2 กรกฎาคม 2550 14:03 น.

ความเปลี่ยนแปลงในยุคโลกาภิวัตน์

บ้านวรรณกรรมคนตัวเล็ก


สรรพสิ่งในโลกล้วนแปรเปลี่ยน
ปรับหมุนเวียนเรื่อยไปไม่หยุดนิ่ง
คือสัจธรรมแท้แน่นอนจริง
แม้แต่สิ่งเรียกว่าคนมิทนนาน
 
กาลเวลาผ่านไปใจอาจเปลี่ยน
ด้วยมีเหตุใหม่เวียนมาผันผ่าน
ตามเงื่อนไขใดหนักจักบันดาล
ให้เปิดม่านความจริงสิ่งที่ทำ
 
สิ่งหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงแสดงต่อ
มิใช่ข้อบังเอิญประเมินต่ำ
มีเหตุจึงดึงผลดลมาย้ำ
ควรจดจำให้ดีนี้แน่นอน
 
การจะจากบ้านไปไกลสุดกู่
มีเหตุอยู่เหมือนนกันครั้นอนุสรณ์
ด้วยความอยากพัฒนาจากป่าดอน
จึงเร่รอนจากถิ่นพรากดินแดน
 
ในชีวิตของคนเรา  มีสิ่งต่าง ๆ  เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา  ถ้าเราสังเกตดี ๆ
ตามหลักวิทยาศาสตร์บอกให้เรารู้ว่า  เซลล์ในร่างกายเกิดขึ้นใหม่และตายไปทุกวัน  นั่นคือความเปลี่ยนแปลง
 
เมื่อหลายปีก่อน  คนตัวเล็ก ๆ  ยังเป็นเด็กน่ารัก ๆ
วันนี้แม้จะโตก็ยังเป็นเหมือนคนหน้าหัก  แต่ก็ยังคงความน่ารักแบบลงตัว
 
อะไร ๆ  ก็เปลี่ยนแปลงไป  ไม่มีอะไรมั่นคงถาวรแน่นอนตายตัวหรอก
เมื่อก่อนเคยได้ยินบทเพลงแนวเพื่อชีวิต  ที่ลิขิตไว้อย่างลงตัว  ทำให้คิดถึงตนเองนะ
เนื้อเพลงนั้นตอนหนึ่งมีว่า
 
ชีวิตที่ผ่านพบ
มีลบย่อมมีเพิ่ม
ขอเพียงให้เหมือนเดิม
"กำลังใจ"
 
แต่ถ้าใครที่ไม่มีใครมาตั้งแต่ต้น  ก็ต้องอดทนและทนอดกันต่อไป
จริง ๆ  การอยู่ลำพังตัวคนเดียว  ก็ไม่ได้เสียหายอะไรนะ
บางทีอาจจะดีซะอีก  มีอิสระ  เสรี  มีโลกส่วนตัวดีออก
อยากจะเรียนหนังสือ  (อายุปูนนี้แล้วนะ)  ก็ยังสามารถเรียนได้  
ขอเพียงมีปัญญาให้หาเงินเรียนเองได้ล่ะกัน  เพราะทุกวันนี้ค่าเล่าเรียนแพงขึ้นยังกว่าค่าน้ำมันรถหลายเท่าตัว
อีกอย่างก็สอบเข้าเรียนต่อให้ได้  เรื่องนี้ไม่เท่าไหร่  เพราะหลาย ๆ  สถาบันวิ่งหานักศึกษาแทบจะชนกัน
มีโฆษณาประชาสัมพันธ์  แต่ก็อีกนั่นล่ะ  ค่าเล่าเรียนก็แย่งกันขึ้นตามไปด้วย
 
ตั้งแต่เกิดมา  ผู้ชายตัวเล็ก ๆ  คนนี้ไม่เคยคิดว่า  ตนเองจะต้องแก่ขนาดนี้เลยนะ
ถึงกลับต้องมานั่งทบทวนความเก่า  เล่าความหลัง  ฟังเสียง  (เพลง)  ของสาว ๆ  รุ่นใหม่ ๆ  ที่ผุดขึ้นยังกะดอกเบี้ย
จะว่าดอกเห็ด  นั่นก็ยังเกิดเป็นฤดูกาล  แม้จะมีการเพาะเห็ดฟางขายหลายฤดูก็ตาม  แต่ก็ยังไม่ทันดอกเบี้ย
 
ในชีวิตของคนเรามีสิ่งที่เปลี่ยนแปลงมากมาหลายอย่างนะ
ถ้าเราไม่ใส่ใจดูเหตุผล  ที่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลง  บางทีเราก็จะบอกว่า
"บังเอิญ"
จริง ๆ  แล้วในโลกนี้ไม่มีอะไรบังเอิญหรอก  ถ้าบังอร  น่ะยังพอมี  หาได้เยอะแยะ
แต่รู้สึกช่วงหลัง ๆ  ชื่อนี้จะเชยไปแล้วล่ะ  ตั้งแต่มีบทเพลงเหมื่อหลายปีก่อน
"บังอรเอาแต่นอน"
พ่อแม่รุ่นใหม่กลัวลูกสาวกลายเป็นคนขี้เกียจ  ก็เลยไม่ตั้งชื่อ  "บังอร"  อีก
แต่ก็ยังไม่เคยเห็นใครชื่อ  "บังเอิญ"  เลยนะ
 
จริง ๆ  ถ้าเรามองตามความจริง  เมื่อครู่นี้เราไปทานข้าวกลางวันมา  เราจึงอิ่มตอนนี้
ไม่ใช่ว่า  อยู่ ๆ  แล้วจะอิ่มได้โดยบังเอิญซะที่ไหนล่ะ
 
ความเปลี่ยนแปลงแกล้งเป็นเห็นที่ไหน
มีเงื่อนไขเกิดก่อนสะท้อนค่า
พรหมลิขิตใดเล่าจะนำพา
หากมัวมาหลับนอนตอนกลางวัน
 
มิขยันหมั่นเพียรพากเพียรสู้
จะไปดูหมอแม่นกี่แคว้นนั่น
ชื่อ "โชคชัย"  ไม่ช่วยอำนวยทัน
การกระทำสำคัญจงหมั่นตรอง
 
เพราะทำดีวันก่อนสะท้อนสู่
วันนี้อยู่สบายขวนขวายคล่อง
หากไม่เรียนแต่น้อยโตค่อยปอง
อาจจะหมองมัวได้ไม่รู้ตัว
 
เด็กควรเรียนเพียรพากยากก็ใฝ่
เมื่อเติบใหญ่มีการทำงานทั่ว
หากวัยเยาว์เจ้าเล่นเป็นหมองมัว
ดูน่ากลัวขายแรงงานจนวันตาย

program_t_90.jpg169_0.jpg
 
ชีวิตที่มีการเปลี่ยนแปลง  ย่อมแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของการรับผิดชอบตนเองของบุคคล
สมัยก่อนจบ ปกศ., พ.ม., ก็เป็นครูอาจารย์ได้แล้ว
ปัจจุบันต้องจบปริญญา  ถ้าจะสอนระดับปริญญา  ก็ต้องจบปริญญาชั้นสูงขึ้นไป
เห็นเยาวชนรุ่นใหม่  ใจเร็ว  เร่งหาเพื่อนต่างเพศ  จนเกินขอบเขตไป
สุดท้ายก็เรียนไม่จบกัน  แม้แต่มัธยม  แล้วต่อไปชีวิตจะขื่นขมแค่ไหนก็ไม่รู้
 
แต่ที่รู้ ๆ
วันนี้พ่อและแม่ของเยาวชนไทยรุ่นใหม่  
ต้องร่ำร้องไห้  ทำงานลำบาก  ตากแดด  ตากลม  เพื่อหาเงินมาสะสมไว้ให้ลูก ๆ  เรียนหนังสือ
แต่ลูกกับถือเอาความสุขสบายไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนต่างเพศ/ต่างวัย
 
หรือว่า
จะเป็นความเปลี่ยนแปลงแบบใหม่ของสังคม
สมัยก่อน
ลูกอยากจะเรียน  ร้องไห้ขอพ่อแม่เรียนหนังสือ
แต่วันนี้
พ่อแม่อยากให้ลูกเรียน  ร้องไห้อ้อนวอนขอให้ลูกกลับมาเรียน
 
อะไรหรือ?
คือความเปลี่ยนแปลงที่ควรจะเป็นไป
ในสังคมยุคโลกาภิวัตน์นี้

coverm.jpg				
31 ตุลาคม 2549 13:00 น.

Halloween!!!

บ้านวรรณกรรมคนตัวเล็ก

halloween_home.jpg

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว  จนไม่อาจระบุวันเดือนปีที่แน่นอนได้  ณ บ้านตัวเล็ก  เอ๊ย...บ้านหลังน้อย  แถบชานเมืองนิวยอร์ค  มีสาวใหญ่วัยดุ  นั่งทำหน้ามู่อยู่นอกซาน  ปานประหนึ่งว่า  จะเพิ่งถูกทึ้ง...เอ๊ย  ถูกทิ้ง! มา  ฉะนั้น

	เธอมีชื่อว่า  "หง่าว"  ชาวบ้านแถวนี้  ถูกเธอบังคับให้เรียกเธอว่า "Katty" หรือ "Kattina"

	ถ้าใครไม่เรียก  เธอจะเรียก 911  มาจับ ในข้อหาทารุณกรรมทางจิตใจเธอ  และเธอมักจะเรียกร้องค่าเสียหาย  จากคนที่ยังไม่รู้จักเธอบ่อย ๆ  เพราะมัวเผลอเรียกเธอว่า  หมูตอน

	ชื่อ  "หง่าว" แม่เธอตั้งให้ตั้งแต่เด็ก ๆ  เหตุที่มาของชื่อนี้  เพราะเธอชอบแย่งข้าวแมวกินตอนเด็ก ๆ  แม่ห้ามก็ไม่ฟัง  เธอมักจะเล่น  นอน  และแอบกินข้าวแมวบ่อย ๆ

	เวลาที่แมวตัวไหนจะมากินข้าว  เธอก็จะร้องขู่แมวตัวนั้นว่า "หง่าวๆ"  พร้อมกับกระทึบเท้าใส่หน้าแมวตัวนั้น  จนแมวทุกตัวพากันขยาด  ไม่อาจจะสู้ฝ่าเท้าอันทรงพลังของเธอได้

	แมวทั้งหลาย  ในตอนแรก ๆ  พยายามจะต่อสู้ต้านทานพลังฝ่าเท้าของเธอ  ด้วยการข่วน และร้องขู่ตอบ  "เหมียว ๆ"  แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ แมวทุกตัวจึงเข็ด ขยาด  ไม่อาจจะสู้ฝ่าเท้า  เอ๊ย...สู้หน้าเธอได้

	ขณะนั้น  เป็นเวลาเย็น ๆ  ลมพัดผ่านยอดหญ้าและใบไม้  พาให้ไหวเอนไปตามแรงลม  ผสมกับความเย็น  ที่เริ่มจะคลืบคลานเข้ามา ณ หนึ่งราตรีที่เริ่มจะเย็นยะเยือก

	ยามราตรีที่มหานครนิวยอร์คนี้  ทุกคนต่างรู้ดีว่า  เหน็บหนาว  เสียวสะท้าน  และน่าหวั่นสะพรึงกลัวยิ่งนัก  ยิ่งในแถบชานเมืองแล้ว  จะเย็นยะเยือกยิ่งกว่าในเมืองมากมายนัก

	แต่เป็นที่น่าแปลกใจว่า  หง่าว  หญิงสาวเจ้ากลับกล้ามานั่งกอดเข่า  ก้มหน้าเหงา  เศร้าสร้อยละห้อย  ประหนึ่งว่า  นารีน้อย  กำลังเฝ้าคอยการกลับมาของใครสักคน

	ธรรมชาติชุมชนของคนนิวยอร์ค  ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างรู้ดีว่า  ต่างคนต่างอยู่  หาผู้ที่จะมาอุ้มชูกันและกันค่อนข้างยาก  จนอาจกล่าวได้ว่าหาไม่ได้เลยทีเดียว  แต่เหตุไฉนนงนุช  จึงยังคงผุดลุกผุดนั่ง  ประหนึ่งดุจดังว่า  กินอาหารเป็นพิษเข้าไป  จนทำให้เกิดอาการเสียดแทงภายใน...กระนั้น

	แต่เมื่อสังเกตดูจริง ๆ  กลับพบว่า  ไม่ใช่อาการของการปวดท้องบิด  หรืออาหารเป็นพิษแต่ประการใด  เพราะเธอเพียงลุกขึ้นเดิน  หกเหิน  (แต่ไม่ถึงกับหกคะเมน)  ไปมา  ทำหน้าตาเลื่อนลอย  ถ้าให้เดา  เธอคงจะกำลังคอยใครสักคน  

	พักใหญ่ต่อมา  เธอก็กลับทรุดตัวนั่งลงกับพื้นตรงชานหน้าบ้านอีกครั้ง  อย่างไม่ปราณีต่อบั้นท้ายที่สุดแสนจะทรมาน  เมื่อต้องกับพื้นด้านล่างเข้าอย่างจัง!  หากไม่มีกางเกงตัวใหญ่  และหนา ๆ  พอจะปิดกั้นผิวสาว  และความเหน็บหนาวล่ะก็  บั้นท้ายนารีคงห้อเป็นเลือดปั้นใหญ่!

	สายลมพัดผ่าน  ซากหิมะที่จับตัวกันเปรียบดังแท่นศิลาอันแข็งแกร่ง  นำความหนาวยะเยือกเข้าสู่กระดูกก้นกบแบบไม่ปราณี  และไม่รีรอวันเวลา  แห่งการหายใจที่ร้อนผ่าวของเธอบ้างเลย  ธรรมดาคนเราจัดว่าเป็นสัตว์เลือดอุ่น  มีที่การปรับอุณหภูมิในร่างกายให้มีความสมดลได้ไม่ธรรมดา    

	น้องหง่าว  ก็เป็นคน ๆ  หนึ่ง  ที่มีความสามารถพิเศษในการปรับอุณหภูมิของร่างกาย  ในท่ามกลางหิมะขาวที่พราวพร่าง  อยู่ด้านล่าง  หน้าบ้าน  และทั่วบริเวณ  ในราตรีนี้  สาเหตุหนึ่ง  คงมาจากใจของเธอเอง  ที่ร้อนผ่าว  เกินกว่าจะวัดค่าอุณหภูมิด้วยเครื่องมือสมัยใหม่ได้  ความเร่าร้อนภายในใจนั้น  ได้ถูกกลั่นออกมา  นำพาให้กายาของเธอมีไออุ่น  พอที่จะผุดลุก  ผุดนั่ง   รวมทั้งถอนหายใจเฮือกใหญ่ ๆ  หลายต่อหลายครั้ง

อากาศหนาวแค่ไหนใครรู้บ้าง
รายรอบข้างหิมะขาวพร่างพราวทั่ว
รัตติกาลผ่านมาดูน่ากลัว
แม่ทูนหัวยังคงนั่งตรงที่เดิม

wile-eyes-color-contacts.jpg



	ครู่ใหญ่ต่อมา  ประมาณชั่วโมงเศษ ๆ  เห็นจะได้  มีรถคันใหญ่คันหนึ่งบึ่งมาแต่ไกล  เธอลุกขึ้นยืนอย่างฝืนยิ้ม  และปริ่มไปด้วยคราบน้ำตา  พลางเดินลงมาจากชานหน้าบ้าน  ลองมายืนตรงพื้นด้านหน้าติดถนนใหญ่  เธอมองย้อนดูบ้านปูนเก่า ๆ  ที่อยู่ด้านหลัง  พลางหันไปที่รถคันดังกล่าว

	ทันทีที่รถจอดสนิท  เธอก็รีบจ้ำอ้าว  สาวเท้า  พาเอาบั้นท้ายอันไม่ธรรมดา  มาพักลงตรงเบาะผู้โดยสารด้านหลังคนขับ  	หลังจากหย่อนบัตรเมโทรคลาส  (Metro Card)  ลงบ่นช่องสำหรับหย่อนบัตร  ที่รถดังกล่าวจัดไว้ให้ดี  เอ...แล้วนี่  เธอจะไปไหนกันล่ะ  ดึกดื่นป่านนี้  

	ช่วงเวลากว่าหนึ่งชั่วโมงผ่านไป  รถคันใหญ่ได้นำพาเธอเข้าไปในเมืองใหญ่  ที่ดูมีสีสัน  และเสียงดนตรีขับกล่อม  ย้อมใจให้ใหลหลงพะวงหาใครสักคน  เพื่อมาร่วมเดินเวียนวน  เที่ยวชมบรรยากาศในเมืองยามราตรี  ในปลายปีเฉกเช่นนี้  

	หลายคนเคียงคู่กันจู๋จี๋  เดินท่องราตรีที่สุดแสนหวาน  ท่ามกลางความหนาวสะท้าน  แห่งเหมันตฤดู  ที่สังคมชั้นเลิศหรูนี่นิวยอร์คเรียกกันว่า  Winter  นั่นเอง

	รถคันใหญ่วิ่งผ่านกลุ่มชนมากมาย  ภายนอกรอบถนนใหญ่  มีตึกสูงระฟ้า  ที่ประดับประดาไฟแสงสีอย่างอลังการ  ยากที่จะหาชมที่ไหนได้  รถวิ่งผ่านไปอย่างช้า ๆ  จอดเป็นพัก ๆ  ตามหลักสัญญาณให้จอด  จนกระทั่งถึงตึกใหญ่แห่งหนึ่ง  รถนั้นได้บึ่งเข้าไปด้านในใต้อาคารมหึมานั้น  

	รถจอดสนิท  ทุกคนต่างทะยอยเดินลง  และแยกย้ายกันไปตามหาประดาฝันอันจะพึงมี  Katty  ค่อย ๆ  ก้าวลงอย่างช้า ๆ  ตามหลังใครต่อใคร  มากหน้า  หลายตา  หลากสีผิว  หลากภาษา  หลายวัฒนธรรม  สักพักเธอก็มายืนหันซ้ายแลขวา  อยู่พักใหญ่  ก่อนตัดสินใจเดินไปที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์  

	อ่ะแฮ่ม...สวัสดีเด้อ  ข่อยมาหาหมู่ผู้หนึ่ง  เป็นผู้หญิง  รูปร่างคือกันกับข่อยนี่ล่ะ  อายุหลายเติบอยู่  หลายกว่าข่อยประสองเท่าพุ้นล่ะ

	Im sorry mum, I dont know what the language that you said The giant man said. This is New York City, you know? So please speak English to me.

	ฮ่วย...!  บักหน้ายักษ์นี่แหม  เธอพึมพำในใจแต่แรงแห่งสุรเสียงนั้น  พลันแทรกออกมาพอให้ได้รู้ว่า เธอกำลังไม่พอใจ 

	Excuse me sir, Id like to see a lady likes this, could you show me? Where is she right now?  ว่าแล้วเธอก็ส่งเอกสารในมือให้ชายร่างยักษ์หน้าหมึกคนนั้น  


	แล้วเขาก็ชี้มือไปที่ป้ายแห่งหนึ่งทางด้านขวามือของเธอ You need to wait for her in the window number 911, OhSorryits 119. She is coming soon. Have a nice day and Happy Halloween Day, Byegiant girl  เขาพูดพลางยิ้มอย่างน่ากลัว  ในคืนวันฮาโลวีน  31  ตุลาคม.

	วันที่  31  ตุลาคม  ของทุกปี  ถือว่าเป็นวันปล่อยผี  (Halloween Day)  ของคนอเมริกัน  โดยเฉพาะในนิวยอร์ค  จะมีเทศกาลผี ๆ  กันอย่างสนุกสุดเหวี่ยงเลยทีเดียว 

	Happy Halloween Day 2549

halloween_220805_04_cp.jpg				
17 กรกฎาคม 2549 12:25 น.

เรื่องสั้น ๆ วันเมารัก

บ้านวรรณกรรมคนตัวเล็ก

เรื่องสั้น ๆ วันเมารัก
เปิดประเด็นความคิด  คนโบราณกับวัยรุ่นยุคใหม่
---------------------

คนโบราณ:  	"พบเพื่อพราก  จากเพื่อเจอ  เพ้อทำไม"
วัยรุ่นยุคใหม่:  	"ก็...ใจมันผูกผันอ่ะ!?!"
คนโบราณ:  	"แล้วใครบังคับใจให้ผูกพันล่ะ?"
วัยรุ่นยุคใหม่:  	"ก็คนมันรักอ่ะ"

คนโบราณ:  	"แล้วใครใช้ให้รักล่ะ?"
วัยรุ่นยุคใหม่:  	"ผม/หนูโตแล้วนะ  จะรักเองไม่ได้หรือไงล่ะ?"
คนโบราณ:	รักเอง  แก้เองสิ!
วัยรุ่นยุคใหม่:	?!?

คนโบราณ:	แม่พ่อก่อชีวี   ไยมิสนใจใฝ่รักล่ะ?
วัยรุ่นยุคใหม่: 	"ก็พ่อและแม่  เอาแต่บ่นอ่ะดิ"
คนโบราณ:  	"ชอบคนปากหวานก็กินน้ำตาลใต้ศอกไปล่ะกัน"
วัยรุ่นยุคใหม่:  	"?!?"

คนโบราณ:  	"งั้น...ก็แก้เองล่ะกัน!  โตแล้วนิ"
วัยรุ่นยุคใหม่:  	"แง ๆ  ใคร ๆ  ก็ไม่รัก?!?"
คนโบราณ: 	"โตพอแล้วนิ  ถ้าอยากตาย...ก็เชิญ"
วัยรุ่นยุคใหม่: 	"แง ๆ  ไม่ยอม"

คนโบราณ:  	"ใครรั้งไว้ล่ะ  โตตายล่ะ!?!"
วัยรุ่นยุคใหม่:  	"แง ๆ  คนแก่มีแต่ซ้ำเติม"
คนโบราณ: 	"ห้ามไม่ฟังเองนิ  เก่งนักนิ  ใครก่อก็แก้เองสิ  จะก่อให้ดี ๆ  ทำเป็นอวดดี" 
วัยรุ่นยุคใหม่: 	"?!?...วัยรุ่นเซ็งว่ะ... ?!?"

--------------------
บ้านวรรณกรรมคนตัวเล็ก
๑๗  กรกฎาคม  ๒๕๔๙				
27 พฤษภาคม 2549 11:09 น.

ไฟฝัน

บ้านวรรณกรรมคนตัวเล็ก

แม้ว่าจะนำพาชีวิตน้อย ๆ  ล่องลอยเหนือม่านฟ้ามาอีกซีกโลกหนึ่งจากประเทศไทย  แต่ใจก็ยังคงถวิลหาแผ่นดินมาตุภูมิเสมอ

เกือบครบ  ๑  ปีแล้ว  ที่ต้องแจวจรจำจากพรากบ้านเกิดเมืองนอนมาอาศัยบนผืนแผ่นดินสหรัฐอเมริกา  ดินแดนที่คนนับแสนนับล้าน  คืบคลาน  ไขว่คว้า  และดิ้นรนเพื่อให้มาอาศัยหายใจสักครั้งในหนึ่งชีวิต  แม้เพียงช่วงเวลาน้อยนิดก็ตามที

"คนตัวเล็ก"  อดีตเด็กน้อยบ้านนา  ผู้หอบความหวังมาตั้งหนึ่งกระเป๋าใหญ่  ได้มีโอกาสมาลืมตา  อ้าปาก  ขากเสลด  และเหน็ดเหนื่อยสุดจะพรรณนา  ทั้งกายาและดวงฤทัย

ตอนแรกคิดว่าโชคดีแล้วล่ะ  ที่จะได้ไปเห็นเมืองฟ้า  ที่ใครหลายคนปรารถนา  (ทั้งนี้  อาจปราถนาทั้งไปและกลับ)  แต่คิดไปคิดมา  จะอยู่ที่ไหน ๆ  เราก็ต้องรับผิดชอบกายและใจของเราอยู่ดี  ชีวิตนี้เลือกที่จะลิขิตได้นะ  ถ้ากำลังสติปัญญาและวาสนาเก่าที่เราสั่งสมผสมกลมกลืนกันได้อย่างสมดุลเป็นดุลยภาพ  ที่ฉาบทาด้วย  "ไฟฟัน"  ในปัจจุบันที่เราเห็นและเป็นอยู่

ถามว่า  เหนื่อยไหมในสิ่งที่ทำอยู่  งานครูอาสาเป็นสิ่งที่ต้องรับอาสาอยู่ร่ำไป  ยิ่งเมื่อจากผืนแผ่นดินไทย  ใครจะวาน  ก็ต้องขานรับ  ขับสู้  และอยู่ให้ทน  ทนได้ก็ทน  ทนไม่ได้ก็ต้องทน  เพราะดิ้นรนมาแล้ว  ไม่ต้องห่วงเรื่องจะกลับ  เพราะเมื่อครบวาระ  ถึงเวลาวันนั้น  ก็มีอันต้องจากลาสู่แดนดินถิ่นมาตุภูมิ

แต่ก็อดมิได้ที่จะส่งใจ  ส่งสายตา  ผ่านสื่อสารพัดชนิด  เพื่อรับรู้ทั้งวิกฤตและโอกาส  ของคนทั้งชาติ  และโอกาสน้อย ๆ  เพื่อชีวิตน้อย ๆ  ที่ยังล่องลอยไร้จุดหมายในวินาทีที่เงียบเหงา...เจ้าตัวเล็ก

เห็นภาพเพื่อนครูผู้อาสาพัฒนาปัญญาและวิชาการ สู่ม่านใจของเยาวชนไทยในแดนใต้  ผู้ฝันใฝ่ด้วย  "ไฟฝัน"  ว่าจะมีโอกาสเรียนรู้  ศึกษา  และพัฒนาตนเอง  ในครรลองสมควรจะเป็น

แต่ภาพหนึ่งซึ่งเพิ่งพบเห็น  คราบน้ำตากระซ่านเซ็นด้วยความเจ็บปวดร้าว  แต่ด่าวดิ้นสุดแรงเกิดของชีวิต ๆ  หนึ่ง  ซึ่งได้ชื่อว่าแม่พิมพ์ของชาติ  น้ำตาผสมน้ำเลือดไหลผ่านรอบขอบม่านตาที่บอบซ้ำ  ย้ำเตือนใจให้รำพึง  รำพัน  หวั่นไหว  ใจกำสรวลยิ่งนัก

วันนี้  "ไฟฝัน"  ที่ครูอาสาด้วยชีวิต  ได้เริ่มมืดมิดลงเรื่อย ๆ  แสงแห่งฝันที่เคยเจิดจรัสได้ถูกตัดแทบขาดสิ้น  ดั่งสายฟ้าฟาดลงตรงผืนธรนินทร์  สิ้นแล้วหรือคนดีที่ฉันเฝ้าฝันถึง  และคำนึงอยู่เสมอมา  แม้ว่าจะไม่ได้หายใจในผืนแผ่นดินนี้  ก็ยังหวังและตั้งฤดีว่า  จะได้ยินและรับรู้เรื่องราวที่เชิดชูใจ  ในทุกครั้งคราที่หันกลับมาสยามประเทศ

ผืนเขตที่มีองค์ภัทรราชาผู้ทรงทศพิธราชธรรมค้ำแผ่นดิน  แต่ครูผู้บริสุทธิ์กลับต้องมาแดดิ้นปานจะสิ้นใจ  ใต้ร่มพระบารมี  ความพอดีและความพอเพียง  หนึ่งเสียงสะท้อนจากพระโอษฐ์  พระผู้โปรดปรานความสุขสงบและสันติวิธี  บัดนี้  มีใครสนใจบ้าง

จะต้องเสียสละอีกกี่ร่างเพื่อสร้างชาติ  อีกกี่ภัยพิบัติจากการขัดแย้ง  แข่งขัน  ฟาดฟัน  และบีฑา  จากใจของผู้ไม่รู้คุณค่าของความพอดี  สยามประเทศแห่งนี้จึงจะสมดังพระปฐมบรมราชปณิธาน  ที่ว่า  

"เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม  เพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม"   

วันนี้  "ไฟฝัน"  ในการสร้างชาติให้รักสงบ  กลับกรีฑากันยกธงรบแทนธงชัยไตรรงค์  แล้วจะดำรงความเป็น  "ไทย"  ได้อย่างไร

วานผองเพื่อนผู้เยื่อมเยือนลานกวีแห่งนี้  ได้ช่วยกันสรรค์สร้างพลังแห่งสันติวิธี  ร่วมร้อยวจีเพื่อหลอมรวมใจ  คนไทยทั้งชาติ  ถวายเบื้องบาทพ่อหลวงแห่งปวงชนชาวไทย  ในมงคลวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ  ทรงครองสิริราชสมบัติครบ  ๖๐  ปี  

หวังใจว่า  ๖๐  ปี  ใต้ร่มพระบารมีที่ทรงเสียสละอย่างยิ่ง  จะเป็นมิ่งมงคลดลใจให้ไทยทั้งชาติ  หันมาสมัครสมานสามัคคี  เพื่อความอยู่ดีมีสุขของทุกคนในสังคม

ไฟฝัน
-----------------

ดวงไฟฝันวันนี้ริบหรี่แล้ว
แรงใจแผ่วเพื่อนครูอยู่หวาดหวั่น
อนาถจิตคิดหวนทบทวนกัน
ร่วมรังสรรค์สานถ้อยร้อยมาลี

เพื่อมอบแทนดวงใจให้พิมพ์ชาติ
ยังหวั่นหวาดระแวงไร้แสงสี
สละตนทนอยู่ทั้งรู้ดี
ว่าวันนี้มีภัยมาใกล้ตัว

ร้อยดวงใจไฟรักประจักษ์จิต
ร่วมลิขิตบทกลอนสะท้อนทั่ว
ให้กมลคนผิดคิดมัวเมา
เปลี่ยนจากชั่วเป็นดีธานีเย็น

--------------------
บ้านวรรณกรรมคนตัวเล็ก
๒๗  พฤษภาคม  ๒๕๔๙

หวังใจว่า วันหนึ่งข้างหน้า  กลับมาสู่มาตุภูมิ  จะได้พบเจอสิ่งที่น่าภาคภูมิใจบ้าง				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟบ้านวรรณกรรมคนตัวเล็ก
Lovings  บ้านวรรณกรรมคนตัวเล็ก เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟบ้านวรรณกรรมคนตัวเล็ก
Lovings  บ้านวรรณกรรมคนตัวเล็ก เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟบ้านวรรณกรรมคนตัวเล็ก
Lovings  บ้านวรรณกรรมคนตัวเล็ก เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงบ้านวรรณกรรมคนตัวเล็ก