25 ธันวาคม 2549 12:06 น.

รางวัลของนักสู้

ป.ยุทธ

รางวัลของนักสู้
เขาก้าวขึ้นสู่สังเวียนอย่างประหม่า  มองไปมารอบๆ เห็นแต่ผู้คนห้อมล้อมส่งเสียงเกรียวกราว

ทั้งหมดห้ายก ไม่มีคะแนนต้องน็อกอย่างเดียวถึงจะชนะ กรรมการอธิบายกฎกติกาที่ตั้งขึ้นมาให้ทราบ

สิ้นเสียงระฆัง!  คู่ต่อสู้ปรี่เข้ามาหาเขาราวกับว่าโกรธแค้นกันมาเป็นสิบสิบปี  พร้อมกระหน่ำเท้าเตะเข้าใส่อย่างไม่ยั้ง   เขาใช่ว่าจะเป็นเป้านิ่งหลบหลีกและเตะสวนเป็นพัลวัน 

เขารู้ดีว่าคู่ต่อสู้อายุมากกว่า  และนั่นหมายถึงประสบการณ์ในการชกย่อมมีมากแน่นอน  กระดูกก็ต้องคนละเบอร์กับเขา  แต่เมื่อเจ้านายประกบคู่ให้แล้วเขาต้องสู้ -สู้เพื่อชัยชนะ และเพื่อเป็นของขวัญให้แก่เจ้านายผู้แสนดีของเขา

เขารู้ตัวดีว่าก้าวขึ้นสู่สังเวียนนักชกครั้งนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต  แต่ไม่หรอก !...ไม่มีคำว่ากลัวในหัวใจแม้แต่น้อย  เขาอาจจะประหม่าก็ตามที   ใครๆ หรือก็ต้องมีครั้งแรกในชีวิตกันทั้งนั้นแหละ 
 
เขาแลกเพลงเตะกับคู่ต่อสู้สลับกันไปมา ไม่มีใครกลัวใคร ไม่มีใครอ่อนข้อ ต่างสู้กันอย่างสุดฤทธิ์  ถึงพริกถึงขิงเรียกเสียงเชียร์จากผู้ชมดังลั่นสนั่นโรง

เขายอมรับว่าถนัดเตะเสียมากกว่าจะใช้ส่วนอื่นเป็นอาวุธ  คู่ต่อสู้หรือก็คงจะเช่นกันเพราะเห็นมีแต่เตะโต้ตอบเพียงอย่างเดียว

ใบหน้าและลำตัวเขาเริ่มชาจากฤทธิ์เท้าฝ่ายตรงข้าม  เวลานี้ไม่มีอะไรจะน่ากลัวไปกว่านี้อีกแล้ว เขาเดินลุยเข้าใส่อย่างเมามัน โดยไม่สนใจว่าจะถูกเตะสวนมามากน้อยสักแค่ไหน? จุดมุ่งหมายคือน็อกเพียงอย่างเดียว  อย่างเดียวเท่านั้นจึงจะได้ชื่อว่าชัยชนะ

เอาเลยลูก   ลุยมันเข้าไป  นั่น  ต้องอย่างนั้นดีมาก  ทุกครั้งที่เขาเตะถีบคู่ต่อสู้มักจะได้ยินเสียงเจ้านายร้องเชียร์และปรบมืออย่างสะใจ

เลือดเริ่มซึมตามใบหน้า   ส่วนคู่ต่อสู้ก็ไม่ต่างกันสักเท่าไหร่  
ต่างฝ่ายต่างอ้าปากเพื่อช่วยระบายลมหายใจจากความเหนื่อยล้าที่ก่อตัวเข้ามาเยี่ยมเยือน

เขาต้องอาศัยความหนุ่ม ความสดกว่าเข้าแลก !

บางครั้งทั้งคู่สลับจากการแลกเตะผละออกมาจดจ้องกลางเวทีสักครู่เพื่อพักเหนื่อยไปในตัว ก่อนเข้าโรมรันกันอีกครั้งจนหมดยก 

เจ้านายคงรักเขามากจึงเป็นพี่เลี้ยงเสียเอง  
ช่วงพักยกจึงให้น้ำเขาอย่างเอาอกเอาใจ ทะนุถนอม ผ้าชุบน้ำเย็นๆ เช็ดตามใบหน้า และตามตัวจนสดชื่น   ความเหนื่อยหายไปเหมือนปลิดทิ้ง
ดีมากลูก  ต้องให้มันได้อย่างนี้สิ  ยกนี้เอาอีก  อย่าลืมนะว่าครั้งนี้พ่อทุ่มสุดตัว

////////////////////////////////////

ตั้งแต่เกิดมาเขาอาศัยอยู่กับเจ้านายมาตลอด   ไม่เคยเห็นหน้าพ่อหน้าแม่เสียด้วยซ้ำ   และเขาก็ไม่สนใจที่จะสืบหา  มีแต่ความมุ่งมั่นเพื่อที่จะตอบแทนบุญคุณเจ้านายเพียงอย่างเดียว 

ในชีวิตเห็นมีแต่เจ้านายเท่านั้นที่เลี้ยงดูดังเช่นพ่อบังเกิดเกล้า  มีข้าวปลาอาหารให้กินอย่างเต็มอิ่ม มีบ้านให้อยู่อาศัยอย่างอบอุ่นสุขสบาย 

ทุกๆ เช้าเย็นเจ้านายจะพาฝึกมวย  เขายอมรับว่าสนุกไปกับการกีฬาประเภทนี้มาก  จึงตั้งใจฝึกซ้อมอย่างจริงจัง และทุ่มเทอย่างเต็มที่

 วันๆ ไม่มีอะไรมาก  ภารกิจของเขามีแต่กินกับซ้อมมวย

 จนย่างเข้าสู่วัยหนุ่ม     เขายอมรับว่าร่างกายของเขาแข็งแกร่งดังขุนเขา  มีเพื่อนๆ มาร่วมฝึกซ้อมมวยด้วยกันมากมาย  บางครั้งเจ้านายเอาเพื่อนเป็นคู่ล่อเป้า  บางทีฝึกซ้อมด้วยการประลองฝีมือการชกกับเพื่อนๆ  เขามักจะซ้อมอย่างเอาจริงเอาจัง  มีหลายครั้งทีเดียวที่ทำให้เพื่อนได้รับบาดเจ็บ  และทุกๆ ครั้งเขาจะเป็นฝ่ายชนะอยู่เสมอ  จนเป็นที่พึงพอใจของเจ้านาย
อย่างนี้สิมิเสียแรงที่เลี้ยงดูมา  อาทิตย์นี้เป็นคิวเอ็งแน่
  
จวบจนเวลาขึ้นสังเวียนมาถึง เขามั่นใจในตัวเองเต็มเปี่ยม
เอาดีๆ นะลูก  พ่อเดิมพันไปหลายหมื่นอย่าแพ้เชียวนา ไม่ต้องไปกลัวว่ามันจะเก่งกาจมาจากไหน?  ทำให้ได้ตามที่ซ้อมไว้นะลูกนะ  พ่อจะให้กำลังใจ ถ้าชนะมาจะให้รางวัลอย่างงามทีเดียว เจ้านายบอกเขาขณะรอกรรมการเวทีเตรียมความพร้อม
///////////////////////////////

ยกที่สองเริ่มขึ้น  
เขากระโดดใส่คู่ต่อสู้อย่างคึกคะนอง  แต่ก็ต้องถูกเตะสวนออกมาจนเซถลา  เสียงเฮจากกองเชียร์ฝ่ายตรงกันข้ามดังกึกก้อง
 เขาเดือดดาลมากยิ่งขึ้นเมื่อคู่ต่อสู้หลบหลีกหลอกให้เตะอากาศเล่นๆ  แม้ว่าชั้นเชิงจะเหนือกว่าเขาก็ตามเถอะ  เขาคิดอย่างหมั่นไส้จึงเดินเข้าลุยแบบถวายชีวิต   พลางเตะเข้าใส่อย่างไม่ยั้ง  เจ้านายได้ใจส่งเสียงเชียร์และปรบมือตลอดเวลา
เดินเข้าไป   เดินเข้าไปนั่นอย่างนั้น สะใจพ่อจริงๆ

	เขาคาดคะเนว่ามีกำลังมากพอตลอดยก  จึงเดินหน้าเข้าเตะอย่างไม่กลัวเกรง แม้ว่าคู่ต่อสู้จะหลบหลีกด้วยชั้นเชิงที่มีประสบการณ์  แต่สีหน้าดูหวาดหวั่นไม่น้อย 
	เอาเลย   น็อกมันเลย 

	ปลายยกคู่ต่อสู้เริ่มอ่อนแรงจึงเข้าประกบวงใน  เอาคอพาดบ่ากันละกัน  จนอะไรกันไม่ได้ จึงรอจังหวะผละถอยออกมาเพื่อเตะคู่ต่อสู้   แต่พอถอยออกมาทีไรก็ต้องถูกเตะก่อนทุกทีไป  เพลงเตะเขาเริ่มช้าลง..ช้าลง  จนหมดยก

เลือดซึมเต็มใบหน้าเขามากยิ่งขึ้น  แต่มีความรู้สึกชามากเสียกว่าความเจ็บปวด เจ้านายเอาผ้าชุบน้ำยาอะไรบางอย่างในถ้วยซับเลือดจนรู้สึกแสบ แต่ผ่อนคลายเจ็บปวดได้มาก  จากนั้นก็กดไว้แน่นเพื่อห้ามเลือด
เอาอีกหมื่นเป็นไงเพื่อน  ใครคนหนึ่งพูดกับเจ้านาย
ได้เลย  เจ้านายจับมือกับชายคนนั้น
ยกที่ผ่านมาเขายอมรับว่าโกรธแค้นคู่ต่อสู้มากที่เตะหน้าเขาจนแตกเลือดซิบ  ยกนี้ต้องเอาคืนให้ได้
ยกที่สามเริ่มขึ้น
เขาปรี่เข้าใส่พร้อมประเคนแข้งไปหลายครั้ง  ได้ผลบ้างไม่ได้บ้าง  นึกในใจว่าฝีมือของเขาจะต้องไม่เป็นรองคู่ต่อสู้อีกต่อไป  เขาต้องทำให้ได้เหมือนที่เคยซ้อมกับเพื่อนๆ

จังหวะที่เขาเตะเข้าใส่อย่างเมามันนั้น  คู่ต่อสู้เตะสวนมาอย่างแรงโดยที่ไม่ทันระวังตัว...เขารู้สึกชาวูบที่ใบหน้าและดวงตา  ความเจ็บปวดแล่นเข้ามาอย่างรุนแรง  คล้ายกับว่าเท้าของคู่ต่อสู้มีสิ่งแหลมคมมาทิ่มแทงที่ดวงตา  เขาเพียงว่าเวลานี้เลือดอาบเต็มใบหน้า 

 ไม่นานนัก...ดวงตาข้างนั้นของเขาก็มืดมิด  โอ!!...ตาของเขาบอดเสียแล้วหรือนี่? 
แต่...ไม่หรอก!  ไม่สามารถหยุดยั้งการเดินหน้าของเขาได้  มันยังไกลหัวใจนักสำหรับยอดนักสู้หัวใจเหล็กอย่างเขา  ตาอีกข้างยังมองเห็นนี่! เขาคิด
เขากลัวแต่ว่าจะมีการยุติการชกแล้วถูกจับแพ้ต่างหากล่ะ  แต่...ทุกอย่างยังดำเนินไปตามปรกติ
บ่อยครั้งที่เขาเตะใส่ฝ่ายตรงข้าม  แต่มันช่างไร้เป้าหมายเสียส่วนมาก เขามองคู่ต่อสู้ด้วยดวงตาที่เหลือเพียงข้างจึงเห็นไม่ถนัดนัก   คู่ต่อสู้รู้จุดอ่อน  เดินเวียนไปทางด้านดวงตาที่มองไม่เห็น  เขาหมุนตามไปอย่างไม่ลดละและพร้อมสู้ทุกขณะ

ขณะหมุนตาม  และแล้ว จังหวะนั้น!!...    เขาโดนเตะที่ก้านคออย่างจัง  จนเซถลาล้ม  พอได้สติเขารีบลุกขึ้น  แต่สติมึนงง จึงเดินเป๋ไม่อยู่ในอาการที่จะต่อสู้   เสี้ยววินาทีนั้นเอง!... เขาโดนเตะซ้ำอีกครั้งบัดนี้เห็นมีแต่เพียงดาวกระจายรอบข้าง
พอรู้ตัว  โอ้!!...เราแพ้เสียแล้วหรือนี่  โธ่!...เจ้านาย  เขาคิดอย่างปวดร้าว

จากนั้น  เขาไม่ได้ยินเจ้านายพูดอะไรกับเขาอีกเลย   แสดงว่าเจ้านายโกรธเขามาก   
 พอกลับถึงบ้านแล้วเจ้านายให้ชายคนนั้นพาเขาเข้าไปในห้อง   เขาคิดว่าคงเป็นหมอที่จะมารักษาเป็นแน่
สักครู่...ชายคนนั้นจับเขาให้นอนลง 
แต่แล้ว!!...สิ่งที่ไม่คาดฝันก็บังเกิด   
เขาถูกจับให้แหงนหน้าขึ้นอย่างแรงจนเจ็บ  และแล้ว...  คุณพระช่วย!!!...เขายิ่งรู้สึกเจ็บปวดที่ลำคอเป็นทวีคูณ   ความรู้สึกคล้ายกับว่าถูกของมีคมบาดลึกลงไป  
ชะใช่!..ใช่แน่แล้วมันคือของมีคมแน่ๆ  มันอะไรกันนี่?  แล้วเจ้านายไปไหนเสียล่ะ?ถึงยอมให้เขาถูกกระทำเช่นนี้
หรือว่าเจ้านายสั่งให้ฆ่าเขา?...ฆ่าจากผลพวงแห่งความพ่ายแพ้  หึ...เจ้านายใจร้าย เขาคิดพลางขบกรามแน่นอย่างเจ็บปวด
เลือดของเขาพุ่งกระฉูด  เขาพยายามดิ้นสะบัดไปมา  แต่ถูกชายคนนั้นจับตัวไว้แน่น  
การกีฬามีแพ้มีชนะ  แต่นี่ถึงขั้นฆ่าแกงกันเชียวหรือ?  ช่างโหดร้ายสิ้นดี  
หากรู้ตัวมาก่อนเขาจะต้องอ้อนวอนขอชีวิต เพื่อจะได้ขึ้นสังเวียนแก้มืออีกครั้ง
แต่นี่!..โอ..มันหมดโอกาสเสียแล้ว  ลมหายใจเฮือกสุดท้ายก่อนสติจะดับวูบ  เขาได้ยินเสียงเจ้านายพูดอย่างอารมณ์เสีย
ไก่ชนอย่างเอ็ง  แพ้มาก็ต้องถูกเชือดแกล้มเหล้าตามระเบียบล่ะวะ     แม่ง..ล่อข้าหมดไปซะหลายหมื่น 


@@@@@@@@@@@@@@				
7 ธันวาคม 2549 14:10 น.

ผู้ร่วมชะตากรรม

ป.ยุทธ

เขาบึ่งมอเตอร์ไซค์ฝ่าสายฝนที่หล่นโปรยปราย   ไปตามถนนสายลูกรังที่ทอดยาวสู่หมู่บ้านข้างหน้า  
สภาพน้ำท่วมขังตามไหล่ทางและท้องถนนในบางช่วงดูแล้วคล้ายคลองเสียมากกว่า  

สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นข้าวเขียวขจีที่มีน้ำปริ่มคันนา 

 แดดอ่อนๆ   ฉายแสงตัดกับละอองฝน  ก่อเกิดรุ้งคดโค้งประหนึ่งจิตรกรมือเอกแต้มแต่งเป็นภาพเขียนให้ผู้คนได้ดูชม    

	เขาบิดคันเร่งหวังให้ถึงที่หมายก่อนเม็ดฝนห่าใหญ่จะเทลงมา และเป็นอุปสรรคในการเดินทาง     

 	นายช่างออกสำรวจและก็ประเมินความเสียหายนะว่ามีกี่ไร่? ไปประสานกับสมาชิก  อบต.ในหมู่บ้านน่ะแหละ   เขานึกถึงคำสั่งของหัวหน้าก่อนมา  

 	ฝนตกมาหลายวันแล้ว  กรมอุตุนิยมประกาศเตือนพายุโซนร้อนพัดผ่าน  อาจก่อให้เกิดภาวะน้ำท่วมฉับพลันได้  อำเภอแจ้งให้  อบต.  รายงานพื้นที่น้ำท่วม   และประกาศเตือนชาวบ้านให้ระมัดระวัง  พร้อมเตรียมตัวอพยพออกจากที่ลุ่มเมื่อมีสัญญาณเตือนมา   

	อบต. ทองดีครับ  อบต. ทองดี  อยู่ไหมครับ?...  เขาตะโกนเรียกเมื่อมาถึงบ้านหลังหนึ่ง  

	อ้าวนายช่าง เชิญครับ เชิญบนบ้าน ผู้ถูกเรียกเชื้อเชิญ  
 เขาแจ้งความประสงค์แก่เจ้าของบ้าน  
  
 	เขาพายเรือสู่เวิ้งน้ำหลากท่วมทุ่ง  ฝนหยุดตกไปแล้ว  เวลานี้มองไปทางไหนเห็นมีแต่น้ำที่ขาวโพลนเต็มพื้นที่ไปหมด  ต้นไม้ใหญ่เหลือเพียงช่วงกลางลำต้นขึ้นไป  พื้นล่างใต้น้ำที่เขาพายเรือผ่านเขารู้ดีว่าเต็มไปด้วยต้นข้าวที่กำลังเจริญงอกงามจากน้ำพักน้ำแรงของชาวนาที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจปักดำไว้ด้วยความเหน็ดเหนื่อย  ปุ๋ยราคาแพงที่หว่านลงไปถูกน้ำซัดหายไปในพริบตา   นี่ถ้าหากน้ำท่วมขังเกินกว่าสิบวันล่ะก็ข้าวคงเฉาตายหมด  ชาวนาเดือดร้อนแน่  เขาอดสงสารชาวนาไม่ได้  เขารู้ดีว่าทำนานั้นเหนื่อยแค่ไหน   เพราะเขาก็ลูกชาวนาคนหนึ่ง  นี่ล่ะหนาปีไหนฝนมาน้อยก็แห้งแล้ง  ทำนาไม่ได้ผล  ปีไหนน้ำมามากเกินไปก็ท่วมนาข้าวเสียหายอีก  ไม่รู้ทำไมธรรมชาติจึงขาดความพอดิบพอดีอย่างนี้  เขาคิดพลางสายหน้าอยู่คนเดียว  

 	เรือถูกพายไปเรื่อย ๆ  อย่างไม่รีบเร่ง  เขามองไปรอบๆ เพื่อคะเนพื้นที่คร่าวๆ  
 นี่ถ้า อบต. ทองดีไม่ไปเยี่ยมลูกสาวป่วยที่โรงพยาบาลเขาคงมีเพื่อนมาด้วยอย่างน้อย ๆ  คงมีคนช่วยพายเรือ  และมีเพื่อนพูดคุย  เขาคิด  

 	เป็นไงครับ  ได้ปลาเยอะไหม  เขาร้องถามชาวบ้านที่พายเรือสวนทางกลับ  

 	ได้เยอะพอดูล่ะครับ  นายช่างน้ำหลากอย่างนี้ปลาชุมนัก  คนนั่งหัวเรือตอบ  

	สำรวจพื้นที่หรือครับนายช่าง  ระวังนะครับตรงโน้นน้ำไหลเชี่ยว คนนั่งท้ายเรือร้องบอก  

	ครับขอบคุณครับ  เขาตอบพลางพยักหน้าส่งรอยยิ้มอย่างเป็นมิตร  เขาจำได้ว่าชาวบ้านสองคนนี้เคยร่วมกันทำความสะอาดพัฒนาหมู่บ้านเมื่อครั้งที่เขาออกปฏิบัติงานตามโครงการ  อบต. เคลื่อนที่เมื่อหลายเดือนก่อน  

	เขานึกถึงพื้นที่ที่กำลังพายเรือผ่าน  เมื่อช่วงหน้าแล้งที่ผ่านมาเขาออกสำรวจโครงการขุดลอกลำห้วย     วันนั้น อบต. ทองดีชวนเพื่อนบ้านมาตั้งเครื่องสูบน้ำออกจากสระจนหมดแล้วช่วยกันจับปลาได้มากโขทีเดียว  ก่อนที่จะนำมาทำอาหารกินกันอย่างเอร็ดอร่อย  เหล้าขาวหมดไปหลายขวด  ทุกคนเมาได้ที่แล้วพากันร้องรำทำเพลงอย่างคึกครื้น  เขาเคาะถ้วยชามให้จังหวะปากก็ร้องประสานเสียงเป็นที่สนุก สนาน เฮฮา

เขาไม่เคยเห็นที่แห่งนี้น้ำท่วมสูงอย่างนี้มาก่อนตลอดระยะเวลาเกือบห้าปีที่เขามาปฏิบัติราชการที่นี่  หรือว่ามันเป็นปีแห่งความอดอยากปากแห้งของชาวบ้านกระนั้นหรือ  เขาคิดพร้อมหยุดพายพลางหันมองไปรอบ ๆ  พื้นน้ำที่เวิ้งว้าง  ปล่อยให้เรือแล่นเฉื่อย ๆ  ไปข้างหน้าอย่างช้าๆ  เขาสะบัดแขนให้คลายเมื่อยก่อนควักบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบอัดควันเข้าปอดอึดใหญ่  ก่อนจ้ำพายต่อไป  คาดว่าถึงเนินข้างหน้านั้นคงเป็นจุดศูนย์กลางที่จะประมาณการพื้นที่น้ำท่วมได้ทั้งหมดแล้วจะได้กลับเสียที  

	พลัน...ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มอีกครั้ง  ไม่นานนักเม็ดฝนเริ่มร่วงปลิวพลิ้วไหวลงกระทบพื้นน้ำ  

 	เขาเร่งพายจนถึงจุดที่ตั้งใจ  ข้างหน้าเป็นเนินสูงน้ำยังท่วมไม่ถึง   ดูแล้วไม่ต่างไปจากเกาะเล็ก ๆ เขาเพ่งมองเพิงพักที่ยกพื้นสูงอยู่ใต้ต้นมะม่วงชั่วครู่ก่อนหันไปดูรอบๆ ทั้งสี่ทิศ แล้วจิ้มเครื่องคิดเลขก่อนจดบันทึกลงบนสมุดพก  

 	ฝนลงเม็ดมากขึ้น  แรงขึ้นทุกขณะ  จนกลายเป็นเทกระหน่ำลงมาอย่างหนัก  เขาขยับหมวกด้านหน้าลงต่ำก่อนที่จะจ้ำพายสุดแรงจนถึงตลิ่งแล้วผูกเรือไว้กับต้นไม้วิ่งไปหลบฝนที่เพิงพักนั้น  

หมาพันธุ์ทางตัวผอมโซ  ที่นอนอยู่ใต้ถุนยกหัวขึ้นส่งเสียงเห่าแหบแห้งก่อนที่จะทิ้งหัวลงนอนตามเดิมอย่างไม่สนใจ  เขาก้าวขึ้นไปนั่งบนกระดานที่ยกสูง พลางแหงนมองสังกะสีมุงหลังคาที่เก่าคร่ำคร่าเต็มไปด้วยสนิมจนสีเปลี่ยนไป  ก่อนหันมองรอบข้าง  ฟืนกองอยู่ใกล้เตาไฟในขณะที่เตายังมีประกายแสงจากถ่าน  แสดงว่าเจ้าของออกไปก่อนหน้านี้ไม่นานนักเขาคิด  

 	เขาก่อไฟในเตาเพิ่มเพื่อผิงคลายหนาว  และเป็นการผึ่งเสื้อผ้าที่เปียกชื้นให้แห้งไปในตัว  เสียงเม็ดฝนตกกระทบสังกะสีดังกราวใหญ่  ลมพัดกิ่งมะม่วงโอนเอนไปมา  บัดนี้พื้นน้ำถูกเม็ดฝนตกกระทบ  ดูราวกับว่าน้ำกำลังประทุเดือดจากการต้มไฟ  

	กว่าฝนจะหยุด   หลับเอาแรงก่อนดีกว่า  เขาพึมพำพร้อมปัดฝุ่นพื้นกระดาน   แล้วทิ้งตัวลงนอน  

  	เขารู้สึกว่าอึดอัดหายใจไม่ออก และแล้วก็ปรากฏชายร่างใหญ่ไม่สวมเสื้อเอาเท้าข้างหนึ่งเหยียบอกเขา-เขาร้องอย่างตกใจ   แต่ร้องเท่าไหร่ก็ร้องไม่ออกเสียง  ความพยายามสุดท้ายเขาต้องดิ้นให้หลุดจากเท้าอันใหญ่ของชายคนนี้แล้วฮึดสู้แบบสุดฤทธิ์  ในชีวิตเขาไม่เคยกลัวใครเช่นนี้มาก่อน  ใบหน้าที่แดงก่ำ  หนวดที่ยาวโค้ง  ดูช่างมีอำนาจแฝงลึกลับ  น่ากลัวอะไรเช่นนี้  และแล้วเขารวบรวมพลังเฮือกสุดท้ายเท่าที่มีดิ้นสะบัด  พร้อมถีบออกไปเต็มแรง  

 	เอ๋ง ๆ ๆ  
เสียงร้องของหมาผอมโซตัวนั้น  ไม่รู้ว่ามานอนข้าง ๆ  ตั้งแต่เมื่อไหร่  เสียงของมันร้องออกมาอย่างเจ็บปวดระคนตกใจเมื่อโดนถีบ  ชั่วครู่จึงค่อยๆ เงียบเสียงแล้วหมอบตัวลงนอนด้วยท่าทางเกรงกลัว  มันคงกระโดดขึ้นมานอนผิงไฟในเตาคลายหนาว  แล้วชายร่างใหญ่นั่นล่ะ  โอฝันไปนะเอง  เขาคิด  

	ฝนยังคงเทลงมาอย่างหนักและต่อเนื่องไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเอาเสียเลย  
 เขาจุ๊ปากเรียกหมาตัวนั้น  มันกระดิกหางในท่านอนด้วยท่าทางเป็นมิตรผิดกับเมื่อตอนเข้ามาใหม่ๆ  เจ้านายเอ็งคงหนีน้ำไปแล้ว  แต่ทำไมไม่เอาเอ็งไปด้วยล่ะ  หรือว่าเขาจะกลับมารับเอ็งทีหลังแต่น้ำดันท่วมสูงเสียก่อนจึงเข้ามาไม่ได้  เขาคิดพลางส่ายหน้า  เมื่อรู้ว่าตัวเขาเองก็ไม่ต่างอะไรไปจากมันเสียเท่าไหร่  

 	เขาควักเอาบุหรี่มาจุดสูบ  ดูในซองเป็นมวนสุดท้ายแล้วจึงขย้ำซองโยนลงใต้ถุน  พลางคิดหากฝนไม่หยุดตกแล้วเขาจะทำยังไงดี  ถ้าจะพายเรือฝ่าสายฝนออกไปคงไม่รอดน้ำท่วมเรือล่มแน่  เขาดูดบุหรี่เป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะดีดออกไปข้างนอกชายคา  แสงไฟแดงวาบก่อนที่จะดับหายไปในความมืดที่มาเยือนอย่างไม่รู้ตัว  ฟืนถูกโยนเข้าไปในกองไฟเรื่อย ๆ  แสงจากเตาสว่างขึ้น  ไอ้ผอมโซนอนกระดิกหางเหมือนขอบคุณ  

 	คืนนี้คงนอนที่นี่ก่อน  เขาคิดพลางเอามือลูบท้องด้วยความหิวจนต้องมองรอบๆ ข้างเผื่อมีอะไรเหลือให้รองท้อง  

 	ฮ้ามีแต่เกลือ  เขาถอนหายใจเมื่อเปิดดูกระสอบปุ๋ยใบเก่าที่วางอยู่    จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง  หากฝนหยุดตกช่วงกลางคืนเขาก็กลับไม่ได้อยู่ดี  มืดออกอย่างนี้ขืนออกไปคงหลงทิศทางเป็นแน่  เวลานี้ลูกเมียคงนั่งชะเง้อคอยเขาแล้วซินะ  ฝนนะฝน  ไม่น่าเลย  

 	เขาตื่นมาเมื่อรู้ว่าเช้าแล้ว  ฝนหยุดตกตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้  แต่ท้องฟ้ายังมืดครึ้ม  เมื่อเขาทอดสายตาไปเบื้องล่าง    และแล้ว...เขาต้องสะดุ้งตกใจ  เมื่อน้ำท่วมสูงขึ้นมาใกล้จะถึงพื้นกระดาน  ที่เขาอยู่

	เรือเรือละ  เขาหันไปทางเรืออย่างตะลึงงัน  บัดนี้เห็นมีแต่กระแสน้ำที่เชี่ยวกราด  

	โธ่เว้ยแล้วจะกลับยังไงวะนี่  เขาสบถพร้อมส่ายหน้าอย่างสิ้นหวัง  

	  เขาภาวนาให้คนหาปลาผ่านมาทางนี้  จะได้ขออาศัยกลับด้วย  แต่ใครเล่าจะกล้ามาในเมื่อกระแสน้ำไหลเชี่ยวเช่นนี่  หากฝนยังตกลงมาอีกเขาคงกลับไม่ได้แน่  ยิ่งพรุ่งนี้น้ำคงท่วมสูงกว่าเดิม  เขาคงจะต้องไปอยู่บนหลังคา  หรือไม่ก็บนต้นมะม่วงเป็นแน่เขาคิด  
ไอ้ผอมโซเดินไป-มาพลางร้องหงิง ๆ  คล้ายกับว่ากำลังวิตกในสถานการณ์ครั้งนี้  

 	เอ็งหิวเหมือนข้าไหมวะ  เขาถามเพื่อนร่วมชะตากรรมทั้ง ๆ  ที่รู้ว่ามันตอบไม่ได้อยู่แล้ว    ยังดีที่พอมีน้ำในโอ่งดินให้ดื่มประทังหิว  แต่ช่วยได้ไม่มากนัก 
 เวลานี้เมียเขา  เพื่อนร่วมงาน  หัวหน้า จะคิดหาทางช่วยเขาไหมหนอ  แต่ถ้าหากไม่มีใครมาช่วยล่ะ  เขาคงเขาคิดอย่างกังวล   ก่อนทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง

	เขาตื่นขึ้นมาเป็นวันที่สอง  วันนี้ดูท้องฟ้ายังมืดครึ้ม  เขาดึงเอาไม้ที่ปักหมายระดับน้ำไว้ขึ้นมาดู  น้ำคงที่แล้ว 
 เขาตักน้ำจากโอ่งขึ้นดื่มลงลำคอที่แห้งผาก  ก่อนชะโงกมองน้ำที่เหลือในโอ่งไม่มากนัก  เขาหยิบเอายาเส้นที่เจ้าของทิ้งไว้มาม้วนใส่กระดาษจุดสูบ  และแล้วก็ต้องสำลักเมื่อดูดควันเข้าปาก  สูบอีกสองสามทีจนชินกับรสชาติฉุนนั้น  
หากน้ำลดลงกว่านี้เขาจะดำน้ำเอาเรือขึ้นมาพายกลับบ้าน  คาดว่าพรุ่งนี้เช้าน้ำคงลดลงมาก  เขาครุ่นคิดก่อนที่จะเอนตัวลงนอนโดยไม่รู้ว่าจะทำอะไรดีไปกว่านี้  

	วันที่สาม...
ไร้วี่แววคนมาช่วย  หรือว่าพวกนั้นจะปล่อยให้เขาเผชิญชะตากรรมเช่นนี้กระนั้นหรือ  เขาคิดแล้วเพ่งมองระดับน้ำที่ลดลงตามที่คาดไว้  เขาจึงตัดสินใจที่จะดำน้ำเอาเรือขึ้นมา  แต่พอลุกขึ้นยืนถอดเสื้อผ้าเท่านั้น  เขาต้องเซถลาอย่างไร้เรี่ยวแรง  เขานึกถึงข้าวเหนียวกับเนื้อย่างสักชิ้น  มันคงทำให้เขามีกำลังขึ้นมาดุจเดิม  

 	ยิ่งคิดถึงข้าวเหนียวกับเนื้อย่างยิ่งทำให้น้ำลายสอ  เขามองไอ้ผอมโซเวลานี้มันนอนหายใจผะแผ่วอย่างอ่อนแรงเช่นกัน   เขารู้ตัวว่าหากไม่มีอะไรถึงท้องในวันนี้เขาคงไม่รอดแน่แล้ว  

ฉับพลัน...สายตาของเขาก็ต้องหันกลับไปเพ่งมองไอ้ผอมโซอีกครั้ง  เวลานี้เขาหน้ามืด   ตาลายเสียแล้ว   
X               X               X
 	เสียงเรือยนต์ดังกระหึ่มไปทั่วท้องน้ำ  เขาเพ่งมองเห็นชายสาม-สี่คนนั่งอยู่บนเรือท้องแบนที่กำลังมุ่งหน้ามาทางเขา  

	นายช่าง  พวกเรามาช่วยแล้ว  คนบนเรือร้องตะโกนแข่งกับเสียงเครื่องยนต์เรียกมาแต่ไกล  เมื่อมาถึงจึงเทียบเรือกับเพิงพัก  คนบนเรือยื่นมือมาดึงเขาขึ้นเรือ 

	ขอบคุณครับหัวหน้า  เขากล่าวอย่างแหบแห้ง 

 	โทษทีนะ  กว่าหัวหน้าจะขอเรือท้องแบนจากจังหวัดมาช่วยก็หลายวัน  เรือเล็กไม่มีใครกล้าออก  น้ำเชี่ยวมาก  ผู้ที่เรียกตัวเองว่าหัวหน้าเว้นระยะก่อนพูดต่อ 

 ชาวบ้านที่หาปลาบอกว่านายช่างมาทางนี้..ดีที่มีเพิงพักบนเนินสูง  เขาพยักหน้าตอบรับเนิบๆ  ขณะทีเรือแล่นออกไป  

 	คงหิวละสิท่าอยู่ตั้งหลายวัน  เอ้านี่ข้าวกล่องกับน้ำ  ผู้พูดยื่นให้  เขารับเอามาถือไว้   ก่อนที่จะก้มหน้านิ่ง  
  
	ใช่..เขาหิว...หิวจนตาลาย หิวจน....

เขาอดสะเทือนใจกับการกระทำนั้นไม่ได้  มันเป็นการกระทำที่เขาไม่มีวันลืมในความอัปยศอดสูของเขาไปชั่วชีวิต 

 ภาพที่เขาเงื้อท่อนฟืนกระหน่ำตีลงบนหัวไอ้ผอมโซขณะที่กำลังหลับด้วยความอ่อนล้าหิวโหย   จังหวะนั้น..มันผวาร้องสุดเสียงด้วยความเจ็บปวด  ดวงตาถลนตะลึงงันไปกับการกระทำของเพื่อนร่วมชะตากรรม  มันไม่มีโอกาสร้องอ้อนวอนหรือหมอบคลานขอชีวิต    
เวลานั้นเขาหวนหาแต่เนื้อย่างเพียงอย่างเดียวเท่านั้น 
 เขากระหน่ำตีซ้ำจนมันแน่นิ่ง  ก่อนที่จะใช้คัดเตอร์เฉือนเนื้อย่างไฟกิน  ช่างไม่ต่างจาก
เปรตแห่งขุมนรกผู้อย่างหิวกระหาย

เขาหลับตาขบกรามแน่น  ช่างเป็นการกระทำที่โหดเหี้ยมไร้คุณธรรมสิ้นดี       เขาคิดอย่างปวดร้าวขณะที่เรือพุ่งทวนกระแสน้ำเข้าสู่ฝั่ง   ๐๐๐  
  
@@@@@@@@@@@@				
24 พฤศจิกายน 2549 09:02 น.

ถังน้ำ ไอ้ด่าง และอิสรภาพ

ป.ยุทธ

แดดยามสายส่องประกายร้อนไปทั่วบริเวณหมู่บ้านแห่งหนึ่งของภาคอีสาน
 
			ด่าง ด่าง ด่าง... จุ๊ จุ๊      
      
			ไอ้ด่างได้ยินเสียงเรียก มันกระดิกหางอย่างดีใจวิ่งเข้าหาเจ้านายใหญ่อย่างนอบน้อม พลางเลียแข้งเลียขาเอาอกเอาใจ        
      
			เจ้านายใหญ่รีบจับตัวแล้วกอดรัดมันไว้แน่น      
      
			มา..มาเอาเร็วๆ  จับไว้แล้ว        
      
			ชายแปลกหน้าเดินเข้าใกล้แล้วเอาเชือกรัดที่คอกระชากอย่างแรง  มันสะดุ้งตกใจ  ดิ้นสะบัด แต่ยิ่งดิ้นยิ่งรัดแน่นหายใจแทบไม่ออก  เจ้านายใหญ่ของมันเข้ามาจับตัวมันอีกครั้งมันจึงหยุดดิ้น  และแล้วคนแปลกหน้าอีกคน  อ้อมมาด้านหลังค่อยๆ จับตัวมันแทนเจ้านายใหญ่  จากนั้นมันถูกโยนเข้าไปในกรงที่อยู่บนรถกระบะอย่างแรงจนดังโครม         
      
			มันยอมรับว่าในชีวิตไม่เคยเจ็บปวดครั้งไหนมากเช่นครั้งนี้มาก่อน  มันเจ็บปวดเสียจนร้องเสียงหลง      
      
			เอ๋ง  เอ๋ง  เอ๋ง      
      
			มันถูกดึงมาประชิดลูกกรง  ก่อนที่จะถูกแก้เชือกออกจากคอ  น้ำตาของมันเอ่อซึมออกมาอย่างไร้การปลอบประโลมหรือได้รับการลูบหัวใดๆ ทั้งสิ้น      
      
			มันมองรอบๆ กรงเหล็กสี่เหลี่ยมอย่างหวาดกลัว และยอมรับว่าไม่เคยกลัวครั้งใดมาก เช่นครั้งนี้มาก่อนในชีวิต      

			มันมองเจ้านายใหญ่ที่ยืนพูดคุยกับคนแปลกหน้าอย่างกระหยิ่ม
      
			นี่ครับถังน้ำ คนแปลกหน้าพูด พลางยื่นให้      
      
			ขอสองใบไม่ได้เหรอ? ตัวมันอ้วนนะไม่เหมือนหมาตัวอื่น      
      
			ไม่ได้หรอกครับเดี๋ยวขาดทุน       
      
			เอา...ใบเดียวก็ใบเดียว เอาไปให้พ้นเสียที  หมาอะไรก็ไม่รู้  วันๆ กัดเป็ด กัดไก่ชาวบ้าน บางวันกัดคน เสียเงินเสียทอง  เลี้ยงไม่เชื่องจริงๆ      
      
			คิดถูกแล้วล่ะครับที่ให้พวกผมเอาไปจัดการให้    พูดจบคนแปลกหน้าก้าวขึ้นรถขับออกไป      
      
			ไอ้ด่างได้แต่สงสัยว่าคนพวกนี้จะเอาตัวมันไปไหน ทำไมเจ้านายใหญ่ยอม  นี่ถ้าคนแปลกหน้าพวกนี้ไม่เอาเชือกรัดคอและเจ้านายใหญ่ไม่อยู่ใกล้ๆ ล่ะก็  จะแว้งกัดสู้แบบจนตรอกทีเดียว      
	      
			มันมองบ้านที่เคยอาศัยอยู่กิน  ซึ่งบัดนี้ห่างออกไป ห่างออกไปจนถูกบดบังจากบ้านหลังอื่น      

			อิสรภาพที่เคยมี บัดนี้จบสิ้นเสียแล้วหรือ
      
			โหล...โหล...หนึ่งสองสาม  สวัสดีครับ  วันนี้หน่วยบริการถังน้ำแลกหมามาแล้วครับ... ถังน้ำแลกหมา- หมาตัวไหนดื้อ เกเร เลี้ยงไม่เชื่อง กัดเป็ด-กัดไก่-กัดผู้-กัดคน  เอามาแลกถังน้ำได้  หมาหนึ่งตัวแลกถังน้ำหนึ่งใบ  เสียงประกาศดังออกจากวัตถุบนหัวรถ  ดังเสียงแหลมจนแสบแก้วหู  เวลานี้ไอ้ด่างแสดงอาการหวาดผวา ตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด มันมึนงงตาลาย และวิงเวียนไปกับรถที่พาเคลื่อนไปข้างหน้า แล้วก็หยุดเป็นช่วงๆ       
      
			ไม่นานนักมันเริ่มมีเพื่อนร่วมกรง  การเข้ามาของเพื่อนๆ จะถูกโยนเข้ามาตัวแล้วตัวเล่าไม่ต่างจากมันเลย   
      
			เพื่อนใหม่แต่ละตัวไม่มีตัวใดกล้าแสดงอำนาจ หรือทะเลาะเบาะแว้งกันเลยสักนิด ทุกตัวอยู่อย่างสงบสันติ เจียมเนื้อเจียมตัว และหดหู่  ช่างต่างจากอยู่ข้างนอกกรง ที่แต่ละตัวเจอกันเป็นไม่ได้ต้องแสดงอำนาจบาตรใหญ่ โดยการยิงฟันคำรามใส่กันและกัน  กระทั่งกระโดดกัดฟัดเหวี่ยงจนกว่าจะมีผู้แพ้และล่าถอย      
      
			ไอ้ด่างมองเพื่อนแต่ละตัวไม่ต่างไปจากมันนัก       
      
			มันและเพื่อนๆไม่รู้ตัวว่า เจ้านายยอมให้คนแปลกหน้าพวกนี้ จับตัวโยนเข้ากรง มีจุดเพื่ออะไร  ไปไหน  และไปทำไม        
      
			พลัน...มันดีใจกระดิกหางเมื่อรถวิ่งช้าๆ กลับมาทางเดิมแล้วผ่านบ้านเจ้านายของมันอีกครั้ง      
	      
			เอาไอ้ด่างของผมคืนมา  เอาคืนมา  ฮือๆ เจ้านายน้อยของมันร้องตะโกนทั้งน้ำตาพลางกวักมืออยู่ไวไว โดยมีเจ้านายใหญ่รั้งตัวไว้       
      
			อย่า...ลูก  ให้เขาเอามันไปเถอะ มันเกเร มันเป็นหมาไม่ดี เราหามาเลี้ยงใหม่นะ มีเยอะแยะ เดี๋ยวพ่อจะพาไปขอเอา      
      
			ไม่เอา...จะเอาไอ้ด่าง  ทำไมเขาต้องเอาไอ้ด่างของเราไปด้วย  ฮือ ฮือ...      
      
			มันเห็นเจ้านายน้อยดิ้นจนหลุดจากมือเจ้านายใหญ่  แล้ววิ่งตามรถมา  โดยมีเจ้านายใหญ่วิ่งไล่ตามหลังมาติดๆ      
       
			ไอ้ด่างดีใจ...แสดงว่าเจ้านายทั้งสองของมันพยายามที่จะวิ่งมาช่วยมันเป็นแน่  แต่...มันก็ต้องสิ้นหวัง  เมื่อรถห่างไกลออกมาจนเลือนหายไปกับโค้งถนนที่มีกอไผ่บดบัง      
      
			รถเคลื่อนตัวไปตามเส้นทางถนนดำบ้าง  แดงบ้าง และบางครั้งก็กระแทก  กระโดดหลุม  จนไอ้ด่างกับเพื่อนๆ ต่างกระเด็นกระดอนปวดระบมไปทั้งตัว       
      
			รถผ่านหมู่บ้านเมื่อไหร่ มันจะเห็นคนแปลกหน้าที่ขับรถพามันมา  โยนเพื่อนใหม่เข้ามาในกรงสภาพที่ไม่แตกต่างจากมันนัก  เพื่อนใหม่แต่ละตัวจะร้องเหมือนมันทุกครั้งไป  โดยเฉพาะคราวนี้ ถูกโยนเข้ามาหลายตัว บางตัวกระแทกกับเพื่อนที่อยู่ในกรงร้องประสานเสียงด้วยความเจ็บปวดอยู่นาน         
	      
			เอาไปหน่อย...หลายตัวจริงๆ เปลืองข้าวตั้งนาน...ทำไมช่วงนี้ไม่เห็นมานานแล้ว?      
	      
			ไปเดินสายทางอื่นนะครับ  ทำไมคราวนี้มีหลายตัวล่ะครับ?...ดีจังเลย       
      
			ลูกมันดก...ไม่มีใครมาขอไปเลี้ยงเลย...แย่จริง  ยังดีที่มีหน่วยบริการแลกถังน้ำจะได้แลกไว้ใช้  ประหยัดเงินซื้อ      
      
			ครับผม...ขอตัวก่อนนะครับโอกาสหน้าจะมาใหม่ อย่าลืมเลี้ยงไว้เยอะๆ พูดจบก็ก้าวขึ้นรถขับไป       
      
			เวลานี้กรงที่ขังมันกับเพื่อนๆ เริ่มแออัดยัดเยียด  หากรถหยุดนิ่งเมื่อไหร่  มันจะรู้สึกว่าอึดอัดหายใจไม่ออก จะค่อยยังชั่วก็ต่อเมื่อรถเคลื่อนไปเท่านั้น      
      
			และแล้วรถก็หยุดนิ่ง-นิ่งอยู่กลางแดดจ้า ไอ้ด่างแหงนมองที่มาของลำแสงและความร้อน มันเพ่งมองได้แว๊บเดียว ก็ต้องเบือนหน้าหนี เพราะสิ่งนั้นทำให้สายตาของมันพร่ามัว  บัดนี้ความร้อนที่ได้รับ ทวีความรุนแรงจนมันกับเพื่อนๆ ลิ้นห้อยกระเส่าไปตามๆ กัน       
      
			ว้า...ต้นไม้ริมทางไม่มีซักต้นเลยลูกพี่ กะว่าจะจอดให้หมาพวกนี้เข้าร่มซะหน่อยเดี๋ยวตายซะก่อน        
	      
			เออนี่...ข้าว่าเอ็งเอาไอ้ตัวผอมโซตัวนั้น มาทำเป็นกับข้าวเที่ยงหน่อยวะ  ข้าซักน้ำลายไหล  ไม่ได้กินเนื้อพวกนี้มาหลายวันแล้ว       
      
			ดีเหมือนกันลูกพี่ ผมว่าไอ้ตัวนั้นมันไปไม่ถึงบ้านหรอกตายกลางทางแหงๆ        
      
			เดี๋ยวข้าไปก่อไฟรอที่กระท่อมนาโน่นนะ      
      
	ไอ้ด่างมองคนแปลกหน้าค่อยๆ หย่อนเชือกที่เป็นบ่วงลงไปที่คอไอ้ผอมโซตัวนั้น-ตัวที่มันนึกสมเพชกับความผอมแห้งขี้โรค ขณะที่สวมลงที่คอ  ไอ้ผอมโซกำลังนั่งแลบลิ้นหอบแหกๆ  คล้ายจะไม่รอด      
	      
			พลัน!!!...มันและเพื่อนๆ ทุกตัวก็ต้องสะดุ้งโหยง ตะลึงงันไปกับภาพที่เห็น      
      
			นรก...เป็นพยาน      
      
			ไอ้ผอมโซถูกเชือกโยงที่คอขึ้นกับลูกกรงด้านบน ขาทั้งสี่ดิ้นสะบัดไปมา ดวงตาถลน  ของเหลวราดออกจากทวารหนัก  กระเด็นเรี่ยราดลงมาถูกเพื่อนด้านล่าง    แม้แต่ไอ้ด่างก็ยังโดนเปรอะที่หัว มันจำต้องสลัดหัวไป-มาอย่างแรงสี่-ห้าที เพื่อทำความสะอาด      
	      
			คนแปลกหน้าเอาร่างที่แน่นิ่งของไอ้ผอมโซออกทางประตูกรง   มันมองตามอย่างไม่วางตา      
	      
			ร่างไอ้ผอมโซถูกโยงไว้กับต้นไม้ แล้วถูกมีดเฉือนเอาเนื้อหนังออกมาให้อีกคนหั่นลงกระทะที่ตั้งไฟจนเดือด  กลิ่นหอมโชยมากระทบจมูก ไอ้ด่างรู้ตัวแล้วว่ากำลังหิว-หิวจนตาลาย มันเลียปากแลบๆ เพื่อนๆ ร่วมกรงก็ไม่ต่างกัน   มันยอมรับว่าหิวที่สุดของที่สุดที่เคยหิวมา มันนึกถึงจานข้าวที่เจ้านายเคยให้  มันกินและเลียอย่างเอร็ดอร่อย       
      
			ไอ้ด่างได้แต่คิดว่าสักวันจะต้องได้กลับไปกินเช่นนั้นอีก        
      
			มันมองคนแปลกหน้าโยนเศษกระดูก เศษข้าวที่เหลือกินทิ้ง  เวลานี้มันอยากดลใจให้โยนมาทางมันเหลือเกิน  แต่...ไร้วี่แวว      
      
			เฮ้ย...เอ็งไปเอาผ้าคลุมกรงไว้หน่อย เดี๋ยวพวกมันตายเสียก่อน  เจ๊งนะเว้ย อย่าลืมนะว่าเป็นเงินเป็นทองทั้งนั้น ชำแหละมาโลละสาม-สี่ร้อยเชียว       
      
			โอ้...จริงนะครับลูกพี่  ผมลืมไปว่ามีผ้า      
      
			ความร้อนคลายไปบ้างแล้ว  แต่...ความหิวยังคงดังเดิม  ลำคอแห้งเป็นผง ไอ้ด่างได้แต่นอนคดคู้จนผล็อยหลับ      
      
			มันรู้สึกตัวว่ารถเคลื่อนไปข้างหน้า ไม่นานก็มีเพื่อนใหม่ขึ้นมาสมทบทั้งๆ ที่แน่นอัดอยู่แล้ว ยิ่งแออัดเข้าไปอีก หายใจแทบไม่ออก  มันเห็นเพื่อนบางตัวถูกทับจนหายใจรวยรินจะตายมิตายแหล่      
      
			ความมืดเริ่มโรยตัวเข้ามา  แต่รถยังเคลื่อนไปไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ความหนาวเหน็บเข้ามาเยือนแทนความร้อนเมื่อตอนกลางวัน      
      
			นานเท่าไหร่ไม่รู้ ไอ้ด่างรู้เพียงว่ารถจอด ณ สถานที่แห่งหนึ่ง       
	      
			หลวงพ่อครับผมขออาศัยนอนที่ศาลาซักคืนเถอะครับ      
	      
			เห็นจะไม่ได้หรอกโยม อาตมาสงสารหมาพวกนี้ อย่าหาว่าใจจืดใจดำเลยนะ ถ้าโยมมาเร่ขายอย่างอื่นไม่ว่าหรอก  โยมไปพักตามกระท่อมนาก็แล้วกัน      
      
			ฮ้า...ไม่กลัวนรกกินกบาลเลยพวกนี้ ประโยคหลังเป็นเสียงบ่นพึมพำเมื่อรถเคลื่อนออกไป      
      
			ไม่นานนักรถก็จอดอีกครั้งในความมืด      
      
      
			แดดอุ่นๆ ฉายแสงมากระทบผิวหนัง ไอ้ด่างชะโงกหน้ามองไปรอบบริเวณ สองข้างทางมีเพียงทุ่งนาโล่งเตียน       
	      
			มันเพ่งมองประตูกรงที่คนแปลกหน้าเปิดก่อนโยนเพื่อนใหม่เข้ามาแล้วปิดไว้แน่นหนาตามเดิม  หากมันจะออกไปพบกับอิสรภาพก็คงมีทางเดียว        
      
			ใช่แล้ว  อิสรภาพอันยิ่งใหญ่ที่มันหวนหา ณ เวลานี้      
      
			มันตัดสินใจเดินแทรกตัวกับเพื่อนๆ แต่ละตัวที่ยืนบ้างนอนบ้าง มานั่งยองๆ ใกล้ประตู มองโซ่คล้องเส้นใหญ่ ประหนึ่งนักโทษประหารคอยการแหกที่คุมขังไปสู่อิสรภาพ       
	      
			ถังน้ำแลกหมา  มาแล้วครับ  หนึ่งตัวต่อถังน้ำหนึ่งใบ เร็วครับใกล้จะหมดแล้ว      
      
			รถจอดแล้ว  ไอ้ด่างจดจ้องรอเวลา- เวลาที่คนแปลกหน้าเปิดออก เพื่อโยนเพื่อนใหม่เข้ามา มันจะต้องฉวยโอกาสนั้น  มันคอย  คอยทุกลมหายใจเข้าออก      
	      
	      
			และแล้ว..      
      
			อ้าวเฮ้ย...มันออกไปแล้วไปจับมันเร็ว...แม่งออกได้ไงวะ?      
      
      
			ไอ้ด่างวิ่ง-วิ่งเท่าที่คิดว่าเร็ว พลางมองย้อนหลังเห็นคนแปลกหน้าทั้งสองตามมากระชั้นชิด มันสะดุ้งเมื่อเชือกโยนมาตกที่กลางหลังของมัน      
      
			แม่งพลาด...จนได้      
      
			เฮ้ยเหนื่อย...ช่างมันกลับไปแลกตัวใหม่ต่อดีกว่า  เสียดายว่ะตัวอ้วนเสียด้วยสิ       
      

			ไอ้ด่างวิ่งเยาะๆ พลางมองสองข้างทางเป็นป่าละเมาะ และทุ่งนาที่มีตอซังข้าวล้มระเนระนาดบนผืนนาที่แตกระแหง      
      
			ต้องกลับบ้านให้ได้ แม้จะวิ่งนานสักแค่ไหน?วิ่งไกลเพียงไร?  ก็ต้องพยายาม มันพอจำได้เลือนๆ ว่าน่าจะเป็นทางนี้ทีรถพามา        
      
			มันแอบหลบลงข้างทางอย่างหวาดผวา เมื่อได้ยินเสียงรถยนต์กระหึ่มมาแต่ละคัน กว่ารถคันนั้นจะผ่านไปมันจึงค่อยๆ ขึ้นมาวิ่งต่อที่ริมถนน       
      
			มันแวะเลียน้ำในลำห้วยอย่างกระหาย       
      
			นานมาก นานเหลือเกิน  นานแค่ไหนมันไม่รู้ มันวิ่ง-วิ่งอย่างเดียว ผ่านแต่ละหมู่บ้านจะมีหมาหลายตัวไล่กัด  มันหลบหลีกวิ่งหนีไม่ยอมปะทะ  จนกระทั่งถึงร้านค้า      
      
			ไอ้หนูซื้อปลาทูแล้วรีบเอาไปให้แม่เอ็งเร็วเข้าเดี๋ยวโดนด่า      
	      
			ฮือๆ หมาแย่งไปแล้ว ฮือๆ...      
      
			ไอ้ด่างยอมรับว่ามีกำลังขึ้นมาจากปลาทูเข่งนั้น ความหิวที่ก่อตัวมาเมื่อวันวานคลายลงแล้ว มันบอกกับตัวเองว่าจะให้วิ่งนานแค่ไหนก็ย่อมได้        
      
			เมื่อถึงบ้านแล้วเจ้านายคงจะดีใจ ในชีวิตมันทำดีกับเจ้านายมาตลอด และเจ้านายก็รักมัน  โดยเฉพาะเจ้านายน้อยที่กอดรัดกับมันตลอดเวลา       
      
			บางครั้งไอ้ด่างไม่เข้าใจเจ้านายใหญ่เหมือนกันว่าทำไมต้องไล่ตี ก็มันกัดคนแปลกหน้าที่เข้ามาบ้าน มันพยายามระวังภัยให้  บางครั้งมันกัดพวกเป็ดไก่เพื่อเอามาให้เจ้านายใหญ่ไปทำเป็นอาหาร มันทำความดีที่เห็นว่าดีที่สุดแล้ว  แต่...ทำไมเจ้านายใหญ่จึงไล่ตีมัน บางทีหนีไม่ทันโดนหวดที่กลางหลังเจ็บปวดไม่น้อย       
	      
			พ่อ พ่อ...มาดูสิครับ ไอ้ด่างกลับมาแล้ว...เย้ๆ ดีใจจัง       
      
			มันกระโดดเข้าเลียแข้งเลียขาเจ้านายน้อย-เจ้านายน้อยก็กอดรัด และหอมมันอย่างคิดถึง      
      
			อย่ามาหลอกพ่อเสียให้ยาก เสียงเจ้านายใหญ่อยู่ในบ้าน      
      
			อ้าวเฮ้ย....มันมาได้ไงวะนี่  ไอ้ด่าง...      
      
			มันกระโดดเข้าหาเจ้านายใหญ่ กระดิกหางอย่างนอบน้อมดีใจที่ได้เจออีกครั้ง       
      
			มันดีใจกับอิสรภาพที่ได้รับ และเหตุการณ์ที่ผ่านมาถือว่าฝันร้าย และคงจะไม่เกิดกับมันอีกแล้ว       
      
			แต่...ไอ้ด่างคงดีใจได้ไม่นานนัก  ถ้ามันฟังภาษาที่เจ้านายใหญ่พูดรู้เรื่อง      
      
			กลับมาได้ก็ดีเหมือนกันเว้ย...จะได้แลกถังใช้อีกใบ...กำไรนี่หว่า ฮ่าๆๆ       




      
                                     ∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞				
23 พฤศจิกายน 2549 11:00 น.

คนล่าคน

ป.ยุทธ

ปัง
สิ้นเสียงปืนผมวิ่งหนีไปตามเชิงเขาที่มีแต่โขดหินน้อยใหญ่ประปรายกับพุ่มไม้เล็กๆ เป็นหย่อมๆ  
	          ผมพยายามวิ่ง วิ่ง  และวิ่ง  เพื่อจะไปให้ไกล-ไกลจนเอาตัวรอดจากเป้ากระสุน    
                               ผมเริ่มเหนื่อยบ้างแล้ว  อาจเป็นเพราะสภาพพื้นที่ที่วิ่งหนีขรุขระบวกกับความหิวที่ก่อตัวขึ้นมาก่อนหน้านี้ก็เป็นได้  แต่จะยังไงผมต้องไปให้ถึงจุดหมาย  ไปโดยที่ไม่ถูกพวกเขาตามมาทันหรือไม่ให้ตกเป็นเป้านิ่ง
ผมหันกลับไปมองจึงรู้ว่ามาไกลมากแล้ว  และพวกเขายังไม่ตามมา  มันอาจยังไม่ถึงเวลาหรือคิดว่าผมเป็นลูกไก่ในกำมือก็ได้    ส่วนจะให้พวกเขาปล่อยผมไปเฉยๆ นั้นเป็นไปไม่ได้แน่  เพราะถึงยังไงพวกเขาก็ต้องตามยิงผมอย่างแน่นอน  ผมเชื่อเช่นนั้น
	            ปัง
	            พลิ้ว
	            ยังไม่ทันขาดคำเสียงปืนดังขึ้นพร้อมเสียงลูกปืนกระทบหินใกล้ตัว สัญชาตญาณบอกให้ผมหมอบหลบวิถีก่อนคืบคลานหาที่กำบัง       ชั่วอึดใจจึงตัดสินใจออกจากที่กำบังแล้ววิ่งส่ายก่อนที่จะหลบเข้าโขดหินใหญ่ข้างหน้าเพื่อไม่ให้ตกเป็นเป้าอีกต่อไป 
	            ดวงตะวันตรงหัวแผดแสงร้อนระอุราวจะเผาผลาญสรรพสิ่งบนผืนพิภพให้เป็นจุล ผมกัดฟันพาร่างอันหิวกระหายวิ่งไปอย่างทรหด  เป้าหมายอยู่ข้างหน้าแต่ไม่รู้ว่าไกลสักแค่ไหน และผมก็ไม่มีทางเลือกไปกว่านี้
	            ตั้งแต่เช้ามาผมยังไม่มีอาหารตกถึงท้อง    แต่ช่างเถอะผมยังมีแรงพอที่จะวิ่งหลบหนีต่อไป   แม้ว่าท้องจะกิ่วลำคอจะแห้งเป็นผงสักแค่ไหนก็ต้องหนีเอาตัวรอดให้ได้เสียก่อน
	            ปัง
                                 ปัง
	           พลิ้ว
                                เสียงปืนบ่งบอกว่าพวกเขาตามใกล้เข้ามาแล้ว  และพวกเขาต้องมองเห็นผม  แต่ผมจะไม่ยอมเป็นเป้านิ่งให้พวกเขาเล็งง่ายๆ  เมื่อได้จังหวะผมกระโจนออกจากที่กำบังอีกครั้งก่อนที่จะวิ่งไปข้างหน้า   
                                 ปัง
                                เป็นไปตามที่คิดไว้เสียงปืนดังขึ้นเมื่อผมออกจากที่กำบัง   ผมจำต้องวิ่งต่อในท่าก้มสลับกับส่ายตัวไปมา    
เวลาผ่านไปราวชั่วโมง  ผมอ่อนล้าคล้ายจะหมดแรงและอยากจะพักหลบแดด  แต่...ไม่ได้ จะพักไม่ได้เดี๋ยวพวกเขาตามทันแน่   
                                ความหิวความกระหายโจมตีผมมากขึ้น  หิวข้าวพอทนแต่ไอ้กระหายน้ำนี่สิมันช่างทรมานเหลือหลาย  ผมรู้จากตำราว่าอดข้าวได้สิบกว่าวันถึงจะตาย  แต่อดน้ำได้ไม่เกินสอง-สามวันตายแน่  เพราะร่างกายคนเราขาดน้ำไม่ได้   จะยังไงก็ช่างเถอะอย่าเพิ่งไปคิดเรื่องนั้น  คิดเรื่องที่จะไปให้ถึงที่หมายหรือไม่ก็หลบหลีกให้พ้นวิถีกระสุนก่อน
                               กลิ่นเหม็นเน่าลอยมากระทบจมูก  ผมไม่สนใจคงมุ่งหน้าวิ่งต่อ และแล้ว...ในเสี้ยววินาทีนั้นผมสะดุดก้อนหินล้มลง  ใบหน้าของผมไปคลุกอะไรบางอย่างกลิ่นเหม็นเน่ารุนแรงแค่ปลายจมูก  พอลุกขึ้น...โอ! มันเป็นซากศพมนุษย์ที่มีแต่หนอนไต่ยั้วเยี้ยจนผมคลื่นไส้อาเจียน  ผมรีบปัดหนอนที่ติดขึ้นมาตามใบหน้าออกไปพร้อมกลั้นลมหายใจก่อนฉุกคิดขึ้นได้ว่ากำลังถูกตามล่า
	          ปัง
	          โอ๊ย
	          ผมร้องเสียงหลงเมื่อรู้สึกเจ็บปวดที่ไหล่ซ้าย  เมื่อหันไปมองเสื้อของผมฉีกขาด  เลือดไหลซึมออกจากแผลที่ถูกกระสุนถากเป็นทางยาว   
	          ผมนั่งลงฉีกเอาชายเสื้อขึ้นมาพันแผลไว้ก่อนวิ่งส่ายไปหาที่กำบังข้างหน้า
	          ผมเห็นซากศพอีกแล้ว  หลายต่อหลายศพแต่ละศพจะมีหนอนไต่บ้าง แห้งกรอบจนเห็นโครงกระดูกบ้าง  ผมรู้ทันทีว่านี่คือเหยื่อของพวกเขา และจุดๆนี้ต้องเป็นจุดที่เหยื่อตกใจเมื่อเห็นศพหรือเป็นจุดที่วิ่งมาหมดแรงก็เป็นได้จึงถูกยิงตายเกลื่อนเช่นนี้ 
/////////////////////////////////////////
 
                                เราได้ข่าวมาว่าเป้าหมายของพวกมันเป็นคนอีสานเสียส่วนมาก จ่าเป็นคนอีสานจ่าจึงเหมาะสมที่สุดสำหรับคดีนี้  
                                 ครับสารวัตร  ผมตอบรับอย่างภูมิใจเมื่อผู้บังคับบัญชาเห็นเป็นบุคคลสำคัญ
                                  ผมสะพายกระเป๋าเป้เดินแฝงตัวกับฝูงชนที่สถานีรถไฟหัวลำโพงในเวลาเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น 
                                   ผมยืนเก้ๆ กังๆ หลังจากก้าวพ้นประตูสถานี 
                                  น้องๆ มาทำงานแม่นบ่?  มาทำกับอ้ายบ่ล่ะ? ชายวัยกลางมองรูปร่างหน้าตาของผมก่อนเดินเข้ามาถาม 
                                  มีงานเบาะครับ งานอีหยัง?  แล้วอยู่ไสครับอ้าย? ผมเร่งถามคืนพร้อมแสดงท่าทางดีใจ
                                  งานดีเงินดีอีหลีเด้อ  รับรองได้  น้องมาถูกหม่องแล้ว...ปะอ้ายสิพาไป พูดจบเขาดึงแขนผมไปที่รถตู้
                                   ผมก้าวขึ้นไปนั่งในรถตามที่เขาเปิดประตูให้   ราวครึ่งชั่วโมงมีคนเข้ามาสมทบอีกห้า-หกคน
                                   ออกรถได้  หมดแล้ว  คนที่พามาสั่งคนขับก่อนหันมาทางผมกับเพื่อนๆ 
                                    ผมแสดงความดีใจกับพวกเฮาทุกๆ คน   และกะขอต้อนรับสู่โรงงานใหญ่  ที่มีค่าจ้างสูง รายได้ดี ผมเชื่อแน่ว่าทุกคนต้องพอใจอย่างแน่นอน  ชายคนเดิมพูดขณะรถเคลื่อนออกไปและอธิบายค่าจ้างเสียยืดยาว
ผมมองข้างทางว่าพวกเขาจะพาไปที่ไหนเพื่อจะได้รายงานความเคลื่อนไหวให้ผู้บังคับบัญชาทราบ  แต่ยังก่อนยังไม่ชัดเจนว่าคนพวกนี้เป็นกลุ่มที่หลอกลวงคนงานไปทำงานแรงงานเถื่อนหรือไม่
                                      ผู้ที่อยู่ในรถต่างพากันพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน บ้างบอกเพื่อนว่าจะส่งเงินให้ลูกเมียทางบ้าน คราวนี้ล่ะจะได้มีค่าใช้จ่ายซะที ลูกๆ จะได้เลิกอดอยากมีเงินค่าขนมไปโรงเรียน  บ้างก็ว่าปีนี้จะไม่กลับไปทำนาแล้วมันแห้งแล้งเสียเหลือเกิน
                                      ผมรู้ว่ารถออกจากเขตกรุงเทพมหานครมุ่งหน้าสู่ภาคตะวันออก  
                                      นานหลายชั่วโมงรถมาจอด ณ สถานที่แห่งหนึ่ง  ดูแล้วเป็นท่าเรือ   
                                      เชิญขึ้นเรือต่อเด้อครับโรงงานของเฮาอยู่ที่เกาะสะดวกสบายทุกอย่าง ชายคนเดิมพูดขึ้นเมื่อเห็นทุกคนแสดงท่าทางสงสัย 
                                      ทุกคนเก็บสัมภาระก่อนก้าวขึ้นเรืออย่างว่าง่าย
                                     ขอให้ทุกคนโชคดีเด้อครับเด้อ เขาพูดนอบน้อมก่อนลงจากเรือไป
                                     เรือเคลื่อนออกจากฝั่งมุ่งหน้าสู่กลางทะเลท่ามกลางแสงตะวันที่สายโด่ง    ข้าวกล่องกับขวดน้ำดื่มถูกแจกให้ผมกับเพื่อนๆ 

	               ตื่นๆ ตื่นได้แล้วโว้ย
	               ผมมารู้สึกตัวเมื่อโดนน้ำราดจนเปียกโชก  เห็นเพื่อนๆที่มาด้วยกันนอนรวมกันอยู่กลางโกดังกว้าง 
	               ชายฉกรรจ์หลายคนถือปืนลูกซองยาว บ้างก็ถือเอ็มสิบหกยืนคุม 
	                พวกผมอยู่ไสครับนี่?  แล้วพวกผมมาได้จั่งได๋? ผมตัดสินใจถามออกไป 
	                ไม่ต้องรู้หรอกว่าที่นี่คือที่ไหน   ส่วนมาที่นี่ได้ไงงั้นรึ  ก็พวกเอ็งดื่มน้ำที่ผสมยานอนหลับตอนอยู่บนเรือไง...ไอ้โง่ เขาตอบอย่างเย้ยหยัน
                                     ไป๊   ไปทำงานได้แล้ว อีกคนร้องสั่งพลางเตะคนที่นั่งนิ่งเฉย  
                                     บางคนร้องเอะอะโวยวายจึงถูกกระแทกด้วยด้ามปืนจนเงียบกริบ
                                     พวกเราถูกต้อนไปรวมกลุ่มกับคนงานเก่าที่มีอยู่ราวห้าสิบกว่าคน  ผมกวาดสายตามองรอบๆ โกดัง   คงไม่สามารถติดต่อรายงานผู้บังคับบัญชาได้แน่  ผมเริ่มวิตก 
                                    กลางคืนพวกเราถูกขังให้นอนห้องละสามคน แต่ละห้องมีกรงเหล็กเป็นประตูปิดกั้นอย่างแน่นหนา  ดูแล้วไม่ต่างจากนักโทษในเรือนจำ  
ผมถูกขังร่วมกับคนงานเก่า  เขาเล่าให้ฟังว่าที่นี่คือเกาะร้างกลางทะเล  โรงงานแห่งนี้เป็นที่เก็บสินค้าหนีภาษี   หลายคนถูกกักขังให้ทำงานมานานหลายปีแล้ว  ทุกคนอยู่กินอย่างอดอยากหิวโหยแถมถูกบังคับให้ทำงานตั้งแต่หกโมงเช้าถึงหกทุ่มโดยไม่ได้รับค่าแรง   ใครเจ็บป่วยทำงานไม่ได้จะถูกปล่อยให้ตายเอง  บางครั้งมีผู้หลบหนีแต่ก็ไปไม่รอดถูกพวกเขายิงตาย   คนงานที่ตายก็ตายไปส่วนคนงานใหม่จะมีมาเพิ่มเรื่อยๆ
                                   คนงานเก่าเล่าให้ฟังต่อว่าทุกวันอาทิตย์เถ้าแก่จะมาเยี่ยม   วันนั้นทุกคนจะถูกสั่งเข้าแถวต้อนรับ  เถ้าแก่ใจดีมากจะให้ทุกคนจับฉลากหาผู้โชคดีหนึ่งคน  ใครได้เป็นผู้โชคดีเถ้าแก่จะพากลับบ้าน  ทุกคนจึงมีกำลังใจรอความหวังว่าสักวันหนึ่งจะได้เป็นผู้โชคดีคนนั้น 
 	             ได้ยินแล้วผมไม่อยากเชื่อว่าพวกเขาจะยอมปล่อยให้คนที่โชคดีที่ว่าได้กลับบ้าน  เพราะฟังดูแล้วมันง่ายเกินไปต้องมีอะไรสักอย่าง
	             หลายอาทิตย์ผ่านไปผมพยายามหาช่องทางหลบหนี โดยชักชวนคนงานหลายคนเป็นแนวร่วม  
ในที่สุด...วันอาทิตย์ตามที่วางแผนไว้ก็มาถึง  จากการขีดเส้นบันทึกไว้มันเป็นวันอาทิตย์ที่ห้าที่ผมมาอยู่ที่นี่  พวกเราวางแผนไว้ว่าจะร่วมมือกันแย่งปืนจากผู้ที่ยืนคุมหลังจากมีการจับฉลากหาผู้โชคดีเสร็จสิ้น   
 	            แต่แล้ว...ก็ต้องเปลี่ยนแผนกะทันหันเมื่อผมจับฉลากได้รางวัลนั้น
	            ผมถูกพาขึ้นรถจนมาถึงเชิงเขาลูกหนึ่ง
เมื่อถูกสั่งให้ลงจากรถผมชำเลืองดูเถ้าแก่กับสมุนทั้งสองอย่างไม่ไว้วางใจ  เพราะที่เอวของพวกเขามีปืนพกเหน็บอยู่
	            แล้วสิให้ผมกลับบ้านจั่งได๋ครับ?  ผมถามอย่างหวั่นๆ
	            ฮ่าๆ ไม่ยากเลย  แค่เล่นเกม  สมุนด้านขวามือเถ้าแก่พูดขึ้น
	            เกมอีหยังครับ  ผมสงสัย
	             เกมง่ายๆ แค่หนีการตามล่าไง  ถ้าเมื่อไหร่เอ็งไปถึงทะเลก่อนตะวันตกดินล่ะก็เป็นอันว่าเอ็งชนะ จะได้กลับบ้านพร้อมกับเรือสินค้า  โน่นทะเลอยู่ทางโน้นข้ามเขาลูกนี้ไปก็ถึง สมุนด้านซ้ายอธิบายกติกา
	             แล้วถ้าผมไปบ่ถึงหรือถึงหลังตะวันตกดินล่ะ? ผมถามพลางเก็บความรู้สึกที่หวาดหวั่น
กลับบ้านเหมือนกันเว้ย  แต่...กลับบ้านเก่าไง ฮ่าๆๆ  ทั้งสามหัวเราะร่า 
	              พอๆ  ลื้อไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว อั๊วจะยิงปืนให้สัญญาณแล้วลื้อรีบหนีไป  จะให้เวลาหนีสิบนาที  จากนั้นพวกอั๊วถึงจะตาม ฮ่าๆๆ  สนุกอีกแล้วเว้ย ฮ่าๆๆ เถ้าแก่พูดพลางระเบิดเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
//////////////////////////////////////////////////

	              ความหิวความกระหายทำให้ผมอ่อนแรงลงไปเรื่อยๆ  
	            ไม่นานนักท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม  และแล้วโชคก็เข้าข้างผมเมื่อฝนเริ่มลงเม็ดและเทลงมาอย่างหนัก   ก่อนที่จะหลบฝนตามซอกหินผมโผล่หน้ามองหาพวกเขา  เห็นมีแต่สายฝนมืดมัวไปหมด  พวกเขาคงมีปัญหากับการตามล่าผมอย่างแน่นอน 
ผมดื่มน้ำฝนที่ค้างตามแอ่งหินจนความกระหายหมดไปยังคงเหลือแต่ความหิวอยู่บ้าง  ผมเปิดดูบาดแผลที่ไหล่   เลือดหยุดไหลไปแล้ว
	            ผมนึกถึงศพเหยื่อเหล่านั้น  ผมยิ่งไม่แน่ใจแล้วว่าพวกเขาจะถือตามกฎกติกา ที่พูดไว้  แม้ว่าผมจะไปถึงทะเลพวกเขาก็คงไม่ปล่อยอยู่ดี   สัจจะไม่มีในหมู่โจร   มีอย่างเดียวเท่านั้นที่จะรอด-รอดกลับไปช่วยคนงานในโรงงานนั้นได้  ผมคิดออกแล้ว...ผมต้องเป็นฝ่ายล่าพวกเขาคืน  ผมเคยฝึกหลักสูตรการต่อสู้จับกุมผู้ต้องหาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาก่อน  เวลานี้ผมเริ่มมั่นใจในตัวเองมากขึ้น   ใช่...ผมมีทางเลือกอีกอย่างแล้ว
ผมหมอบคลานหลบตามโขดหินที่กำบังแล้วค่อยๆอ้อมไปทางด้านหลังของพวกเขาเรื่อยๆ อย่างใจเย็น ผมใกล้พวกเขาเข้าไปทีละนิด...ทีละนิด  เวลานี้ฝนเริ่มซาลงแล้วคงเหลือแค่ตกพรำๆ 
	           บ้าซิบหายฝนอะไรวะ   แย่จริงๆยังดีที่มีเสื้อกันฝนมาด้วย  สมุนคนหนึ่งบ่นเสียงดัง
	          ดีโว้ยล่าอย่างนี้ล่ะวะอั๊วชอบได้รสชาติดี ว่าแต่ว่าเดี๋ยวนี้เหยื่ออยู่ตรงไหนวะ?   เสียงเถ้าแก่ร้องแข่งกับสายฝน 
	          ที่โขดหินใหญ่ก้อนโน้นครับเจ้านาย  ยังไงๆ มันก็ไปไม่รอดเราหรอกมันบาดเจ็บ  ผมว่าเรารีบไปจัดการกับมันเลยดีกว่าจะได้ไม่เสียเวลา
	           แต่เดี๋ยวผมขอตัวฉี่ก่อนนะครับเจ้านาย  ปวดจริงๆ  สมุนคนเดิมว่า
	           มันเป็นโอกาสของผมแล้วเมื่อสมุนคนนั้นเดินแยกออกมาจากกลุ่มเดินมาทางผม  เถ้าแก่กับสมุนอีกคนเดินล่วงหน้าไป ผมเลือกเอาก้อนหินที่เหมาะมือ รอจังหวะ รอ...อย่างใจจดจ่อ
	            และแล้ว...ผมตัดสินใจปรี่เข้าประชิดด้านหลังของสมุนคนนั้นแล้วทุบลงที่ท้ายทอยอย่างแรง  แทบไม่มีเสียงร้องร่างนั้นม้วนลงกองกับพื้นแล้วกระตุกสอง-สามทีก่อนแน่นิ่ง  ผมรีบคว้าเอาปืนแล้วหลบที่ซอกหินก้อนเดิม  ไม่นานนักสมุนที่เหลือเดินร้องเรียกหาเพื่อนผ่านมา พอมาถึงก็โดนผมทุบแน่นิ่งไปอีกคน 
	            ผมสะกดรอยตามเถ้าแก่ไป
	            อ้าวเฮ้ย...พวกลื้อไปไหนกันหมดวะ?  เถ้าแก่ร้องเอะอะเมื่อไม่เห็นสมุนตามไป  
	            เสี้ยววินาทีนั้น
	            หยุด...แล้วก็ทิ้งปืนผมทำเสียงขู่พร้อมเล็งปืนเข้าใส่
	            อ้าวเฮ้ย...กะ แก  โอ๊ะอย่าๆ  ใจเย็นๆ นะเราพูดคุยกันได้ ใจเย็นๆ ลื้อต้องการอะไรบอกอั๊วเลย  อยากกลับบ้านไม่ใช่เหรอ?  ดะ ได้  ได้  แล้วอั๊วจะแถมเงินให้ลื้ออีกหลายหมื่นทีเดียว เถ้าแก่พูดอย่างหน้าถอดสี 
	           ไปขึ้นรถ...แล้วพาผมไปที่โรงงาน 
 
                                 ผมวางแผนไว้ในใจขณะขับรถที่ยึดมาได้มุ่งหน้าสู่โรงงาน  ผมชำเลืองดูเถ้าแก่ชายร่างอ้วนหน้าตาหยีที่ถูกมัดมือไขว้หลังนั่งเบาะข้างๆ  อย่างหวาดกลัว 

                                  นี่ล่ะน๊าเวลายิงคนอื่นสนุกสนาน    แต่พอถึงเวลาถูกเอาคืนมั่งกลับกลัวลนลาน  ผมคิด

                                  ผมต้องเอาเถ้าแก่เป็นตัวประกันเพื่อที่จะช่วยเหลือคนงานเหล่านั้นออกมา  จากนั้นพวกเราจะช่วยกันทลายโรงงานเถื่อนแห่งนี้ให้สิ้นซาก  ต่อไปจะไม่มีใครตกเป็นเหยื่อเกมนี้อีก  ก็ไอ้เกมบ้าๆ บอๆ ที่ผมชนะนี้แหละ  แต่...เอไม่ใช่สิ!...ผมอาจจะเป็นผู้แพ้ก็ได้    แพ้ในสายตาเถ้าแก่...   แพ้ตรงที่ผมไม่ปฏิบัติตามกฎกติกาที่พวกเขาวางเอาไว้ไงล่ะ..... 



                                               @@@@@@@@@@@@@@				
22 พฤศจิกายน 2549 09:04 น.

บ้านไม้ไผ่กับชายแปลกหน้า

ป.ยุทธ

บ้านไม้ไผ่กับชายแปลกหน้า 
 
                     บ้านไม้ไผ่ยกพื้นสูงหลังคามุงหญ้าแฝกหลังนี้ ยื่นระเบียงออกไปเหนือลำธารน้ำใสไหลเอื่อยๆ  บริเวณรอบบ้านห้อมล้อมไปด้วยผืนป่า     ต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านปกคลุมจนดูหนาทึบเสียจนมืดครึ้มเยียบเย็น
	หญิงสาวรู้สึกตัวขึ้นมาอย่างงงงันกับสถานที่ที่กำลังนอนอยู่    เธอค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นนั่งจากที่นอนชั่วคราวที่มีเสื่อผืนหมอนใบอยู่ชิดฝาผนังไม้ไผ่สานใต้ชายคาหญ้าแฝก  และแล้ว..เธอก็ต้องตกใจเมื่อรู้ว่าขาข้างหนึ่งถูกโซ่เส้นเขื่องพันธนาการไว้กับเสาหลักของบ้าน  ไม่นานนักบ้านก็สั่นไหวเล็กน้อยก่อนปรากฏชายแปลกหน้าก้าวขึ้นบันไดมาบนบ้าน  
                      เธอพยายามระงับความตกใจมองเขาเดินไปยืนพิงราวระเบียงหันหน้ามามองเธออย่างยิ้มเยาะ แต่ไม่มีคำพูดใดๆ
	แกจับฉันมาทำไม  เธอตัดสินใจถามออกไป
	เขาไม่ตอบ
	ปล่อยฉันเถอะนะ...ขอร้องล่ะ  อยากได้อะไรบอกมาเลย  เธอเปลี่ยนจากถามมาเอ่ยอ้อนวอน
	นะ  นะ อย่าทำอะไรฉันเลย เธอกล่าวพลางเพ่งมองชายแปลกหน้าอย่างรอคำตอบ
	..เงียบ...
	นี่นายพูดไม่รู้เรื่องหรือไง...อ๋อหรือว่าเป็นใบ้ เธอชักหงุดหงิดเมื่อคู่สนทนาไม่โต้ตอบ
	เขาค่อยๆ หย่อนตัวลงนั่งกับม้านั่งริมระเบียงแล้วไขว่ห้างจ้องเธอเขม็ง
	เธอสบตานั้น...
	ใบหน้าที่คมเข้ม  หนวดเคราเรียวบางดูดุดัน    คาดคะเนอายุอานามคงใกล้เคียงกับเธอ
	ถามจริงๆ เถอะนายจับฉันมาทำไม เธอถามอีกครั้งด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
	เรียกค่าไถ่  เขาตอบก่อนหันหน้าไปมองสายน้ำที่ไหลเอื่อยผ่านโขดหิน
                      เธอสะดุ้งนิดๆ   ก่อนแสยะที่มุมปาก 
หึ..พวกกระหายเงินนี่เอง หน้าตาก็ดูดี แต่ดันเป็นโจร...ไม่รู้จักทำมาหากิน  ช่างไม่ละอายใจเสียบ้างเลย เธอคิด 
                      แล้วที่นี่ที่ไหนล่ะ  เธอพยายามถามอย่างเป็นมิตร
                      ป่าลึก เขาตอบห้วนๆ  
                      ป่าลึก เธอทวนคำพูดเสียงดัง  พลางนึกประมวลเหตุการณ์ที่ถูกจับมา แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออกว่าตกเป็นเหยื่อโจรเรียกค่าไถ่นี้ได้ยังไงกัน
                      แล้วนายจับฉันมาตอนไหน ทำไมฉันจึงไม่รู้ตัวเลย 
                      หึๆ  น่าขัน ผู้ดีตีนแดงตะแคงตีนเดินอย่างเธอ  วันๆ ตื่นขึ้นมาก็มีเงินมีทองใช้อย่างเหลือเฟือจะรู้เรื่องรู้ราวอะไร กะอีแค่ถูกจับมาก็ยังไม่รู้ตัว เขาพูดอย่างใส่อารมณ์  แต่เธอก็โต้ตอบทันควัน
                       ใช่..ฉันมีเงิน แต่ก็เป็นเงินที่หามาด้วยธุรกิจอันสุจริต ไม่ได้จี้ปล้นหรือจับใครมาเรียกค่าไถ่เหมือนนาย
                       ฮ่าๆ ๆ  ดูช่างไร้เดียงสาจริงนะ คิดหรือว่าคนอย่างผมจะเชื่อ... คุณก็เหมือนพ่อของคุณนะแหละ    คดโกงชาวบ้านเสียจนร่ำรวย  เขาเว้นระยะก่อนพูดต่อ
                         มิหนำซ้ำยังตัดไม้ทำลายป่าจนฟ้าฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล  บางปีน้ำก็ท่วมเสียจนเดือดร้อนกันไปทั่ว เขาพูดพลางเดินเข้ามานั่งยองๆ ลงใกล้ๆ สบตาเธอ 
                         คดโกงอะไรฉันไม่เห็นจะรู้เรื่อง  อย่ามากล่าวหากันลอยๆ   ส่วนเรื่องตัดไม้ เราสัมปทาน ถูกต้องตามกฎหมาย  เธอจ้องหน้าชี้แจงอย่างไม่สบอารมณ์ 
                          เขาขบกรามพลางจับคางเธอเชิดขึ้น  แต่ก็ถูกเธอปัดมือออกเร็วไว
                         นี่คุณไม่รู้หรือแกล้งโง่กันแน่ว่าพ่อคุณน่ะ   ให้ชาวบ้านกู้ยืมเงินแล้วคิดดอกเบี้ยทบต้น ต้นทบดอก บางทีก็เขียนตัวเลขดอกเบี้ยเอาตามอำเภอใจ  เมื่อใครไม่มีให้ก็ยึดไร่ ยึดนาสิ้นเนื้อประดาตัวไปตามๆ กัน 
                         ไม่...ไม่จริง  นายโกหก เธอส่ายหน้าก่อนพูดต่อ
พ่อของฉันไม่ใช่คนอย่างนั้น  เรามีรายได้มากพอจากการทำไม้ไม่จำเป็นต้องคดโกงใคร
	ใช่ซี้...ก็เดี๋ยวนี้ร่ำรวยจากการทำไม้แล้วนี่ พูดจบเขาลุกขึ้นเดินไปที่ราวระเบียงหันหน้าไปทางทิวเขาชั่วครู่ก่อนหันกลับมาที่เธออีกครั้ง
	คงพอรู้แล้วซินะว่าผมจับคุณมาเพื่ออะไร
	รู้...นายเห็นฉันรวย  ก็เลยจับมาเรียกค่าไถ่  นายก็โจรดีๆ นี่เอง  
	เขาเพ่งมองเธอด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม
	บอกให้ก็ได้...ผมจับตัวคุณมาเพื่อขอแลกเอกสารกู้ยืมเงินกับโฉนดที่ดินทั้งหมดของชาวบ้านจากพ่อของคุณ ส่วนทรัพย์สินเงินทองอย่างอื่นผมไม่ต้องการ เขาเปล่งเสียงดังฟังชัด
	เธออึ้งในคำพูดของเขา   พลางมองหน้ารอฟังเขาพูดต่อ
	พ่อของคุณรวยอยู่แล้ว  กะอีแค่สัญญากู้เงินไม่กี่แสนขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอก
	แล้วนายเป็นใคร ทำอย่างนี้เพื่ออะไร เธอถามทันควัน
	ผมก็เป็นลูกชาวบ้านคนหนึ่งที่ถูกพ่อคุณยึดที่นานะแหละ น้ำเสียงเขากระชาก
	ฉันไปเรียนเมืองนอกหลายปี  ไม่รู้เรื่องพวกนี้หรอก น้ำเสียงเธออ่อนลง   
อ้อ..  ขอถามหน่อย...นายจับฉันมาได้ยังไง  
	ได้..  บอกก็ได้...ผมเตรียมแผนการจับคุณมาหลายเดือนแล้ว   ผมสร้างบ้านหลังนี้ไว้กักขังคุณนี่แหละ   ผมสืบรู้ว่าคุณมาที่ปางไม้กับพ่อของคุณทุกวันอาทิตย์ ผมดักรอจังหวะมาหลายครั้งแล้ว   จนครั้งนี้สบโอกาสเมื่อคุณเดินแยกออกมาจากกลุ่ม  ผมจึงใช้ยาสลบปิดจมูกคุณ...แล้วอุ้มขึ้นม้าพามาที่นี่ เขาอธิบายเรียบๆ เมื่อเห็นว่าเธอไม่รู้เรื่องด้วยกับพ่อ
	เธอหลับตาถึงเหตุการณ์อย่างเข้าใจ  แต่แล้ว..เธอฉุกคิดขึ้นมาได้
 เอะนี่แสดงว่าเราถูกจับมาตั้งแต่เมื่อวานนี้หรือนี่ เธอพึมพำหันซ้ายหันขวามองบ้านพร้อมสำรวจเสื้อผ้าของตัวเอง
	ไม่ต้องตกใจผมไม่ได้ทำอะไรคุณหรอก เขารู้ทัน   ก่อนที่จะเปลี่ยนเรื่องพูด
	นี่ก็ยังเช้าอยู่..คงยังไม่หิว  อ้อ..ผมมีกาแฟ  รอเดี๋ยวจะจัดการให้ พูดจบเขาเดินไปที่มุมห้องก่อไฟตั้งกาน้ำร้อน
	ราวสิบห้านาทีแก้วกาแฟก็ถูกนำมาวางตรงหน้าเธอพร้อมขนมปังสาม-สี่ชิ้น  เธอกลืนน้ำลายเมื่อได้กลิ่นกาแฟมากระทบจมูก  แต่ยังแกล้งเมินเฉย
	ไม่..ฉันไม่กิน..ฉันไม่หิว เธอพูดพลางกลืนน้ำลายอีกครั้ง
	กินเถอะน่า  คุณอาจจะอยู่ที่นี่ทั้งวัน  มื้อเที่ยงจะหาอาหารมาให้ รองท้องไว้ก่อน
	นายจะไปไหน  เธอเงยหน้าขึ้นถามเพราะถ้าเขาไปแล้วเธอจะต้องอยู่ในป่าอันน่ากลัวนี้เพียงลำพัง
	ไปเอาสัญญากู้เงินกับพ่อคุณไง  เขียนจดหมายนัดเอาตอนสิบโมงเช้านี้  แต่ถ้าไม่ได้ล่ะก็..หึเขาพูดค้างไว้   เธอจึงถามสวนไป
	ถ้าไม่ได้นายจะทำไม 
	 ถ้าพ่อคุณไม่นำสัญญากับโฉนดที่ดินของชาวบ้านทั้งหมดมาให้หรือตุกติกละก็...เขาพูดทิ้งช่วงก่อนที่จะเปล่งเสียงดังฟังชัดด้วยสีหน้าอันเหี้ยมเกรียมใส่เธอ
	ผมจะฆ่าคุณ  
	เธอได้ยินแล้วสะดุ้งเย็นวูบไปถึงไขสันหลัง
	มะ..ไม่  ไม่นะ..ใจเย็นๆ  เอางี้นายปล่อยฉันไปรับรองว่าฉันจะขโมยสัญญากับโฉนดอะไรนั่นมาให้นายเอง  ฉันสัญญา ..อย่า อย่าทำอะไรฉันเลยนะ  เธอต่อรอง
	ฮ่าๆๆ  เห็นผมเป็นเด็กอมมือหรือไงถึงจะหลอกกันง่ายๆ ที่แท้ก็กลัวตายนี่เอง พูดจบเขาเดินไปหยุดที่หัวบันไดก่อนหันมาช้าๆ
	 ...อ้อ  ถ้าหิวน้ำก็อยู่ที่โอ่งดินนั่น ถ้าจะนอนพักก็ตามสบาย  ห้องน้ำก็ที่มุมห้องโซ่ยาวอยู่หรอก แต่ขอเตือนไว้ก่อนว่าอย่าคิดหนีเป็นอันขาด เพราะที่นี่กลางป่าลึกสัตว์ร้ายชุกชุม  ไปไม่รอดหรอก  พูดจบเขาเดินลงจากบ้านไป
	เธอพยายามแกะโซ่ที่คล้องขาที่มีกุญแจใส่ไว้  แต่แกะยังไงก็แกะไม่ออกมันติดข้อเท้าแน่น เธอจึงเลิกแกะแล้วมองซ้ายมองขวาก่อนหยิบยกถ้วยกาแฟขึ้นมาจิบพร้อมเอาขนมปังมาเคี้ยวตาม
 
	เธอขยับตัวไปนั่งพิงฝาผนังใต้ชายคาเหม่อมองทิวเขาเบื้องหน้าสลับกับมองสายธารน้ำไหล   หากไม่ถูกโซ่พันธนาการไว้เธอจะลงไปอาบน้ำใสๆ ให้เย็นฉ่ำใจ  นี่ถ้าเป็นการมาเที่ยวกับสภาพธรรมชาติเช่นนี้คงมีความสุขไม่น้อย  แต่นี่... เฮ้อ...ไม่รู้ว่าจะมีใครมาช่วยเราบ้างหนอ..  เธอคิดไปคิดมาจนผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย

	เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง   และแล้ว...เธอก็ต้องสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียง ฟู่ๆ อยู่บนระเบียงด้านหน้า  แต่..พอหันไปมองเท่านั้น...  เธอยิ่งตกใจหลายร้อยหลายพันเท่าเมื่อที่มาของเสียงนั่นยกคอแผ่แม่เบี้ยจังก้าอยู่ห่างไม่เกินเมตร
	ชะ..ช่วยด้วย  งะงู  งู  เธอร้องเสียงหลง  และเสียงร้องของเธอทำให้มันตกใจยกหัวขึ้นเตรียมฉก 
โอ..เธอรู้ตัวว่าไม่รอดแน่แล้ว
	เสี้ยววินาทีนั้น... 
	เสียงปืนก็คำรามก้องไปทั่วผืนป่า..  ลูกกระสุนพุ่งเจาะตรงลำคอแผ่แม่เบี้ยของงูเคราะห์ร้ายตัวนั้นอย่างแม่นยำ มันฟุบลงกองกับพื้นฟากระเบียงเลือดทะลัก
	ความตกใจเล่นเอาเธอสิ้นเรี่ยวแรงคอพับกับฝาผนัง
เขาใช้เท้าที่สวมรองเท้าแบบทหารเขี่ยงูที่แน่นิ่งลงไปใต้ถุน  จากนั้นเขาเดินเข้าไปหาเธอก่อนนั่งยองๆ ลงข้างๆ 
เขาวางปืนจุดสามแปดที่ใช้ยิงงูไปเมื่อครู่ลงไว้กับพื้นระเบียงอย่างลืมตัว แล้วจับไหล่ทั้งสองข้างของเธอ เขย่าเบาๆ
	คุณๆ เป็นไงบ้าง  เกือบไปแล้วไหมล่ะ  มันคงขึ้นมาตามเถาวัลย์  ถ้าผมมาช้ากว่านี้ล่ะก็ เขาพูดยังไม่ทันจบก็ต้องสะดุ้งเมื่อรู้ว่ามีปืนมาจ่อที่หน้าอก ใช่แล้ว มันเป็นปืนของเขาที่เผลอวางไว้นะเอง  แต่เวลานี้เธอยึดเอามาเล็งใส่เขาเสียแล้ว
	ไขกุญแจที่ขาฉันเดี๋ยวนี้ เธอสั่งเขาเสียงเฉียบขาด
	เร็วเข้า..ฉันยิงจริงๆ ด้วย เธอขึงขัง
	เขาค่อยๆ ไขกุญแจพลางชำเลืองดูเธอเพื่อรอจังหวะเผลอ
	อย่ามาลูกไม้นะ  ฉันยิงนายจริงๆ ด้วย หรือ คิดว่าไม่กล้าลองดูไหมล่ะ 	เธอกระชากเสียงขู่
	 เขาไม่ตอบ  เมื่อไขกุญแจออกจากขาเธอเสร็จแล้ว  ขณะที่เธอกำลังจะลุกขึ้นยืนเท่านั้น  เป็นจังหวะเดียวกับที่เขาคว้าข้อมือของเธอที่ถือปืนอย่างรวดเร็ว
	ทันใดนั้น... สิ่งที่ไม่คาดคิดก็บังเกิด 
	ปืนที่ถูกยื้อแย่งก็แผดเสียงคำรามขึ้น   ร่างของเขาหงายหลังไปตามจังหวะที่หน้าอกมีเลือดทะลักออกมาราวรูรั่ว  เขาเอาฝ่ามือกดมันไว้แน่น 
	เธอตะลึงงัน...
	มะไม่..ไม่ฉันไม่ได้ตั้งใจจะยิงนายนะ  นายมาแย่งปืนฉัน  ปืนมันลั่น  
	เขากัดฟัน  ค่อยๆ ยกหัวขึ้นมาอย่างเจ็บปวด   ก่อนที่จะพูดออกมาอย่างยากลำบาก
	พะพ่อของคุณยะยอมให้สัญญากับโฉนดผะผมแล้ว.. ผะผมกำลังจะพาคุณไปส่ง
                       เธอทิ้งปืนปรี่เข้าประคองหัวเขาไว้เพื่อให้เขาพูดต่อ
	ตะแต่คงไม่มีโอกาสแล้ว  คะคุณ..ขี่ม้าไปทะทางโน้นราวชั่วโมงก็ถึงปา..ปางไม้  อะ....
เขาค่อยๆ ยกมือชี้ไปตามแนวป่า ก่อนกระตุกสองสามที และเลือดก็ทะลักออกจากมุมปาก
	นาย ..นายอย่าเพิ่งตายนะฉันจะตามหมอมารักษา เธอพูดพร้อมเขย่าตัวเขาแล้วเอาฝ่ามือเช็ดเลือดที่มุมปากให้เขาอย่างตกใจ
	มะ..ไม่มีประโยชน์หรอก  ผะผมไม่ระรอด  ..แล้ว  พูดจบเขากระตุกอีกครั้งก่อนแน่นิ่ง
	ไม่มีเสียงกล่าวใดๆ อีก  ใช่..เขาจากเธอไปเสียแล้ว  
	เธอมองเขาด้วยความรู้สึกสงสารอย่างจับใจ.. ถึงยังไงเขาก็ได้ชื่อว่าเป็นคนช่วยชีวิตเธอไว้   
                  ...เวลานี้น้ำตาของเธอได้หลั่งออกมาให้กับชายแปลกหน้าที่ได้ตราหน้าว่าโจร..อย่างไม่รู้ตัว๐๐๐


*************************				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟป.ยุทธ
Lovings  ป.ยุทธ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟป.ยุทธ
Lovings  ป.ยุทธ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟป.ยุทธ
Lovings  ป.ยุทธ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงป.ยุทธ