบ้าน  
	พี่กะว่าจะชวนน้องพิมไปทานข้าวร้านเดิมเราไงจ๊ะ
	ขอโทษด้วยนะคะพี่ยุทธ พิมไม่ค่อยสบาย เวียนหัวจะอาเจียน  ต้องขอตัวก่อนนะคะ  ข้าพเจ้าดูหน้าเธอแล้วคงไม่สบายจริงๆ 
	ไม่เป็นไรจ๊ะน้องพิม  ไปหาหมอหรือยังนี่  ข้าพเจ้าเป็นห่วง
	ไปแล้วค่ะ  
	หมอบอกว่าเป็นไร  เธอไม่ตอบ  ข้าพเจ้าสังเกตเห็นน้ำตาเธอเอ่อซึม  
	น้องพิมคงคิดถึงเขา  ข้าพเจ้าพูดอย่างน้อยใจ  พิมเงยขึ้นมองหน้าข้าพเจ้าก่อนก้มหน้าต่อ     
	งั้นพี่ไม่รบกวนน้องพิมล่ะนะพักผ่อนเถอะ  พรุ่งนี้พี่จะมาใหม่แล้วค่อยคุยกัน เธอพยักหน้าก่อนที่ข้าพเจ้าขับรถออกมาอย่างสับสน
	รุ่งขึ้นข้าพเจ้าไปหาเธอที่บ้านอีกครั้ง  ยังไงๆ วันนี้ก็ต้องพูดเรื่องรักเรื่องขอแต่งงานให้ได้ก่อนที่จะสายเกินไป  ข้าพเจ้าคิด  
	 พิมออกมาต้อนรับด้วยสีหน้ายิ้มระรื่นเบิกบานไม่เหมือนวันวาน
	หายดีแล้วเหรอน้องพิม ข้าพเจ้าถามอย่างดีใจเมื่อเห็นเธออารมณ์ดี
	แต่แล้ว...ให้ตายสิไอ้ยุ่นคนเดิมเดินตามเธอออกมา แล้วมันมาได้ไงนี่ ไหนเธอบอกว่ากลับไปแต่งงานที่ญี่ปุ่นแล้ว  
	อ๋อ...เขาตามพิมมาเมื่อคืนนี้ค่ะ  พิมอธิบายเมื่อเห็นสีหน้าของข้าพเจ้างุนงง   
	เขาบอกว่าเคลียกับแม่เรียบร้อยแล้วค่ะ เราจะกลับไปอยู่ที่ญี่ปุ่นด้วยกัน ตอนนี้พิมกำลังมีเด็กได้สอง-สามเดือนแล้ว  ข้าพเจ้ายิ่งงุนงงเป็นสองเท่า  มันอะไรกันนี่ แล้วทำไมมันถึงเป็นเช่นนี้  บัดซบ...จริงๆ  เลย  
	ข้าพเจ้าขอตัวออกจากที่นั่นโดย ไม่อ้างเหตุผลใดๆ อีกแล้ว ได้ยินแต่เพียงเสียงใสๆ ไล่หลัง
	ขอบคุณมากนะคะสำหรับความช่วยเหลือและสิ่งดีๆ ทุกสิ่งอย่าง โชคดีปีใหม่นะคะพี่ชายที่แสนดี 
	 และแล้วก็คิดขึ้นได้ว่ายังไงเสียเรายังมีอีกคน ใช่อย่างน้อยๆ ข้าพเจ้าก็ไม่ได้เสียใจเหมือนปีที่แล้ว  เรามีคนสำรองหัวใจ
	รถเลี้ยวไปตามถนนทางเข้าหมู่บ้าน แล้วจอดนิ่งหน้าบ้านสุดา ใช่วันนี้มีคำตอบให้อย่างไม่ลังเลอีกแล้ว และคิดว่าต้องเป็นข่าวดีสำหรับเธอแน่
	สวัสดีค่ะพี่ยุทธ  พอดีเลยค่ะกำลังจะไปหาที่บ้านเชียว  เธอออกมาต้อนรับ  คนนี่สิใช่เลย...ตัวจริงเสียงจริง  ข้าพเจ้ายิ้มอย่างอย่างมีความหวัง
	เหรอจ๊ะ  จะไปหาพี่เหรอ  มีอะไรด่วนล่ะนี่น้องสุดา  
	ข้าพเจ้ายิ้มอย่างดีใจ  แต่แล้ว...ก็ต้องหุบยิ้มลงพลันเมื่อเห็นซองสีชมพูยื่นมาให้
	ค่ะ...ว่าจะไปเชิญมาเป็นเกียรติในวันวิวาห์ของสุดาค่ะ  วันที่ 14  กุมภานี้ มางานสุดาให้ได้นะคะ
 
@@@@@@@@@@@@@@@				
9 พฤศจิกายน 2549 12:59 น.

บันทึกรักนักดับเพลิง

ป.ยุทธ

บันทึกรักนักดับเพลิง บทที่ 1
ตอน พบรักในเปลวเพลิง

	1  เมษายน 2537
	ต้นคูนที่เรียงรายเป็นทิวแถวริมรั้ว และสองข้างถนนคอนกรีตทางเข้าสำนักงานเทศบาลออกดอกเหลืองอร่ามเป็นพวงย้อยเต็มกิ่งก้าน    
ลมร้อนพัดดอกพลิ้วไหวรับแสงตะวันที่กำลังลอยตัวสูงขึ้นสาดส่องกระทบดูพริ้งพราย ชวนสะกดใจให้ผู้มาเยือนให้หลงใหล  
	พื้นที่เทศบาลตำบลกระจุกตัวอยู่ในชุมชนที่ถูกเรียกว่าอำเภอที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กจนเกินไปนัก ถนนที่ทอดยาวผ่านหน้าสำนักงานนั้น สองฟากทางเต็มไปด้วยตึกและห้องแถวเรียงราย  บ้างเป็นอาคารปูน  บ้างเป็นไม้ตามแต่ฐานะของเจ้าของ แต่ละคูหาถูกตกแต่งเป็นกิจการร้านค้ามากเสียกว่าจะเป็นที่อยู่อาศัยเพียงอย่างเดียว
	ข้าพเจ้าขับรถกระบะคู่ชีพเลี้ยวไปตามถนนทางเข้าสำนักงาน พลางคิดถึงคำพูดของแม่ก่อนมา
	ลูกลาบวชให้แม่สักพรรษานะลูกนะ
	รอไปก่อนนะครับแม่ ให้งานผมนิ่งกว่านี้ก่อน ความจริงแล้วอยากจะบอกกับแม่ว่าให้น้องบวชแทนได้ไหม  หรือไม่ถ้าไม่ถนอมน้ำใจแม่ล่ะก็อยากพูดออกไปว่า เสียใจด้วยนะแม่
	รถถูกขับเคลื่อนไปอย่างเนิบช้า  ผ่านพุ่มพฤกษ์ดอกสีทองแต่ละต้น ใจไม่อยากให้ถึงที่หมายเร็วไป  เพราะอยากจะชมความเหลืองอร่ามของดอกไม้ให้เต็มตาก่อนที่จะเข้าไปตบเท้ารายงานตัวต่อผู้บังคับบัญชา   ของวันแรกที่ย้ายมารับตำแหน่งใหม่ ตำแหน่งที่ก้าวหน้าขึ้นอีกขั้น
	เมื่อออกจากห้องผู้บังคับบัญชาแล้ว ข้าพเจ้าตรงดิ่งไปที่หน่วยดับเพลิงที่อยู่ด้านหลังอาคารสำนักงาน   ไม่นานนักพนักงานดับเพลิงแต่ละคนเข้ามาไหว้ทักทายข้าพเจ้าในฐานะผู้บังคับบัญชาคนใหม่ของพวกเขา
	ข้าพเจ้านั่งทบทวนและประเมินผลงานย้อนหลังที่ผ่านมานับแต่ย้ายมาใหม่   หากเป็นหน้าฝนพวกเราจะเบาใจ เพราะเหตุการณ์เกิดน้อยมากอันเนื่องจากสภาพความชื้น   แต่ถ้าถึงคราหน้าหนาวและหน้าร้อนเมื่อไหร่ล่ะก็ พวกเราจะไม่เป็นอันหลับอันนอน   ต้องคอยระแวดระวังรอรับแจ้งเหตุ  โดยเฉพาะเวรวิทยุ-โทรศัพท์จะต้องประจำตลอด 24 ชั่วโมง  ส่วนข้าพเจ้าไปไหนมาไหนจะไม่ยอมห่างวิทยุมือถือ พร้อม ว.ประสานงานกับเครือข่ายใหญ่ตลอด
	บ่อยครั้งที่ได้รับแจ้งเหตุ  พวกเราจะไม่รีรอรีบบึ่งรถดับเพลิงระงับเหตุ หลายต่อหลายครั้งที่ได้รับคำชมเชยจากผู้บังคับบัญชา และชาวบ้านร้านตลาด  ที่สามารถระงับเหตุไฟไหม้ได้เร็วไวไม่ลุกลามใหญ่โต
	บางครั้งพวกเราเหน็ดเหนื่อยจากการดับไฟ โดยเฉพาะวันนั้นดับไฟที่ลุกลามจากป่ามาตามตอซังข้าวเข้าใกล้บ้านเรือน   ท่ามกลางแสงแดดอันแผดกล้าของเที่ยงวัน  ไม่มีถนนให้รถดับเพลิงเข้าไปฉีดน้ำใกล้ๆ   พวกเราต้องหักเอากิ่งไม้ที่มีใบหนาเข้าตบไฟ ทุกคนร้อนระอุจากแสงแดดระคนเปลวไฟ บางครั้งสำลักควัน แม้จะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า และหิวกระหาย สักเพียงใด  พวกเราก็ยืนหยัดปกป้องอัคคีภัยให้ชาวประชา
	วันนั้นข้าพเจ้ายังจำเหตุการณ์ได้ดี เป็นวันที่ 9  มกราคม 2539 ขณะกำลังขับรถกลับจากทำธุระมุ่งหน้าไปตามถนนที่ทอดผ่านชุมชนตัวอำเภอในเวลาอันเย็นย่ำเพื่อกลับหน่วยดับเพลิง พลันสายตาเหลือบไปเห็นกลุ่มควันที่พวยพุ่งสู่ท้องฟ้า เสียงร้องของผู้คนระเบ็งเซ็งแซ่ระคนตกใจฟังไม่ได้ศัพท์
	ไฟไหม้หรือครับ? ข้าพเจ้าร้องถามเมื่อจอดรถแล้วเดินไปหากลุ่มคน   ไม่มีคำตอบจากใคร  ข้าพเจ้าจึงแหงนมองไปตามพวกเขา
	โอ!!!ให้ตายสิ...หญิงสาวคนนั้นร้องขอความช่วยเหลืออย่างตื่นตระหนกบนอาคารชั้น 3 โดยมีเหล็กดัดคล้ายกรงขังที่หน้าต่างปิดกั้น เปลวไฟและกลุ่มควันพวยพุ่งแรงขึ้นทุกขณะ
ข้าพเจ้าไม่รอช้า ว.แจ้งไปยังลูกน้องผู้เข้าเวรประจำหน่วยดับเพลิงที่อยู่ห่างออกไปราวครึ่งกิโลเมตร
	ห้านาทีผ่านไปอย่างเนิบช้า เสียงหวออันโหยหวนของรถดับเพลิงดังแว่วมาแต่ไกล เวลานี้ผู้คนที่เรียกว่าไทยมุงเริ่มแน่นขนัด ข้าพเจ้าเป่านกหวีดให้ผู้คนหลีกทางให้รถผ่าน เมื่อรถดับเพลิงมาถึง ข้าพเจ้าให้สัญญาณมือให้รถกระเช้าดับเพลิงประชิดตัวตึก
	ไม่รอช้าข้าพเจ้ากระโดดขึ้นกระเช้าพร้อมส่งสัญญาณให้รถยกสูงสู่ที่หมายหญิงสาวที่ติดอยู่กับหน้าต่างเหล็กดัดนั้น
	น้อง...ถอยไป  ข้าพเจ้าร้องสั่ง ก่อนที่จะใช้ขวานเหล็กใหญ่สำหรับกู้ภัยฟันไปที่ลูกกรงเหล็กสองสามที แต่...ไม่มีทีท่าว่าลูกกรงเหล็กจะหักงอหรือพังทลาย ข้าพเจ้ามองหน้าเธอเวลานี้ เม็ดเหงื่อผุดพรายเต็มใบหน้าที่ขาวซีดเผือดด้วยความหวาดกลัวระคนตื่นตระหนก
	พลัน...กลุ่มควันจากเปลวไฟที่ถูกรถดับเพลิงคันอื่นระดมฉีดเข้าไปก็พวยพุ่งขึ้นมาจากชั้นล่าง เธอกำลังสำลักควัน...
	หมอบลง ข้าพเจ้าร้องบอกตามหลักวิชาการที่ฝึกอบรมมา ว่ากลุ่มควันจะมีความบางเบาลอยตัว หากหมอบแนบพื้นจะพอมีอากาศหายใจ  เธอปฏิบัติตามอย่างว่าง่าย  ก่อนที่ข้าพเจ้าจับเอาหัวฉีดน้ำประจำกระเช้าฉีดเข้าไปในห้องเพื่อไล่กลุ่มควันนั้นเป็นการบรรเทา
	สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นพยาน...ข้าพเจ้านึกในใจก่อนกระหน่ำฟันขวานลงบนเหล็กดัดหลายต่อหลายครั้งอย่างนับไม่ถ้วน  เวลานั้นดูเหมือนว่าข้าพเจ้าไม่เหน็ด ไม่เหนื่อย คล้ายกับว่ามีพลังฮึดขึ้นมาอย่างมหัศจรรย์
	นานเท่าไหร่ไม่รู้-รู้เพียงว่าเหล็กดัดนั้นหักสะบั้น และพังทลายลง ข้าพเจ้าร้องเรียกหาเธอ-เธอยืนขึ้นยื่นมือมา ไม่รอช้าข้าพเจ้าคว้าข้อมือเธอดึงขึ้นกระเช้า ท่ามกลางเสียงโห่ร้องและปรบมือของบรรดาไทยมุงอย่างดีใจ และโล่งอก  เธอกอดข้าพเจ้าไว้แน่นอย่างหวาดกลัวความสูงระคนดีใจ

	หลังจากกระเช้าลงพื้นเธอวิ่งไปสวมกอดและร่ำไห้กับบรรดาญาติพี่น้อง  ที่ยืนรอ จนลืมแม้กระทั่งจะขอบคุณข้าพเจ้า  แต่ช่างเถอะข้าพเจ้าไม่ได้น้อยใจหรือตำหนิเธอแม้สักนิด
	ค่ำคืนนั้นรถดับเพลิงเร่งฉีดสกัดกั้นการลุกลามของเปลวไฟ แต่น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟเพราะมันได้ลุกลามไปหลายคูหา  ผู้บังคับบัญชาสั่งขอรับการสนับสนุนรถดับเพลิงทั่วทั้งจังหวัดมาระดมฉีด 
	เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงเพลิงจึงอยู่ในวงจำกัด  คงเหลือเพียงกลุ่มควันและเปลวไฟ ที่แดงฉานอยู่ไม่มากนัก  พวกเราเข้าเคลียพื้นที่โดยการกู้ซากถ่านที่ยังมีแสงไฟเพื่อให้ดับสนิท
	ผู้บังคับบัญชาสั่งกางเต็นท์เป็นศูนย์อำนวยการชั่วคราวเพื่อให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นแก่ผู้ประสบภัย  และให้พวกเราเฝ้าระวังดูแลความเรียบร้อย
	ภายในเต็นท์เต็มไปด้วยเหยื่อเพลิงที่ร่ำไห้โหยหวนกับความสูญเสียอันใหญ่หลวงในชีวิต   ภาพเบื้องหน้าสิบกว่าคูหาที่มอดไหม้  ยังคงเหลือเพียงต้นเสาที่โด่เด่อย่างทระนง   ข้าพเจ้าอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้ากับความล้มเหลวในการฉีดสกัดเพลิงไม่ให้ลุกลามออกไปในครั้งนี้  แม้ว่าหลายต่อหลายคนจะบอกว่ามันเป็นเหตุสุดวิสัย และทำดีที่สุดแล้วก็ตาม
	ไหน...ไหน...ไอ้หัวหน้าดับเพลิงมันอยู่ไหน ดับกันยังไงวะถึงเอาไม่อยู่จนซิบหายหมดอย่างงี้ เสียงเอะอะของชายวัยกลางเดินปรี่เข้ามาประชิดตัว  แล้วปล่อยหมัดกระแทกปากข้าพเจ้าจนเซถลาล้ม ลูกน้องกรูกันเข้าจับตัวเขาไว้
	ปล่อยเขาเถอะ ข้าพเจ้าลุกขึ้นบอก พลางยกหลังมือขึ้นเช็ดเลือดที่ไหลจากมุมปาก
	ส่งตำรวจดีไหมครับหัวหน้า ลูกน้องยังจับตัวชายคนนั้นไว้แน่น
	ไม่ต้อง...เขาสูญเสียมากพอแล้ว  เป็นผมอาจทำเหมือนเขาก็ได้...ปล่อยเขา ข้าพเจ้ากระชากเสียง
	ลูกน้องปล่อยตัวเขา-เขาคุกเข่าลงกอดขาข้าพเจ้าแล้วร่ำไห้เหมือนเด็กๆ ปากพร่ำบ่นถึงความสูญเสียสิ้นเนื้อประดาตัว
	หนึ่งสัปดาห์ผ่านมาขณะที่ข้าพเจ้ากำลังเคร่งเครียดกับกองเอกสาร
	หัวหน้าครับมีแขกมาขอพบ ลูกน้องมารายงาน ข้าพเจ้าพยักหน้าให้เข้ามา
	สวัสดีค่ะ เธอนั่นเอง ข้าพเจ้าตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูกรีบเชื้อเชิญให้นั่ง พลางมองดวงหน้าใสๆ  จิ้มลิ้มที่รับกับเส้นผมที่ยาวสลวยนั้น เล่นเอาจังงังเหมือนถูกมนต์สะกดไปชั่วครู่
	พิมมาขอบคุณที่ช่วยชีวิตวันนั้นค่ะ เธอส่งยิ้มหวาน
	ไม่เป็นไรครับ...เป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว น้ำเสียงข้าพเจ้าประหม่า
	งั้นเพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณ พิมขอเลี้ยงข้าวเที่ยงคุณหัวหน้าดับเพลิงนะคะ หัวใจข้าพเจ้าพองโต ดีใจราวถูกหวย
	เรียกผมยุทธก็ได้ครับ
	ค่ะพี่ยุทธ เสียงหวานใสเล่นเอาหัวใจแทบหยุดเต้น

	เธอก้าวขึ้นรถที่ข้าพเจ้าเปิดประตูรอ  ที่หมายคือร้านอาหารเรือนแพริมฝั่งแม่น้ำ
	ขอบคุณพี่ยุทธอีกครั้งนะคะที่ช่วยชีวิตพิม เธอย้ำขณะทานข้าว
	ข้าพเจ้ายอมรับว่ามีความสุขมาก จากความอ้างว้างไม่เคยมีเพื่อนต่างเพศ บัดนี้เริ่มก่อตัวในใจให้ยอมรับว่านี่หรือคือรักแรก- รักแรกพบ เราคุยกันสนุกถูกคอ
	เธอเล่าให้ฟังหลังจากที่ข้าพเจ้าช่วยเธอลงมา เธอวิ่งไปหาพ่อแม่  ดีใจจนลืมขอบคุณข้าพเจ้า  โชคยังดีบ้านมีประกันภัยจึงไม่เดือดร้อนนัก  เวลานี้เธอกับครอบครัวไปซื้อบ้านจัดสรรหลังใหม่แล้ว
	ก่อนจากกันหลังจากอาหารเที่ยงวันนั้น เธอถือโอกาสบอกลาข้าพเจ้า
	พิมตัดสินใจไปทำงานบัญชีกับพี่สาวที่โรงงานทางภาคตะวันออกอาทิตย์หน้าค่ะ 
	อ้าวเหรอ...โอ..ผมคงคิดถึงพิมน่าดู
	คิดถึงก็เขียนจดหมายหรือไม่ก็โทรหาได้นี่คะ
	ครับ... ข้าพเจ้าเสียงอ่อยๆ
	ระหว่างที่เธอรอวันเดินทาง ข้าพเจ้าแวะเวียนไปหาเธอที่บ้านแทบทุกวัน
	รถทัวร์เคลื่อนออกจากสถานี บขส. ข้าพเจ้าเห็นเพียงมือทีเรียวงามนั้นโบกลาในกระจกรถภาพนั้นค่อยๆ เลือนหายไปจากสายตา... โลกแห่งความเหงาเข้าครอบงำข้าพเจ้าเสียแล้ว
	ไม่ถึงสิบวันจดหมายของเธอก็ส่งมาถึงมือ  ข้าพเจ้าดีใจรีบเปิดซองด้วยมือที่สั่นระริก เธอบอกว่าปีหนึ่งกลับมาเยี่ยมบ้านได้เฉพาะในช่วงปีใหม่   เธอส่งรูปมาให้ดูต่างหน้า และเล่าถึงหน้าที่การงานของเธอที่โรงงานนั้น โรงงานอันเป็นธุรกิจของชาวญี่ปุ่น สิ่งสำคัญที่ข้าพเจ้าอดดีใจไม่ได้อีก นั่นคือเบอร์โทรศัพท์ที่เธอให้มา อ่านจบข้าพเจ้าหยิบรูปเธอขึ้นมาจุมพิต 
	ข้าพเจ้าไม่รีรอที่จะตอบจดหมาย และโทรศัพท์ทางไกลไปหาเธอ แม้ว่าค่าโทรจะหลายร้อยบาทก็ตามที  จากนั้นมาสัปดาห์ละครั้งที่ข้าพเจ้าโทรไป    หลายต่อหลายสัปดาห์ และนานหลายต่อหลายเดือน  จนข้าพเจ้ากล้าพูดกับตัวเองว่ารักเธอเข้าเต็มเปาเสียแล้ว
	ในที่สุดวันนั้นก็มาถึง ข้าพเจ้ามุ่งหน้าไปหาเธอที่บ้านอย่างไม่ลังเลใจ ใช่...มันเป็นวันที่  1 มกราคม 2540 ในวันนั้น ความหวังตั้งใจว่าจะชวนเธอไปทานข้าว แล้วหาโอกาสเหมาะๆ บอกรักเธอ ขอเธอแต่งงาน  เพราะข้าพเจ้าตัดสินใจแล้วว่าจะมีครอบครัวกับเขาเสียที  ไม่ขอบวชให้แม่แล้ว
	ข้าพเจ้าชะลอรถช้าๆ หน้าบ้านเธอ  หัวใจเต้นแรงอย่างประหม่า  เมื่อรถจอดสนิทไม่ลืมที่จะหยิบเอาดอกไม้ช่อใหญ่ที่ซื้อมา พลางขยับเสื้อผ้าที่สวมใส่ให้เข้ารูปอย่างมั่นใจ
	สวัสดีค่ะพี่ยุทธ... เธอออกจากบ้านมาต้อนรับ
	สวัสดีครับน้องพิม ผมยื่นดอกไม้ให้ เธอรับเอาพลางกล่าวขอบคุณ  สักครู่ชายตัวสูงขาว หน้าตาตี๋เดินตามเธอออกมา เธอหันไปพูดกับชายคนนั้นด้วยภาษาที่ข้าพเจ้าฟังไม่รู้เรื่อง

	พี่ยุทธคะนี่คุณยาซากิ คู่หมั้นพิมค่ะ เราจะแต่งงานกันเร็วๆ นี้ แล้วไปอยู่ที่ญี่ปุ่น  เดี๋ยวการ์ดเชิญตามไปนะคะ
	ราวฟ้าผ่าลงกลางใจจนหักสะบั้น  ข้าพเจ้าตัดสินใจไปจากที่นั่น โดยอ้างว่าลูกน้อง ว. มาแจ้งว่ามีราชการด่วน น้ำตาของลูกผู้ชายอกสามศอก ชายผู้ได้ชื่อว่าฮีโร่อย่างข้าพเจ้ามันไม่เคยไหลออกมาง่ายๆ   แต่...ครานี้มันเอ่อซึมที่เบ้าตาได้อย่างไร ก้อนบางอย่างมากระจุกที่ลำคอ  หลังมือถูกยกขึ้นมาเช็ดที่ดวงตาขณะรถเคลื่อนออกไปอย่างไร้ที่หมายไปชั่วขณะ พลางนึกสมน้ำหน้าตัวเองที่แอบรักเธอข้างเดียว...
	อ้าว...ลูกกลับเร็วจังวันนี้  ไหนบอกว่าไปหาเพื่อนกลับค่ำๆ ล่ะ แม่ทักขณะข้าพเจ้าเดินลงจากรถ
	แม่ครับ...ผมจะบวชให้แม่เร็วๆ นี้  เตรียมงานไว้เลย พูดจบข้าพเจ้าเดินเข้าห้องอย่างซึมเศร้า ได้ยินแต่เสียงแม่ที่พูดด้วยความปลาบปลื้มมากระทบหู

	ในที่สุดเวลาที่แม่รอคอยก็มาถึง แม่ดีที่สุดในโลกเลยลูก...



					@@@@@@@@@@@@@@@@				
7 พฤศจิกายน 2549 15:46 น.

เพื่อน

ป.ยุทธ

ปืนออโตเมติก  9 มม. ที่อยู่ในมือของเขาถูกกระชับทับด้วยมืออีกข้าง  มันถูกยกแนบข้างหูอย่างช้าๆ   ก่อนเขาจะนั่งเข่าข้างซ้ายคลุกลงกับพื้นดินที่ชื้นแฉะ  สายตากวาดมองไปมารอบๆ  อย่างระแวดระวัง และจ้องมองบ้านหลังเล็กข้างหุบเขาข้างหน้า  
	เอาไงดีหมวด  คนหนึ่งขยับเข้ามาใกล้กระซิบถาม
	จ่าบอกลูกน้องโอบล้อมไว้ทั้งสองด้านรอเวลาให้สัญญาณ เราจะจับเป็น  เขาสั่งการ
	แต่ว่าท่านรองสั่งจับตายนี่ครับ  คนที่ถูกเรียกจ่าแย้งขึ้น
	จ่าเชื่อผมเถอะ ผมจะชี้แจงกับท่านรองเอง  
	หากเขาต่อสู้ล่ะ จ่าตำรวจผู้มีอายุมากกว่ายังสงสัยและไม่ค่อยจะเห็นด้วย
	เอาเถอะ ถ้าจำเป็นจริงๆ ก็สุดแล้วแต่-แต่จงจำเอาไว้ว่าเราจะจับเป็น  เขาสั่งโดยที่ไม่ยอมฟังคำทัดทาน
	จ่าตำรวจนำกำลังค่อยๆ เคลื่อนตัวไปอย่างแผ่วเบาตามคำสั่ง  ท่ามกลางความมืดแห่งราตรีจะมีก็แต่เพียงไฟฉายดวงจิ๋วส่องนำทางพอให้มองเห็นเวลาก้าวย่าง  บางครั้งพวกเขาต้องหมอบราบกับพื้นเมื่อสายฟ้าแลบแปลบปลาบมาเป็นช่วงๆ  ไม่ช้าก็มีเสียงฟ้าร้องครืนๆ ตามมาเป็นระยะ
	ฝนเริ่มลงเม็ดพรำๆ   เขากระซับเสื้อแจ็กเก็ต และขยับหมวกให้แน่นเพื่อคลายหนาว  

	 บ่ายที่ผ่านมาผู้บังคับบัญชาเรียกเขาไปประชุมลับ 
	สายเรารายงานว่าเสือมืดกลับมาบ้าน หมวดนำกำลังเข้าจับกุม ผมอยากให้จับตาย เพราะประวัติมันร้ายกาจมาก  อั๊วไม่อยากให้โอกาสมันต่อสู้ในชั้นศาลเดี๋ยวหลุดออกมาสร้างความเดือดร้อนอีก 
	แต่ถ้าเขายอมโดยไม่ต่อสู้ล่ะครับท่าน  
	ก็สร้างภาพเลยสิ  โน่นไปถามจ่าโน่นเขามีวิธี  
	ครับ  เขารับปากอย่างไม่ค่อยเต็มเสียงมากนัก
	เขารู้ดีว่าเสือมืดเป็นใคร 
+++++++++++++++++++++++++
	
	แสงแดดอุ่นๆ ท่ามกลางหมอกจางๆ  เขากับมืดเดินกึ่งวิ่งไปตามท้องทุ่งดอกกระเจียวที่ออกดอกสีม่วงบานสะพรั่งมุ่งหน้าสู่โรงเรียน 
	ไอ้ฤทธิ์  ตามข้าให้ทันสิวะ มืดท้าทายก่อนวิ่งนำหน้า  เขาขยับเท้าวิ่งไล่กระชั้นชิด 
	ถ้าตามทันข้าเตะเอ็งนะเว้ยไอ้มืด
	ได้เลยเพื่อน ฮ่าๆๆ   เมื่อวิ่งตามทัน ทั้งสองก็กระโดดเตะหยอกล้อกันสนุกสนาน
	เฮ้ยๆ   ทำอะไรกันรีบไปโรงเรียนเร็วเข้าเดี๋ยวไปไม่ทันเข้าแถว เสียงนั้นตวาดขณะขี่จักรยาน ตามหลัง
	ครับคุณครู ทั้งสองพูดเป็นเสียงเดียวกันก่อนวิ่งหายเข้าไปในโรงเรียน

	จบจากระดับประถมทั้งสองก้าวสู่โรงเรียนมัธยมในตัวอำเภอ แต่ละวันจะห้อยโหนรถสองแถวที่บรรทุกผู้โดยสารอัดแน่นเต็มคันรถ 
	จบมอหกแล้วเอ็งคิดจะทำไงต่อวะฤทธิ์   มืดถามเขา
	ข้าว่าจะสอบเข้าโรงเรียนพลตำรวจว่ะ เพราะข้าอยากเป็นตำรวจ และจะเป็นตำรวจที่ดีของประชาชน  ดวงตาของเขาแน่วแน่
	เออวะ...ข้าเอาด้วยคนไปไหนไปกัน  มืดตอบพลางหัวเราะเห็นเป็นเรื่องขัน

	วันนั้นเขากับมืดไปดูประกาศผลการสอบ  ทั้งสองดีใจที่จบการศึกษา ชั้น ม. 6  จึงถือโอกาสไปเดินเที่ยวตลาดในตัวอำเภอ  ขณะเดินผ่านร้านเหล้า เสียงเพลงจากตู้เพลงดังอึกทึก คึกโครม มีวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งกำลังดิ้นกันสุดมัน  ด้วยความไม่ระมัดระวัง  เขาเดินไปสะดุดเก้าอี้จนเซไปชนกลุ่มวัยรุ่นนั้นเข้า  
	ขอโทษครับพี่  เขากล่าวอย่างน้อมน้อม
	ไอ้น้องมึงเดือดร้อนแน่ ชายคนพูดปล่อยฝ่ามือไปที่ใบหน้าเขา-เขาเอี้ยวตัวหลบจนฝ่ามือนั้นวืดไป
	เฮ้ย...มันสู้  คนที่ตบร้องบอกเพื่อนๆ ที่กำลังดิ้นไปตามจังหวะเสียงเพลงจนต้องหยุดชะงักหันไปมอง และแล้วทั้งหมดพร้อมใจกันเดินปรี่เข้าใส่เขา
	โทษครับพี่โทษครับ   ผมเปล่าสู้นะครับ 	 เขายกมือทั้งสองขึ้นห้ามพลางถอย  แล้วมองหามืดที่กำลังซื้อของฝั่งถนนตรงกันข้าม  
	เขาดึงเอาเก้าอี้ของร้านมาขวางทางพวกมันไว้  ก่อนตัดสินใจวิ่งไปหามืด แล้วดึงแขนมืดออกจากร้านค้า วิ่งหนีไปทางซอย 
	เรื่องอะไรวะฤทธิ์  
	มีคนไล่ทำร้ายเรา   เขาตอบอย่างหวาดระแวง และกระหืดกระหอบ
	สักครู่เสียงมอเตอร์ไซค์ไล่ตามหลังมา   เขาหันไปมองขณะวิ่ง  เห็นมีมอเตอร์ไซค์สองคัน 
	เฮ้ยไอ้มืดอย่า...รีบหนีตามมาสิวะ  เขาร้องตะโกนเมื่อเห็นมืดคว้าไม้ข้างทางแล้วยืนรอประจันหน้า 
	เอ็งหนีไปก่อนข้าไอ้ฤทธิ์  
	ไม่...เพื่อนต้องไม่ทิ้งเพื่อน  เขาตอบพลางขยับจะเข้าไปช่วยเป็นจังหวะเดียวกันที่มืดหวดไม้ไปที่คนขับมอเตอร์ไซค์คันแรกจนรถเสียหลักพุ่งชนกำแพงจนคนขับกับคนซ้อนแน่นิ่ง 
	คันที่สองตามมาเห็นเพื่อนเป็นเช่นนั้น  มันหยุดรถ  คนที่ขับกระชากดาบสปาต้าออกมาจากตัวรถ อีกคนถือท่อนไม้ เดินเข้ามาหามืด - มืดยืนถือท่อนไม้รอรับการจู่โจม  อย่างไม่เกรงกลัวหรือคิดหนี 
	หนีเถอะมืด...หนีเถอะ  เขาร้องบอกด้วยหัวใจระทึกเต้น แต่เหมือนมืดไม่ได้ยินยังคงยืนนิ่งคล้ายนักดาบซามูไรทำสมาธิก่อนเข้าโรมรันข้าศึก
	เขายอมรับว่ากลัวและใจไม่ห้าวหาญพอเช่นมืด  เขาได้แต่แปลกใจว่าทำไมมืดถึงได้ใจเด็ดเดี่ยวนัก  อันที่จริงมืดก็แค่เพียงนักมวยสมัครเล่นของโรงเรียน  และเป็นผู้รักษาประตูในทีมฟุตบอลเท่านั้น
	คนถือไม้วิ่งเข้าใส่แล้วหวดไม้หมายที่หัวของมืดเต็มแรง มืดหลบอย่างฉับพลัน ในเสี้ยววินาทีนั้นมืดกระโดดลอยตัวพาดท่อนไม้ในมือไปที่ท้ายทอยของมันจนร้องโอยล้มแน่นิ่ง  ดูราวกับว่ามืดลอยตัวปัดลูกฟุตบอลป้องกันการยิงประตูในสนามยังไงยังงั้น  
	คนถือดาบที่เหลือไล่ฟันมืดอย่างโกรธแค้น  มืดกระโดดหลบไปมา  จังหวะนั้นเขาตัดสินใจคว้าไม้ไผ่ราวตากผ้ายาววาเศษ แกว่งเข้าไปหาแล้วฟาดไปที่มัน-มันเบนความสนใจมาที่เขา พร้อมยกดาบรับจนไม้นั้นขาดกระเด็นด้วยคมดาบ    
	และแล้ว...เขาถูกมันฟันเข้าใส่  เขาหลบพลางถอยหลังอย่างตกใจ  พลัน...เขาเกิดสะดุดเท้าตัวเองล้มลง  เสี้ยววินาทีนั้นมันค่อยเงื้อดาบขึ้นสุดแขนหมายฟันเขา  โอ...พระเจ้าช่วยเขาคิดว่าคงตายแน่แท้   แต่แล้วมืดกระโดดถีบที่กลางหลังของมันสุดแรงจนกระเด็นข้ามตัวเขาไป กระแทกกำแพงจนมันร้องสุดเสียง  เขาหันไปมอง  โอ...ให้ทุกแก่ท่านทุกนั้นถึงตัว  มันโดนคมดาบของตัวเองฝังจมไปที่หน้าผากเลือดกระฉูดออกมาเป็นระยะก่อนล้มลง
	เขาลุกขึ้นยืนอย่างจังงัง  เป็นจังหวะเดียวกับเสียงหวอรถตำรวจดังใกล้เข้ามา
	ไอ้มืดหนีเร็ว  เขาร้องบอกพร้อมขยับเท้าวิ่ง 
	เขาเข้าไปหลบที่ซอกตึกร้าง เวลานี้ใจของเขาเต้นระทึก  เนิ่นนาน- นานจนมืดค่ำ  เขาคิดว่ามืดคงเอาตัวรอดกลับไปแล้ว  เขาจึงออกจากที่ซ่อนกลับบ้านเช่นกัน
	ลูกไปไหนมา รู้ไหมว่าไอ้มืดมันถูกตำรวจจับ  มันฆ่าลูกชายกำนัน  เขาสะดุ้งตกใจกับคำบอกเล่าของแม่
	ยายมันร้องไห้เสียใจจนเป็นลม  ดีนะที่ฤทธิ์ไม่ได้ไปกับมันไม่งั้นแย่  สิ้นเสียงแม่เขายืนนิ่งคล้ายรูปปั้น

	มืดถูกศาลตัดสินจำคุกไปยี่สิบห้าปี  
	ส่วนเขาสอบเข้าโรงเรียนพลตำรวจได้   ขณะรับราชการตำรวจเขาเรียนปริญญาตรีด้านนิติศาสตร์ไปด้วย  
	สี่ปีต่อมาเขาจบการศึกษา และสอบเข้าเป็นนายตำรวจติดยศร้อยตำรวจตรี  
	เขายอมรับว่าไม่มีเวลาไปเยี่ยมมืดที่เรือนจำเลย  อีกอย่างคงเป็นเรื่องไม่เหมาะนักกับอาชีพตำรวจอย่างเขาจะไปเยี่ยมนักโทษเช่นนั้น
	ปีที่แล้วเขาจึงย้ายกลับมารับราชการที่สถานีตำรวจภูมิลำเนา  เขาจึงรู้ข่าวว่ามืดแหกคุกออกมาแล้ว มืดกลายเป็นโจรปล้นฆ่าเจ้าทรัพย์ในหลายจังหวัด  เวลานี้ทางการต้องการตัวเสือมืดโดยตั้งค่าหัวไว้ ที่สามแสนบาทไม่ว่าจะจับเป็นหรือจับตาย  
++++++++++++++++++++++

	ปืนในมือของเขายังกระชับไว้แน่น  
	เขาตัดสินใจเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ใกล้บ้านเข้าไปทุกขณะ ทุกขณะ แต่แล้วเขาเผลอไปเหยียบกิ่งไม้แห้งเข้า
	ใครอยู่ข้างนอกไม่บอกยิงนะเว้ย  เสียงจากคนในบ้านร้องออกมา
	มืด   ข้าไอ้ฤทธิ์เพื่อนเอ็งไง  ข้าว่าเอ็งมอบตัวเสียเถอะ 
	อ๋อ  ไอ้ฤทธิ์ไอ้เพื่อนทรยศ   ไม่มีทางหรอกว่าข้าจะมอบตัว  เสียงจากข้างใน
	ถ้าเอ็งจะพูดถึงอดีตล่ะก็  ข้าขอโทษ แต่วันนี้ข้าขอให้เอ็งมอบตัวกับทางการเสียเถอะ โทษหนักจะได้เป็นเบา  อย่าคิดหนีเลยไปไม่รอดหรอก  เวลานี้ตำรวจล้อมไว้หมดแล้ว 
	หึหึ   อย่ากล่อมเสียให้ยาก ข้ารู้ดี    ข้าติดคุกหลายปี  ไม่มีวันที่ข้าจะกลับเข้าไปอีก  ส่วนแกล่ะก็ถ้ารักตัวกลัวตาย  หนีกลับไปดีกว่า  หนีเอาชีวิตรอดเหมือนครั้งก่อน 
	เอ็งเข้าใจข้าผิดแล้วมืด  เขาพูดยังไม่จบดีก็มีเงาสลัวคนสาม-สี่คนพุ่งออกมาทางหน้าต่างพร้อมเสียงปืนดังขึ้นสาม-สี่นัดเพื่อเป็นการเบิกทาง
	ตำรวจทุกนายหลบเข้าที่กำบังพร้อมสาดกระสุนออกไป คนละนัดสองนัด เวลานี้ไม่มีใครคิดจะจับเป็นเสือมืดเสียแล้ว   นอกเสียจากเขาคนเดียว
	  เขาวิ่งขึ้นไปบนบ้านแล้วเปิดประตูเข้าไปให้ห้องอย่างรวดเร็ว ปืนในมือถูกเล็งไปข้างหน้าพลางส่ายไปมาพร้อมกับสายตาอย่างระมัดระวัง  และแล้วสายตาของเขาพร้อมปืนก็เล็งไปที่ร่างของหญิงชราที่นอนอยู่มุมห้อง   ร่างนั้นสะดุ้งพลางโงหัวขึ้นมาอย่างยากเย็น
	ฤ  ฤทธิ์รึ เสียงแหบแห้งพร้อมไอตามมาทุกระยะ
	ครับยาย เขาลดปืนลงอย่างรวดเร็ว
	ยายไม่สบายเหรอครับ  เดี๋ยวสายๆ ผมจะพาหมอมาดูอาการให้  ผมขอตัวก่อน เขาออกจากห้องโดยไม่ฟังเสียงที่แหบแห้งร้องบอก
	ค่อยๆ พูด ค่อยๆ จากันนะฤทธิ์ 
   
	แสงทองจับขอบฟ้าเวลานี้ฝนหยุดตกไปแล้ว ตำรวจเคลื่อนตัวแบบก้มต่ำอย่างระมัดระวัง  
	จ่ากับลูกน้องตามไปทางนั้น ส่วนผมจะไปดักหน้าทางนี้ ระวังตัวด้วย 
	ครับหมวด
	ความมืดจางหายไปแล้ว  ปืนในมือเขายังกระชับไว้แน่น พร้อมก้าวย่างไปตามเชิงเขาที่มีป่าไม้ใหญ่น้อยประปราย
	ฉับพลัน...
	หยุด...ไอ้มืดมอบตัวเสีย  เขาตะโกนพร้อมยกปืนขึ้นเล็งไปที่ชายกลุ่มนั้น
	พวกเอ็งหนีไปก่อน  ข้าจะจัดการกับตำรวจคนนี้เอง  มืดสั่งลูกน้อง  แล้วเล็งปืนพร้อมเดินมาที่เขา โดยไม่สนใจลูกน้องที่กำลังหนี เข้าไปในป่าทึบ
	
	ทั้งสองยืนประจันหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างเล็งปืนในมือไปที่กันและกัน
	ข้ารู้ว่าเอ็งมาเยี่ยมยายที่ป่วย เขาค่อยๆ ลดปืนลง 
	แกก็เลยตามมาจับข้าล่ะสิ มืดพูดจบลดปืนลงตาม
	เอ็งมอบตัวเสียเถอะวะเพื่อน ไม่ต้องห่วงยายหรอกข้าจะดูแลพร้อมหาหมอมารักษา
	ถ้าข้ามอบตัวแล้วแกจะได้มีผลงานใช่ไหมล่ะ จะได้เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่งล่ะสิท่า มืดประชดประชัน
	ทำไมเอ็งต้องเป็นโจรด้วยวะ  ปล้นเขากินมันไม่ใช่นิสัยของลูกผู้ชายอย่างเอ็งเลยนี่หว่า
	ฮ่าๆๆ  มืดหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง  
	ถึงข้าปล้นข้าก็ปล้นพวกทำนาบนหลังคน พวกคดโกงเอาเปรียบชาวบ้านตาดำๆ แม่งร่ำรวยจากการโกงราคาข้าว พืชไร่ จำนองที่นาเอาดอกเบี้ยสูงๆ แล้วยึดเอา   ส่วนอีกพวกก็คอรัปชั่น คดโกงฉ้อราษฎร์บังหลวง ร่ำรวยอยู่ดีกินดี ชาวบ้านล่ะนับวันจนลงจนลง ถ้าอาศัยทางการอย่างพวกแกนะรึ  หึหึ  เมื่อไหร่จะแก้ปัญหาได้ มันต้องพวกข้าถึงจัดการกับพวกมันได้  พวกชั่วช้าสามานย์อย่างนั้นต้องได้รับบทเรียนจากพวกข้าอย่างสาสม 
	แต่มันผิดกฎหมายบ้านเมือง  เขาอธิบาย
	ข้ารู้แต่จะทำยังไงได้   เพราะกฎหมายก็อยู่ในมือพวกมัน
	เอ็งวางปืนแล้วมอบตัวกับข้า-ข้ารับรองความปลอดภัย โทษหนักจะได้เบาลง
	มืดยืนนิ่ง ครุ่นคิด สายตาจ้องมองมาที่เขาเขม็ง 
 และแล้ว... ฉับพลัน!! นั้นเอง มืดยกปืนขึ้นเล็งมาทางเขาพร้อมเหนี่ยวไกอย่างรวดเร็ว จนเสียงนั้นดังก้องสะท้อนไปทั่วผืนป่านกกาแตกตื่น   ในเสี้ยววินาทีนั้น เขาระวังตัวอยู่แล้ว ด้วยสัญชาตญาณการป้องกันตัว เขาจึงยิงสวนออกไป           
 
	เขาคงยืนถือปืนนิ่งในท่าเล็ง ส่วนร่างของมืดทรุดฮวบลงพื้น  เลือดสดๆ ทะลักออกมา  เขารู้ว่ามืดยิงเขาก่อน แต่เมื่อมองหาจุดที่ถูกยิงกลับหาไม่เจอ หรือว่ามืดยิงไม่แม่นพอ  จึงไม่โดนเขา  แต่ก็ไม่น่าจะใช่เพราะอยู่ไม่ห่างกันนัก    เขาจึงมองไปทางซ้าย-ทางขวา และด้านหลัง   เท่านั้นเองเขาต้องสะดุ้งตกใจรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 
งูจงอางตัวใหญ่นอนจมกองเลือด พอรู้ว่าอะไรเป็นอะไร เขาก็กระโดดเข้าดึงมืดขึ้นมาประคองในท่านั่งร่ำไห้
	ข้าขอโทษฮือๆ ข้านึกว่าเอ็งจะยิงข้า  ทำไม  ทำไมเอ็งไม่ร้องบอกข้า  ไอ้มืดเพื่อนรัก
	ข...ข้า..ไม่โกรธแกหรอก ข้าระ  รู้ว่าสมควรตาย  ข้าตะ ตั้งใจจะให้แกมีผลงาน  ข้าอยู่ไปไร้ประโยชน์ ข...ข้าฝากยายด้วย  พูดจบมืดกระตุกสอง-สามทีก่อนแน่นิ่ง
	ไม๊...ไม่เอ็งต้องไม่ตายข้าจะพาเอ็งไปหาหมอ
	จ่าตำรวจกับลูกน้องมาถึงได้แต่ยืนมองอย่างงงงัน เมื่อเห็นผู้บังคับบัญชาหนุ่ม กอดร่างไร้วิญญาณของจอมโจรร้ายที่บ้านเมืองต้องการตัวร่ำไห้ อย่างอาลัยอาวรณ์

	
@@@@@@@@@@@@@@@@@				
6 พฤศจิกายน 2549 09:38 น.

ปลัดบ้านนอก

ป.ยุทธ

รถเครื่องถูกขับเคลื่อนไปตามถนนสายลูกรังท่ามกลางสายหมอกที่เกาะกลุ่มเป็นทิวขาวบางเบาปกคลุมไปทั่วบริเวณ 

 ตะวันโผล่สาดแสงส่องขับไล่สายหมอกนั้น จนจางหายไปทีละนิด..  ทีละน้อย  ตามทุ่งนาข้างทางบัดนี้เหลือแต่ตอซังข้าว สลับกับดอกหญ้าสีขาว-เหลืองเปล่งประกายแต่งแต้มเป็นสีสัน

	ข้าพเจ้าพยายามถนอมรถเครื่องของทางราชการโดยการเลี้ยวหลบหลุมอันขรุขระบนท้องถนน  ตามสภาพถนนที่ถูกน้ำท่วมขัง และกัดเซาะตั้งแต่หน้าฝนที่ผ่านมา   

แทบทุกๆ ปีที่งบประมาณถูกจัดสรรลงไปซ่อมปรับปรุง  แต่เมื่อถึงคราหน้าฝนก็เหมือนเดิมอีกเป็นอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ   จนกว่ารัฐบาลมีงบประมาณก้อนโตลงมาสร้างถนนสายนี้เป็นลาดยาง      

	รถยนต์  รถเครื่องที่แซงและสวนทางกันไปมา   จะเป็นครูบ้าง  เจ้าหน้าที่อนามัยตำบลบ้าง   พวกเขากำลังเดินทางไปทำงาน  ข้าราชการเหล่านี้ที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการพัฒนาท้องถิ่นชนบทตามอำนาจหน้าที่ของตน  แต่จะมีใครบ้างเท่านั้นที่มาด้วยอุดมการณ์ หรือว่ามาด้วยความจำใจอย่างเลือกไม่ได้    

	 รถจอดหน้าที่ทำการ อบต. แล้ว..  ข้าพเจ้าเดินเข้าไปที่โต๊ะทำงาน      

	ปลัดมาทำงานแต่เช้าเชียวนะครับวันนี้ ภารโรงทักขณะมือถือไม้กวาดพร้อมที่รองรับขยะ      

	ผมมีรายงานด่วนจะส่งอำเภอน่ะ  ตอบพลางนั่งลงที่เก้าอี้ก่อนหันไปทอดสายตาเหม่อมองทิวเขาที่ตระหง่านเป็นทิวแถวนอกหน้าต่าง      

	ข้าพเจ้าอดนึกถึงเพื่อน ๆ  ที่จบด้านรัฐศาสตร์เหมือนกันไม่ได้  พวกเขาทำงานกับบริษัทเอกชนเงินเดือนหลายหมื่นบาท  อยู่ในวงการไฮโซ  ดูช่างต่างกันชนิดหน้ามือกับหลังมือ   เพราะสถานที่ที่ตัวเองทำงานก็อยู่ในชนบท  เงินเดือนหรือก็ไม่กี่พันบาท   

 หลายต่อหลายครั้งที่พวกเขาชวนไปทำงานด้วย แต่ข้าพเจ้าก็ปฏิเสธไป  อาจเป็นเพราะว่าหยิ่งในศักดิ์ศรีของตัวเองจึงมองไปว่าการทำงานเช่นนั้นเป็นทาสรับใช้นายทุนและคิดว่าตัวเองเหมาะสำหรับที่อย่างนี้มากกว่า    จึงพึงพอใจในความเป็นอยู่  ตลอดจนอุดมการณ์และความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาให้ชาวบ้านได้อยู่ดีกินดี  มีรายได้  ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากสังคม      

	 ชาวบ้านยากจนทั้ง ๆ  ที่พวกเขาขยันขันแข็ง  ทำไร่  ทำนา  แต่โครงสร้างของสังคม  การกระจายรายได้ที่ยังไม่เป็นธรรม  ตลอดจนราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำต่างหากล่ะ  ที่ทำให้พวกเขายากจนอยู่ทุกวันนี้      

	สองปีที่อยู่ที่นี่ได้เสนองบประมาณให้ชาวบ้านได้พัฒนาในหลาย ๆ  ด้าน  ไม่ว่าจะเป็นด้านกลุ่มอาชีพ  การเกษตรครบวงจรตามพระราชดำรัส  การจัดตั้งกองทุนสหกรณ์ร้านค้าโดยมีเงินปันผลคืนกำไร  การขุดลอกลำห้วย  และก่อสร้างฝายกักเก็บน้ำเพื่อให้หน้าแล้งมีน้ำทำการเกษตร  ส่วนด้านเยาวชนได้ส่งเสริมการใช้เวลาว่างเล่นกีฬาไม่หันเข้าหายาเสพติด  โดยจัดการแข่งขันกีฬาต้านยาเสพติดทุก ๆ  ปี  จนโครงการเหล่านี้ล้วนประสบผลสำเร็จได้รับความนิยมชมชอบจากชาวบ้านในตำบล 

	 ทุกวันนี้ชาวบ้านได้ลืมตาอ้าปากขึ้นมาก็ด้วยความร่วมแรง  ร่วมใจของพวกเขาเอง  ดูเหมือนว่าชาวบ้านทุกคนจึงมีความผูกพันกับข้าพเจ้าและไม่อยากให้ย้ายไปไหน 

	การปฏิบัติหน้าที่ของข้าพเจ้าจึงตรงไปตรงมา  เพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาวบ้าน  และบวกกับนิสัยที่ไม่ชอบการเอารัดเอาเปรียบ       

	เดือนที่ผ่านมา วันนั้นข้าพเจ้ายังจำได้ดี  มีผู้รับเหมามาขอรับงานพร้อมเสนอผลประโยชน์ให้      

	ผมขออนุญาตไม่รับนะครับ  เพราะไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน  ส่วนงานใครเสนอราคาต่ำสุดเราก็เอาคนนั้นแหละครับ  เพื่อประหยัดงบประมาณของทางราชการ  หากเราทราบว่ามีการฮั้วประมูลกันทางเราก็จะประกาศยกเลิกทันที   ข้าพเจ้าปฏิเสธไปอย่างนิ่มนวล 

	อีกครั้งที่ผู้รับเหมารายหนึ่งขอเบิกเงินค่าจ้างเหมาก่อสร้างถนน  แต่การตรวจรับงานยังไม่ได้ตามแบบ  ข้าพเจ้าจึงปฏิเสธที่จะจ่าย   

	 คุณปลัดงานขาดนิดขาดหน่อยอนุโลมกันบ้าง  เอางี้ผมให้  5  เปอร์เซ็นต์เลย       

	 เท่าไหร่ก็รับไม่ได้หรอกครับ  เอาเป็นว่าทำงานเพิ่มเติมให้ได้ตามแบบ ผมจะเบิกให้ทันที   ข้าพเจ้าพยายามประนีประนอม      

	 ผมไม่เชื่อหรอกว่าปลัดไม่ต้องการเงิน  ทุกคนทำงานก็เพื่อเงินทั้งนั้นแหละ  รับไปเถอะ หรือว่ามันน้อยไป  งั้นผมให้เพิ่มเป็น  7  เปอร์เซ็นต์  ผู้รับเหมายังง้อไม่เลิก      

	 ขอโทษนะครับ  ผมนัดประชุมชาวบ้านไว้   ขอตัวก่อน   ข้าพเจ้าเลี่ยงหนีไม่อยากต่อล้อต่อเถียง      

	ความจริงแล้วเงินใคร ๆ  ก็อยากได้เหมือนผู้รับเหมาว่า  แต่การได้มาโดยทุจริตอาจทำให้ถูกตั้งกรรมการสอบสวนวินัย  และถูกไล่ออกจากราชการได้         

	ครั้งล่าสุด   เรื่องค่อนข้างรุนแรง  เมื่อมีงบประมาณถ่ายโอนลงมาสร้างถนนลาดยาง  10  ล้านบาทผ่านพื้นที่ อบต. ที่รับผิดชอบ   ข้าพเจ้าถูกแต่งตั้งเป็นกรรมการตรวจการจ้างร่วมกับคณะกรรมการจากจังหวัด  เมื่อไปตรวจรับงานจ้างโครงการกลับไม่ได้ตามแบบ  ผู้รับเหมาราดยางผิวถนนน้อยกว่าความเป็นจริงทำให้มองเห็นก้อนหินโผล่ผิวจราจรขรุขระ  ข้าพเจ้าจึงไม่เซ็นให้      

 	ท่านปลัดต้องเห็นใจทางผมนะครับ ต้องจ่ายหลายด่านหมดไปไม่น้อย  ถ้าทำตามแบบขาดทุนแน่  เห็นใจทางผมด้วย  ผู้รับเหมาชี้แจง 

	ถ้าทำตามที่คุณขอก็เท่ากับว่าผมทุจริตต่อหน้าที่  ข้าพเจ้าพยายามทำความเข้าใจ

	นี่ไม่ใช่ว่าผมจะให้ปลัดเซ็นให้ฟรี ๆ นะครับ  ผมเคลียอยู่แล้ว  หรือว่าปลัดไม่เชื่อใจ   ถ้างั้นผมเขียนเช็คเงินสดให้เดี๋ยวนี้เลยก็ได้  พูดจบผู้รับเหมาดึงเอาสมุดเช็คออกมา      

	ไม่คุณเข้าใจผิดไม่ใช่ยังงั้น  คุณทำงานเพิ่มเติมให้ดูดีกว่านี้ผมก็เซ็นให้   แค่นี้เอง   ผู้รับเหมากลับไปอย่างอารมณ์เสีย      

 	โครงการนี้เป็นของนักการเมืองระดับประเทศเชียวนา..  เซ็นให้เขาก็สิ้นเรื่อง  อย่าเรื่องมากเลยเดี๋ยวเดือดร้อน  เจ้าหน้าที่ทางอำเภอแนะนำเมื่อข้าพเจ้านำเรื่องเข้าปรึกษา      

 	   นายอำเภอเรียกตัวข้าพเจ้าเข้าไปพบในวันต่อมา      

	ปลัด  ผู้รับเหมามาร้องเรียนกับผมว่าคุณเรียกเงินค่าเซ็นตรวจรับงานกับเขาจริงไหม  นายอำเภอถามเมื่อข้าพเจ้านั่งลงต่อหน้า 

 	ไม่จริงครับท่าน  เขาต่างหากที่เสนอให้ผม  แต่ผมไม่รับ  ข้าพเจ้าชี้แจง      

 	ไม่รู้ล่ะนะ  เห็นเขามาร้องเรียนดีที่ไม่มีหลักฐาน  และเขาบอกว่าไม่เอาเรื่อง  ไม่เช่นนั้นปลัดถูกตั้งกรรมการสอบสวนความผิดวินัยร้ายแรง  ถึงขั้นออกจากราชการเชียวนะ  นายอำเภอเว้นระยะก่อนพูดต่อ      
	โครงการนี้ไม่ธรรมดาแล้ว  ถึงขั้นเจ้านายจากจังหวัดโทรมาให้ผมช่วยดูให้  เอาเป็นว่าผมฝากปลัดอีกทีก็แล้วกัน  อะไรถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงก็ให้ผ่าน ๆ ไปเถอะ      

 	ครับท่าน .  แต่นี้มัน..  ข้าพเจ้าพยายามจะอธิบาย  แต่ถูกตัดบท      

	ผมเข้าใจว่าปลัดหนักใจ  แต่ก็พิจารณาดูก็แล้วกัน  ขอโทษนะ  ผมมีงานด่วนต้องทำ  ข้าพเจ้าเดินออกจากห้องนายอำเภออย่างสับสนมึนงง      

 	อย่าตรงมากนักเดี๋ยวชนตอ  นะเว้ย      

 	เราก็ต้องฟังเจ้านายเขาด้วย      

	เรามันผู้น้อยเสียงไม่ดังหรอกเพื่อน  แต่ยังไง ๆ  ก็ระวังตัวด้วยนะ  พวกเราเป็นห่วง  เพื่อน ๆ เตือนเมื่อพบปะกันในวันประชุมอำเภอ      
********************
       
	หลังเลิกงานข้าพเจ้าขี่รถกลับบ้านอย่างเนิบช้า พลางครุ่นคิดเรื่องเมื่อช่วงกลางวัน  ผู้รับเหมามาขอร้องให้เซ็นตรวจรับงานเป็นครั้งที่สองหลังจากเว้นระยะสาม  สี่วัน      

 	ผมต้องขอโทษจริง ๆ  ครับ  ถ้ายังไม่ลงยางเพิ่ม...ผมคงเซ็นตรวจรับให้ไม่ได้   ข้าพเจ้ายังยืนยันแน่วแน่  

 	ถ้าปลัดไม่เซ็นระวังจะเดือดร้อน   อย่าหาว่าไม่เตือนก็แล้วกัน   ผู้รับเหมาข่มขู่ก่อนออกไปอย่างหุนหัน    

ใกล้ถึงสะพาน  ข้าพเจ้าเพ่งมองรถเครื่องที่จอดอยู่บริเวณเชิงสะพานหลานคัน มีวัยรุ่น 4  5  คน จับกลุ่มกันอยู่

 	จอดก่อนพี่จอดก่อน  หนึ่งในกลุ่มโบกมือเรียก 
ข้าพเจ้าจอดรถ..แล้วถามออกไป
	มีอะไรให้ช่วยไหมครับ    

	พี่เป็นปลัด..  อบต.นี้ใช่ไหม  วัยรุ่นคนเดิมถามสีหน้าขึงขัง      

	ใช่ครับ  ข้าพเจ้าตอบพร้อมรอยยิ้มอย่างเป็นมิตร      

	สิ้นเสียงตอบหนึ่งในกลุ่มกระโดดถีบข้าพเจ้ากระเด็นตกจากรถ  ส่วนรถคว่ำไม่เป็นท่า  แต่ก็รีบลุกขึ้นอย่างตกใจ   ยังไม่ได้ถามสาเหตุ   เท้าของอีกคนหวดที่กลางหลังจนเซถลาไปข้างหน้า และแล้วสติของข้าพเจ้าต้องดับวูบเมื่อมีของแข็ง ๆ  มากระทบที่ท้ายทอย      
    
 	แสงจากหลอดไฟส่องสว่างไปทั่วห้อง  แต่ข้าพเจ้าดูช่างเลือนลาง  จึงพยายามกวาดสายตาไปรอบๆ  พร้อมขยับกาย  แต่รู้สึกปวดระบมตามตัว      

 	หัวหน้าฟื้นแล้ว  โอ๊ะอย่าค่ะ  อย่าเพิ่งขยับตัวนะคะ  เสียงใครคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้าง ๆ  เตียงร้องบอก  ข้าพเจ้าหันไปตามเสียงนั้น      

	อ้าว...นงคราญเหรอ หัวหน้าเป็นอะไรนี่    

	  หัวหน้าถูกคนทำร้าย  โชคดีที่ครูสุชาติกำลังจะกลับบ้านมาพบเข้า  พวกมันจึงหนีไป  และพาหัวหน้าส่งโรงพยาบาลนี่แหละ  รู้ไหมคะว่าหัวหน้าสลบไปทั้งคืนเชียว  นงคราญเล่าเรื่องราวให้ฟัง      

	นึกประมวลเหตุการณ์  ใครกันที่ทำร้าย  คงมีผู้อยู่เบื้องหลังวัยรุ่นกลุ่มนี้   ข้าพเจ้าได้แต่นึกถึงผู้รับเหมารายนั้น 

	แล้วเธอมาตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ  ข้าพเจ้าหันไปทางเธอ      

	เอ่อ...ก็พร้อมๆ กับพาหัวหน้ามาส่งล่ะค่ะ      

	แสดงว่าเธอเฝ้าหัวหน้าทั้งคืนเลยนะสิ  เธอพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มอย่างเต็มใจ  ข้าพเจ้ามองเธออย่างขอบคุณ   เธอเอียงอายหลบสายตา        

	นงคราญเธอเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่ข้าพเจ้าชื่นชอบคนหนึ่งไม่ว่าจะเป็นอุปนิสัยใจคอ  ความขยันในหน้าที่การงาน และอีกอย่างที่ถูกใจคือใบหน้าใสๆ รับกับเส้นผมที่ยาวสลวยของเธอ    จนทำให้เผลอแอบมองเธอบ่อยครั้งเมื่ออยู่ที่ทำงาน   ใบหน้าของเธอทำให้สดชื่นหายเหนื่อยได้เช่นกันในบางครั้ง   ชีวิตหนุ่มโสดอย่างข้าพเจ้าหมกมุ่นอยู่กับงานตลอดจนไม่มีเวลามองสาว ๆ  ที่ไหน  คิดแล้วอดที่จะเห็นใจเธอไม่ได้ที่คอยเฝ้าดูแลยามเจ็บป่วยเช่นนี้      

 	เสียงเคาะประตูพร้อมเปิดออก  ผู้ที่ก้าวเข้ามาคือเพื่อน ๆ  ปลัด  4 - 5  คน   

	เป็นไงบ้างเพื่อน  วันนี้พวกเรามาเยี่ยมพร้อมมีหนังสือราชการด่วนมาให้  คนหนึ่งพูดขึ้น      

	ขอบใจหนังสืออะไรเหรอ  ข้าพเจ้าถามอย่างสงสัยและอยากรู้      

	ไม่รู้สิ   ทางจังหวัดฝากมาให้    เพื่อนพูดพลางยื่นให้      

	เพื่อน ๆ  กลับไปแล้วข้าพเจ้านอนนิ่ง  ความคิดสับสน  นี่หรือคือ  รางวัลตอบแทนสำหรับการทำงานอย่างตรงไปตรงมา  ผลลัพธ์กลับเป็นเช่นนี้  แม้แต่ชีวิตก็จะเอาไม่รอด  คิดไปคิดมาน้ำตาเอ่อซึมอย่างไม่รู้ตัว  และต้องแกล้งหลับก่อนที่นงคราญจะเห็นความอ่อนแอ ความขี้แยของลูกผู้ชายอกสามศอก
      
	รถสองแถวโดยสารจอดหน้าที่ทำการ  อบต.  ข้าพเจ้าก้าวขึ้นพร้อมกระเป๋าใบใหญ่  ก่อนรถจะเคลื่อนข้าพเจ้าโบกมืออำลาชาวบ้านและลูกน้องที่มายืนส่ง  แล้วทอดสายตาไปที่นงคราญ  เธอโบกมือให้พร้อมรอยยิ้มที่แสนเศร้า  พลันน้ำตาของเธอก็พรั่งพรูลงอาบแก้มใสๆ    เธอเดินเข้ามาหาจนได้ยินเสียงสะอื้น แล้วอ้าปากจะเอ่ยวาจา   แต่แล้ว..  รถก็ค่อยๆ เคลื่อนไป  เธอเดินกึ่งวิ่งตามมา จนเส้นผมของเธอพลิ้วไหว
	หัวหน้าคะ...กลับมาเยี่ยมพวกเราด้วยนะคะ...  เธอพูดกึ่งตะโกน
ภาพนั้นค่อยๆ  ห่างออกไป  ห่างออกไป  จนเลือนหายไปกับฝุ่นลูกรังที่ฟุ้งกระจาย   ข้าพเจ้ารู้ตัวว่าปวดร้าว    นึกถึงหนังสือที่ได้รับ  ใช่ แม้ว่าทางการจะมีคำสั่งย้ายไปจาก  อบต.  แห่งนี้  แต่เชื่อเถอะคำสั่งนั้นไม่สามารถย้ายใจของข้าพเจ้าไปจากที่แห่งนี้ได้หรอก  ก้อนอะไรบางอย่างมากระจุกที่ลำคอต้องกลืนน้ำลายขับไล่อย่างยากเย็น  แล้วกระพริบตาสกัดกั้นน้ำตาอันหวงแหนของลูกผู้ชายไม่ให้มันไหลออกมา แต่...จนแล้วจนรอด..มันยังดื้อดึงออกมาจนได้..


@@@@@@@@@@@				
2 พฤศจิกายน 2549 12:06 น.

เรื่องเล่า...ในวงเหล้า

ป.ยุทธ

เรื่องเล่าในวงเหล้า
  
	สายลมหนาวพัดหอบเอาความหนาวเหน็บมาเยือนในตอนเย็นหลังเลิกงานวันนี้ ข้าพเจ้ายกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูก่อนเดินออกมายืนเด่นที่หน้าสำนักงาน  แล้วหันไปทางภารโรงที่กำลังเก็บจอบในสนามหญ้า 
	  ข้าพเจ้าเรียกภารโรงเข้ามาหาแล้วยื่นแบงก์ห้าร้อยให้ พลางสั่งซื้อเหล้าพร้อมกับแกล้ม

	ลุงมา...ทองพูนดื่มเหล้าด้วยกันนะวันนี้  ข้าพเจ้าหันไปทางพนักงานประจำรถขนขยะ

	ครับปลัด  โอ้วันนี้มีลาภปากอีกแล้ว ลุงมาพูดพลางยิ้มท่าทางดีใจ  

	เดือนละครั้งสองครั้งที่ข้าพเจ้ามักจะหาโอกาสดื่มหลังเลิกงานอย่างนี้   

	เหล้าพร้อมกับแกล้มถูกยกมาวางที่ม้าหินอ่อนหลังสำนักงาน 

สายลมหนาวยังพัดดังหวีดหวิวทุกระยะ  ต้นข้าวที่ออกรวงเหลืองอร่ามตามผืนนาริมรั้วโอนเอนอ่อนไหวไปตามแรงลมรอการเก็บเกี่ยว ชาวนาต่างทยอยกันกลับสู่บ้านเรือนของตนเมื่อความมืดเริ่มคืบคลานกลืนแสงสว่างสู่เวลาย่ำค่ำ    

	เอ้า...ดื่มลุงดื่มเป็นไงทำงานเหนื่อยไหม ข้าพเจ้าชี้มือไปที่แก้วเหล้า  แกยกขึ้นดื่มเหมือนกระหาย  

	ไม่หรอกครับปลัด.. งานในไร่ในนาหนักกว่านี้เยอะ ลุงมาตอบหลังถอนแก้วออกจากปาก  

	ทุกคนตักกับแกล้มเข้าปากคนละทีสองทีพร้อมจิบเหล้าทำให้การดื่มวันนี้มีรสชาติยิ่งขึ้น  

	ปลัดครับ..  ผมขออนุญาตถามเรื่องส่วนตัวนิดหนึ่ง   

	ได้สิลุง ข้าพเจ้าพูดแบบกันเอง  

	ปลัดไม่มีคุณนายหรือครับผมไม่เห็นมาอยู่ด้วยเลย ลุงมาถามแบบพาซื่อ  

	ยังสิครับถามได้ คนขี้เหร่อย่างผมใครจะมาเอา ข้าพเจ้าพูดพลางหัวเราะ ก่อนพูดต่อ
ถ้ามีผมก็ต้องเอามาอยู่ด้วยสิ ผมชี้มือไปที่บ้านพักที่อยู่ถัดไป  

	แล้วลุงล่ะบ้านเกิดเมืองนอนอยู่ที่ไหนหรือว่าเป็นคนที่นี่โดยกำเนิด ข้าพเจ้าถามเรื่องส่วนตัวแกบ้าง  

	ผมย้ายมาจากจังหวัด......เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว แกเอ่ยชื่อจังหวัดหนึ่งของภาคอีสาน  

	แล้วไปไงมาไงถึงได้มาอยู่ที่นี่ล่ะลุงข้าพเจ้าถามเรื่อยเปื่อยแบบไม่ค่อยใสใจนัก  

	ที่จริงแล้วเรื่องของผมมันยาว แกหยุดถอนหายใจ  

	ยาวแค่ไหนก็ไม่เป็นไรนี่ลุงเหล้าตั้งกลมกว่าจะหมด ค่อยๆ เล่าสู่กันฟังก็ได้ข้าพเจ้าประชดประชันพร้อมทำเป็นคะยั้นคะยออยากฟัง  

	เอาเป็นว่าผมดื่มถูกคอกับปลัดผมจะเล่าให้ฟังก็แล้วกัน  

	อืม... ข้าพเจ้าพยักหน้า  

	สมัยเป็นหนุ่มก่อนที่จะแต่งงานกับยายสีเมียคนที่สองของผมแล้วย้ายมาอยู่ที่นี่ลุงมายกแก้วเหล้าก่อนพูดต่อ 
ช่วงนั้นผมมักจะไปมาหาสู่กับญาติพี่น้องที่อาศัยอยู่ฟากแม่น้ำโขงฝั่งโน้น เหตุการณ์ครั้งนั้นผมยังจำได้ดีไม่มีวันลืม ลุงมาทำสีหน้าเคร่งขรึม  

	เป็นไงลุง  ข้าพเจ้าถาม

	วันนั้นผมข้ามฝั่งไปเยี่ยมญาติเช่นครั้งก่อนๆ ช่วงนั้นเหตุการณ์บ้านเมืองของเขายังสงบร่มเย็น สัตว์ป่าชุกชุมของป่ามากมายหลายอย่าง แกเว้นระยะ 
แต่ละวันญาติมักจะพาผมไปล่าสัตว์ ได้เก้ง กวาง มาทำอาหารกินกัน หากเหลือเราก็จะทำเป็นเนื้อแห้งเก็บไว้กินในวันข้างหน้า  

	ล่าสัตว์ก็สนุกดีนี่ครับ ทำไมลุงต้องทำหน้าจริงจังขนาดนั้น ข้าพเจ้าขัดคอเล่นๆ

	ครับ...ฟังต่อ  ผมอยู่ครั้งนี้นานกว่าทุกครั้งจนลืมว่าตัวเองเป็นคนไทย และแล้ววันหนึ่งทางการมาเกณฑ์คนไปเป็นทหารผมก็โดนเกณฑ์ไปด้วย ผมไม่กล้าบอกว่าเป็นคนไทยกลัวโดนข้อหาหลบหนีเข้าเมือง แต่สมัยนั้นประเทศเขาก็ไม่มีใครมีบัตรประชาชนเลยนะ  ผมจึงเลยตามเลย จนถูกฝึกเป็นทหารอยู่ประจำกองร้อยอารักขาท่านเจ้าแขวง  

	น่าสนุกนะครับทหารประเทศนั้น ข้าพเจ้าเริ่มสนุกไปกับการเล่าเรื่องของแก  

	แรกๆ ไม่ค่อยสนุกนักหรอก แต่บังเอิญวันนั้นทหารที่เป็นหัวหน้าสั่งให้ผมนำหนังสือไปเสนอท่านเจ้าแขวงที่จวน แต่พอผมย่างก้าวเข้ารั้วเท่านั้นหมาที่แกเลี้ยงไว้สี่-ห้าตัวก็โดดรุมกัดผมแบบไม่ได้ตั้งตัว กว่าจะมีคนมาไล่ออก ผมต้องลงไปนอนคลุกฝุ่นน่วมทั้งตัว แต่แปลกที่ว่าผมไม่มีแผลเลยสักแห่งทั้งๆ ที่โดนรุดกัดขนาดนั้น ท่านเจ้าแขวงรู้เข้าเลยทึ่งในตัวผมจึงเอาผมไปเป็นทหารรับใช้ที่จวนของแก พร้อมเลื่อนยศให้ผมเป็นนายสิบ ลุงมาหยุดพูดยกแก้วจิบ  

	ทำไมหมากัดลุงไม่เข้าล่ะ มีของดีอะไรเหรอ ข้าพเจ้าสงสัย  

	อาจเป็นเพราะผมห้อยหลวงพ่อที่คอตอนนั้นก็ได้ แต่เดี๋ยวนี้ไม่รู้ว่าหายไปไหนแล้ว  
  
	เสียงลมหนาวยังพัดดังหวีดหวิวทุกระยะ แต่ความหนาวคลายลงบ้างแล้ว  อาจเป็นเพราะแอลกอฮอล์ที่พวกเราดื่มเข้าไปออกฤทธิ์แล้วก็เป็นได้   

	เล่าต่อครับลุง  กำลังสนุก ข้าพเจ้าเร่ง  
	เหตุการณ์บ้านเมืองสงบได้ไม่นาน ก็ต้องมีอันเปลี่ยนแปลง ช่วงนั้นรัฐบาลมีการเปลี่ยนรูปแบบการปกครองใหม่มีทหารจากประเทศทางตะวันออกมาเสริมกำลังขับไล่เข่นฆ่าและจับชาวบ้านไปกักขังหรือพวกเขาเรียกว่าสัมมนา บ้านเมืองเกิดระส่ำระส่าย เจ้าแขวงถูกเรียกตัวเข้าเมืองหลวงแล้วหายตัวไป ชาวบ้านหลายครอบครัวอพยพหนีเข้าไทยกันจ้าละหวั่น ลุงมาเว้นระยะ  

	   ผมกับทหารกลุ่มหนึ่งคิดจะปักหลักสู้  แต่ปืนใหญ่ยิงถล่มค่ายเราทุกระยะ พวกเรามีแต่ปืนเล็กเท่านั้นจึงไม่มีโอกาสต่อสู้กันจะจะ  และแล้ว...ใกล้รุ่งของวันนั้นเองค่ายเราถูกยิงถล่มหนัก  รถถังข้าศึกหลายคันบุกยิงทำลายค่ายเรายับเยินทุกคนหนีเอาตัวรอด  ผมกระโดดข้ามรั้วค่ายวิ่งหนีเหมือนกัน  ลุงมาหยุดยกแก้วขึ้นดื่มก่อนเล่าต่อ  

 	ผมวิ่งไปตามถนนในตัวเมืองที่มีสภาพไม่ต่างจากหมู่บ้านในเมืองเราเท่าใดนัก  หมายมุ่งหน้ากลับบ้านเกิด  ลูกปืนใหญ่ตกแต่ละครั้งดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่ว  ผมวิ่งมาถึงบ้านหลังหนึ่งที่มีสภาพเป็นตึกเจ้าของบ้านมีพ่อ  แม่  ลูกสาว  และหลานชายตัวเล็กอีกคนพากันวิ่งออกมาจากบ้านพร้อมห่อสัมภาระ  พวกเขาเห็นผมรู้ว่าเป็นทหารเลยว่าจ้างให้ช่วยพาหนีเข้าไทย  โดยจะให้ทองจำนวนหนึ่งเป็นรางวัล  ผมตอบตกลงให้พวกเขาตามมา  ตอนนั้นผมไม่ได้คิดหรอกว่าจะยุ่งยากลำบากในภายหน้า   คิดแต่เพียงว่าอยากได้ทองเป็นทุนตั้งตัวเมื่อถึงเมืองไทยเท่านั้น  ผู้เป็นพ่อขอให้ช่วยอุ้มหลานชายของแก  เพราะตามลำพังตัวแกกับเมียก็เดินลำบากอยู่แล้วส่วนลูกสาวร่างบอบบางเกินไป  ผมเอาหลานแกเกาะด้านหลังแล้วเอาผ้าขาวม้ารัดเอาไว้อีกทีหนึ่ง  ผมดูก็รู้ว่าครอบครัวนี้มีเชื้อสายจีน  อาชีพค้าขาย  ฐานะดี    เวลานั้นชาวบ้านวิ่งหนีกันขวักไขว่  รถจิ๊บติดปืนกลหลายคันแล่นตรวจการณ์ไปมาตามถนนพร้อมเสียงปืนกลดังรัวเป็นระยะ ๆ  ผมพาพวกเขาวิ่งหลบไปทางสวนหลังบ้าน  

 	ลูกสาวแกสวยไหมลุง  ข้าพเจ้าขัดขึ้นด้วยความอยากรู้ตามประสาหนุ่มๆ  แกพยักหน้าเนิบ ๆ  แล้วทำหน้าเศร้าขึ้นอีก  ยิ่งทำให้ข้าพเจ้าสงสัยและคาดเดาเหตุการณ์ต่าง ๆ  นา ๆ  

 	ผมขอเสื้อผ้าจากพ่อเธอใส่แทนชุดทหารเพื่อไม่ให้เป็นเป้าสายตา  การหนีของเราช้ามากเพราะผู้เป็นพ่อกับแม่ไม่เคยลำบาก  เมื่อเจอเหตุการณ์อย่างนี้แล้วได้แต่บ่นว่าเหนื่อยไปไม่ไหว  และในที่สุดสองผัวก็ชุบซิบกันก่อนที่บอกให้ผมพาลูกสาวกับหลานชายแกหนีล่วงหน้าไปก่อน  แต่ลูกสาวแกไม่ยอมท่าเดียว  ได้แต่ร้องไห้กอดพ่อ  กับแม่ไว้แน่น  ผมส่ายหน้าเห็นใจแต่ช่วยอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้  เพราะแม้แต่ตัวเองยังจะเอาไม่รอด  เรานั่งพักครู่ใหญ่ ๆ  มีชาวบ้านมาสมทบอีกสาม-สี่คนผมสังเกตเห็นแต่ละคนมีห่อผ้าสัมภาระ  แต่เมื่อผมมองห่อผ้าพวกเขา  เขาจะกอดไว้แน่นราวกับว่ากลัวผมจะแย่งเอา  ผมคิดว่าต้องเป็นห่อทรัพย์สินเงินทองแน่ ๆ  ลุงมายกเหล้าขึ้นจิบก่อนเล่าต่อ  

 	  พวกเราเดินทางต่อ  เสียงลูกปืนใหญ่ตกดังเป็นระยะ ๆ  และแล้วเสียงปืนกลก็ดังขึ้นเป็นชุด ๆ  ผมมองเห็นทหารข้าศึกวิ่งเข้ามา  ด้วยสัญชาตญาณผมดึงเอาแขนลูกสาวแกกระโดดหลบลงท่องร่องแล้ววิ่งหนี  เด็กที่อยู่บนหลังกอดคอผมไว้แน่น  เธอร้องเรียกหาพ่อแม่ตลอดเวลา  พอโผล่หน้าขึ้นแอบดูเห็นพ่อแม่ของเธอกลับกลุ่มชาวบ้านนอนจมกองเลือด  เธอร้องไห้  ผมเอามือปิดปากไว้พลางส่ายหน้าว่าพวกมันจะได้ยินเดี๋ยวหนีไม่รอด  พวกเขาไปดีแล้ว  หมดทุกข์แล้ว  ลุงมาพักดื่มเหล้าเหมือนกระหาย  

 	ลุงไม่มีปืนเหรอถึงไม่สู้  ข้าพเจ้าถามก่อนยื่นแก้วเปล่าที่แกยกจนหมดให้ภารโรงรินใหม่  แกทำหน้าย่นขมวดคิ้วเข้าหากัน  
 	ค่ายเราแตกทุกคนหนีเอาตัวรอดไม่มีใครกล้าถือมาด้วยหรอกครับ  เราต้องหนีแบบชาวบ้าน  จากนั้นผมพาเธอกับหลานเดินไปตามป่าเขามุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก  แต่การเดินทางของเราล่าช้าเพราะต้องคอยหลบหลีกพวกทหารขาศึกที่ตามล่า  ทีแรกผมยังงงอยู่ว่าพวกเขาล่าชาวบ้านทำไม  

 	นั่นนะสิลุง มันตามล่าทำไมแค่ชาวบ้านอพยพ  ข้าพเจ้าสอดขึ้นด้วยความอยากรู้  

 	ผมมารู้ทีหลังว่าทหารพวกนั้นมันตามปล้นทองที่ชาวบ้านถือมา  

 	อืม  ข้าพเจ้าพยักหน้า  

 ต่อครับลุง  ผมเร่งเร้าเมื่อเห็นแกเงียบไป  

 	เราต่างอ่อนหล้ากับการเดินทาง  เย็นนั้นเราพักข้างลำธารหลานเธอร้องไห้หิว  เธอแกะห่อผ้าเอาเนื้อแห้งยื่นให้ผม  บอกให้ผมก่อไฟย่างกิน  ตอนนั้นผมเริ่มจะสังเกตใบหน้าเธอชัด ๆ  หลังจากที่เธอล้างหน้าล้างตาและเปลี่ยนเสื้อตัวใหม่แทนตัวเก่าที่มอมแมม  เธอผิวขาว  นัยน์ตาชั้นเดียว    ผมถามว่าหลานเธอคนนี้เป็นลูกใคร  เธอเล่าให้ฟังว่าเป็นลูกพี่สาวที่ตายไปแล้ว  ส่วนพ่อของเด็กหนีไปเอาเมียใหม่  ค่ำคืนนั้น  ท่ามกลางแสงจากกองไฟเธอสวยมาก  สวยถูกใจผม  เสียงปืนใหญ่และปืนเล็กดังแว่วอยู่ไกล ๆ  ผมดับกองไฟกลัวเป็นที่สังเกต  แล้วบอกให้เธอนอน  คืนนั้นผมยอมรับว่าผมอดใจไม่ได้  ผมไม่ต่างจากไอ้หื่นกามดีๆนี่เอง  แรก ๆ  เธอขัดขืน  แต่ปากผมพร่ำบ่นว่ารักเธอชอบเธอและจะพาเธอไปอยู่ด้วยที่บ้านเกิด ในที่สุดเธอก็ยอมตกเป็นเมียผม  เธอบอกว่าอย่าทิ้งเธอกับหลาน ไปไหนเอาไปด้วยเพราะเธอยอมเป็นเมียผมแล้ว  ในห่อผ้ามีทองจำนวนหนึ่งพอที่จะตั้งหลักปักฐานได้เมื่อถึงเมืองไทย  ลุงมาจุดบุหรี่สูบพ่นควันขณะระบายลมหายใจก่อนที่จะเล่าต่อ  

 	ใช่  สถานการณ์เช่นนั้นเธอต้องหาที่พึ่ง  เช้ามืดวันนั้นผมพาเธอเดินทางต่อผมเอาหลานเธอที่ยังไม่ตื่นไว้บนหลังแล้วเอาผ้าขาวม้ารัดไว้ตามเดิม  ก่อนที่จะมุ่งหน้าไปตามป่าเขา  ผมบอกเธอว่าถ้าเดินทางได้ราบรื่นอย่างนี้พรุ่งนี้ตอนบ่าย ๆ  หรือเย็นๆน่าจะถึงเขตชายแดนไทย  และแล้ว...เหตุการณ์นั้นก็เกิดขึ้น  ลุงมาตีหน้าเศร้าอีกพร้อมส่ายหน้าไปมาช้า ๆ  อย่างซึมเศร้า

 	มันเกิดอะไรขึ้นครับลุง  ข้าพเจ้าเร่งถามด้วยความอยากรู้แกยกเหล้าขึ้นดื่มจนหมดแก้วก่อนยื่นให้ผู้รินราวกับว่ายังไม่พอเพียงกับความหิวโหย  

 	บ่ายวันนั้นพวกเราหยุดพักใต้ร่มไม้  ผมยอมรับว่าเหนื่อยมาก  ลำคอแห้งเป็นผง  เปลวแดดแผดแสงร้อนระอุ  พวกเรานั่งพักยาวจนเย็น  ขณะกำลังเคลิ้มหลับ ทันใดนั้นเสียงคนร้องตะโกนพร้อมเสียงฝีเท้าวิ่งใกล้เข้ามา  ผมสะดุ้งตื่นอุ้มเด็กพร้อมดึงแขนเธอออกวิ่ง เสียงปืนดังตามหลังเป็นชุดๆ  หลานเธอร้องไห้จ้า ทีแรกผมนึกว่าแกตกใจกลัว แต่พอวิ่งมาได้สักพักมีความรู้สึกว่าขาผมเปียกชุ่ม  พอเหลือบลงไปมอง  เลือดสด ๆ  ไหลอาบขาผม  พร้อมหยดเป็นรายทาง  ผมมองหาที่มาของเลือด  ขาของเด็กถูกยิงเป็นแผลเหวอะหวะเลือดไหลทะลัก  แกร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด  ผมฉีกเอาผ้าขาวม้าพันแผลเอาไว้  เธอได้แต่ร้องไห้สงสารหลาน  ผมพาเธอวิ่งต่อพักใหญ่ๆ เลือดเด็กยังไหลไม่หยุด  เวลานั้นแกแน่นิ่งไปคาดว่าสลบเพราะเสียเลือดมาก  ผมเอาหูแนบที่ตรงอก  หัวใจเต้นช้า ๆ  และเสียงหายใจรวยริน  ผมมองหน้าเธอขอความคิดเห็น  เวลานั้นไม่รู้ว่าผีห่าซาตานที่ไหนมาดลใจผม  และแล้วผมบอกเธอว่าถ้าขืนเป็นอย่างนี้เราไม่รอดแน่  ทิ้งเด็กเถอะเพราะถึงยังไงแกก็คงไม่รอด เธอตกใจร้องว่าไม่ ทิ้งไม่ได้  เธอรักหลานเธอมาก   ลุงมาหยุดเล่าก่อนยกฝ่ามือทั้งสองข้างขึ้นปิดหน้าขบกรามแน่นจนเห็นโหนกแก้มเป็นสันและเส้นเลือดที่ลำคอปูดโปน  เมื่อแกเอามือออก  ข้าพเจ้าเห็นน้ำตาแกเอ่อซึม  
 	และแล้วสันดานดิบของทาสแท้มนุษย์ที่จะเอาตัวรอดก็ฉายแววออกมา  ผมยื่นหลานให้เธอพร้อมบอกว่าไม่เอาแล้วค่าจ้าง ก่อนวิ่งหลบหนีเอาตัวรอดไปคนเดียวอย่างน่าละอายและขี้ขลาดที่สุด  เสียงของเธอร้องตามหลังอย่างน่าสงสาร  เสียงนั้นยังแว่วในโสตประสาทผมเท่าทุกวันนี้ว่า  อย่าทิ้งฉันไป  คอยด้วย  อย่าทิ้งฉันไป  ฮือๆ จากนั้นชั่วอึดใจผมได้ยินแต่เสียงปืนดังขึ้นเป็นชุด ๆ  ผมกระโดดหลบ  และวิ่งส่ายไปมาหลบวิถีกระสุน  นานนับชั่วโมงจนมืดค่ำ  ก่อนที่จะตัดสินใจขึ้นไปหลบบนต้นไม้  เวลานั้นตามเนื้อตามตัวผมถลอกไปหมด  ผมนั่งอยู่บนต้นไม้ทั้งคืน  เห็นทหารพวกนั้นลาดตระเวนผ่านมา  หัวใจผมเต้นแรง  ผมหวนคิดถึงการกระทำของตัวเอง  ยอมรับว่าเสียใจมาก  ผมภาวนาให้เธอรอดปลอดภัยที่เถอะ  ผมจะได้กลับไปรับเธอ ขอโทษเธอ  เช้ามืดวันนั้นผมตัดสินใจกลับไปหาเธออีกครั้ง  ผมเดินหาจุดที่ทิ้งเธออยู่นานจนสาย  และเมื่อมาถึงผมต้องตะลึงเข่าทรุด  เธอกับหลาน  ลุงมายกเหล้าดื่มอย่างกระหาย  ก่อนยกหลังมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่เอ่อซึม  ทุกคนนิ่งเงียบพลอยเศร้าไปกับแก  

	 เธอกับหลานนอนกอดกันร่างพรุน  เลือดที่สาดกระเซ็นตามกอหญ้าแห้งเกรอะกรัง  ห่อผ้าสัมภาระถูกรื้อค้นกระจัดกระจาย  ผมนั่งลงคุกเข่าปากพร่ำบ่นขอโทษเธอ  เวลานั้นน้ำตาไหลอาบแก้มไม่รู้ตัว  ผมนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นเนิ่นนาน   นาน โดยที่ผมไม่กลัวตายอีกแล้ว  และอยากให้ทหารพวกนั้นกลับมาฆ่าผมอีกคนเสียด้วยซ้ำ   เสียงลุงมาสั่นเครือ   

	 ผมหาฝืนมาทับร่างเธอกับหลานกองใหญ่  แล้วจุดไฟเผาร่างทั้งสอง  ผมมองดูเปลวไฟครู่หนึ่งก่อนที่จะเดินทางไปข้างหน้าอย่างโซซัดโซเซ  โดยไม่กลัวอะไรอีกแล้ว  ผมเดินใจเหม่อลอยเหมือนคนบ้าตลอดทั้งคืนโดยไม่พัก  จนรุ่งเช้าจึงเข้าเขตแดนไทยและกลับบ้านเกิด  ต่อมาผมบวชเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้เธอ  เพราะถึงยังไงเธอก็ได้ชื่อว่าเป็นเมียผม   
  
	คืนนั้นข้าพเจ้าทิ้งตัวลงนอน  เวลาผ่านไปเนิ่นนานแต่ตาไม่ยอมหลับ  มันช่างต่างจากการดื่มครั้งก่อน ๆ ที่หัวถึงหมอนก็หลับเป็นตาย  แต่ครานี้ไม่  เปลือกตาปิดลงครั้งคราใด  เห็นแต่หญิงสาวหน้าตาหมวยพร้อมเด็กชายตัวเล็ก  ร้องครวญครางโหยหวนอย่างเจ็บปวด  เมื่อโดนกระสุนปืนเจาะร่าง  ข้าพเจ้าเอามือก่ายหน้าผากคิดถึงเรื่องเล่าของลุงมาแล้ว ได้แต่สงสารเธอกับหลาน ....สงสารกระทั่งเหยื่อผู้บริสุทธิ์ของสงคราม.๐๐๐  
  
&  &  &  &  &  &  &				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟป.ยุทธ
Lovings  ป.ยุทธ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟป.ยุทธ
Lovings  ป.ยุทธ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟป.ยุทธ
Lovings  ป.ยุทธ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงป.ยุทธ