28 กันยายน 2555 00:15 น.
บุหรง
อากาศร้อนแบบนี้โกโก้ปั่นสักแก้วก็ทำให้สดชื่นได้ไม่น้อยทีเดียว หญิงสาวผมยาวสลวยสูงราว 160 เซนติเมตร ผิวขาวผ่องในชุดเดรสกระโปรงบานสีน้ำทะเล
ดูแล้วลงตัวกับบุคลิกท่วงท่าของเธอและดูขลับผิวให้ผ่องเนียนผนวกกับแสงไฟสีเหลืองนวลยิ่งทำให้ยวนตาน่าพิศให้เพลินนัก อย่างนี้สินะ "ผู้หญิงคลาสสิค" ดูไม่หวือหวา ไม่หรูหราเกินงาม แต่พิศเพ่งแล้วสวยเรียบเก๋ งามอย่างน่าค้นหา แต่ใยไม่ลึกลับ กลับเย้ายวนชวนให้มองเพลินรื่นรมย์จรรโลงใจ พิศนานเท่าใดมิใคร่เร้าร้อนแต่กลับชื่นสดใสในดวงหน้าเรียบสงบแต่มีมนต์เสน่ห์ล้ำ
"ปาหนัน" หญิงสาววัย 32 ปี เธอผู้มีชีวิตที่เรียบง่าย แต่ให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตที่มีคุณค่า เธอมักถามตัวเองอยู่เสมอๆ ว่าทุกลมหายใจ ได้ทำความดี ได้ทำสิ่งที่ดีในชีวิตในช่วงเวลาที่เสียไปได้อย่างดีที่สุด สุดกำลังแล้วหรือยัง การดำเนินชีวิตตั้งแต่เดินออกจากรั้วมหาวิทยาลัย ด้วยเกียรตินิยมเธออุทิศให้กับงานในหน้าที่ และความเป็นอิสระแห่งสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัว คำตอบในโลกนี้มีมากมายเราไม่อาจยึดสิ่งใด สิ่งหนึ่งเป็นศูนย์กลางได้ ไม่มีคำตอบใดของคำถามใด ที่จะเป็นเพียงคำตอบเดียวในชีวิต การก้าวเดินบนทางเดินของชีวิตด้วยความระมัดระวัง ซึ่งเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและหวาดระแวงกับสิ่งที่แวดล้อม ทำให้เธอกลายเป็นคนใครก็เข้าถึงได้ยาก ไม่ได้มีโลกส่วนตัวสูงแต่มักอัธยาศัยดี แต่มีมนุษย์สัมพันธ์ดี แต่มีช่องว่างเว้นห่าง ไม่มีใครสามทำให้ช่องว่างสามช่องให้เหลือเพียงช่องเดียวได้ ไม่มีใครเติมพื้นที่ว่างนั้นได้และคงไม่มีตลอดไป
เธอก็เพียงหญิงสาวธรรมดาที่ล่วงเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ยิ่งทำให้ใครที่อยากปฏิพัทธิ์สัมพันธ์กับเธอยิ่งยาก ทุกคนต่างไม่กล้าเข้าใกล้ด้วยเข้าใจว่าเธอต้องมีเจ้าของ
ความเข้าใจผิดนี้กลายเป็นเกาะป้องกันหรือกำแพงกั้นไม่ให้ใครกล้าที่จะทำความรู้จัก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีซะทีเดียว กลับมีชายหนุ่มเจ้าชู้ที่หล่อเพี้ยวพ่วงไว้ด้วยคุณสมบัติที่ครบถ้วน สาวๆ ล้วนจับตาจดจ้องขย้ำดุจเสือจะขย้ำเยื่อแต่ไม่ใช่เธอ "ปาหนัน"
กวิน...ชายหนุ่มที่แอบมองเธออยู่ห่างๆ เป็นเวลานานหลายปี แต่ไม่เคยแสดงตัวว่าเขาจับตาดูเธออยู่ ทุกครั้งที่เขาอยู่ในร้านกาแฟจะเป็นเวลาที่เธอเปิดประตูเข้าภายในร้านและทุกครั้งต้องสบตากับเขาทุกครั้ง กวินแอบลอบมองโดยที่สาวเจ้าไม่เคยรู้ เขาแอบมองทุกท่วงท่ากริยาของเธอและเก็บมันไว้เป็นภาพในใจเรื่อยมา
การได้พบเห็นอยู่ห่างโดยที่ไม่ต้องรับรู้นั้นคือสิ่งที่เขาต้องการ เขาไม่ได้ต้องการให้หญิงสาวสวยเรียบคนนี้มาคบเป็นแฟน เพราะกวินเข้าใจว่าเธอคงแต่งงานและมีสามีแล้ว หลายปีที่ผ่านเขาไม่ติดตามไม่ค้นหาเพียงแต่ได้เห็นเธอและเขาจะไม่ทำให้ความสัมพันธ์หรือปลูกมันให้งอกงามขึ้น เขาเพียงอยากเห็นเธออย่างนี้
นานมากแล้ว ที่ปาหนันเขียนจดหมายติดแสตมป์แล้วหย่อนลงตู้ไปรษณีย์ เธอคิดเองเล่นๆ ว่าบุรุษไปรษณีย์เป็นผู้ส่งความรัก สักวันหนึ่งที่เขาจะส่งความรักที่มั่นคงมายังเธอ และเธอยังคงเขียนมันทุกครั้งที่จะเขียนได้ทุกครั้งที่ใจอยากจะเขียนเพื่อส่งถึงคนที่รัก
เธอมักใช้เวลาที่มีน้อยนิดไปกับการเขียนจดหมายและอ่านหนังสือ นั่นคือชีวิตที่มีความสุขที่สุดแล้วกับการได้ทำสิ่งที่รักเพื่อส่งถึงคนที่รัก คือความสุนทรีย์ของความรู้สึก อึ่มมม....ลุ่มลึก แผ่วเบา อ่อนโยน บางเบา หอมละมุน อบอุ่นในห้วงฝันลึกๆ ลายมือที่เขียนเป็นระเบียนหวัดเล็กน้อยแต่อ่านง่ายมองแล้วสวยงามสบายตา เธอบรรจงเขียนมันด้วยความรักที่จะส่งไปถึงคนรัก เธอใช้ลายเส้นของปากกาที่บรรจงเขียนนี้ไปใกล้ชิดคนรักแม้ว่าระยะทางจะห่างไกลแต่เธอมั่นใจว่าหัวใจชิดกัน
"แต่วันเวลาช่างเชื่องช้าเหลือเกิน ฉันไม่อยากรับรู้วันคืนใดเลย เพราะมันทำให้ฉันคิดถึงคุณ"
นี่เป็นเพียงบางส่วนของจดหมายและเธอมักลงท้ายว่า "ปล.คิดถึงนะ"
ยังมีตอนต่อไป...
9 กันยายน 2555 23:48 น.
บุหรง
คำว่า "ไม่สำคัญ" คือนานับเหตุผลที่จะรองรับสำหรับบางใจ
และไม่มี "เหตุ" ที่จะทำให้ "ผล" เหมือนกัน ความละเอียดทางด้านจิตใจนั้นวัดกันไม่ได้หรอก เรื่องเล็กสำหรับบางคนหรือบางใครอาจเป็นเรื่องใหญ่โตสำหรับบางใจ เรื่องไร้สาระสำหรับใครหนึ่ง อาจมากสาระซึ่งเป็นแก่นแท้ของความรู้สึกที่จริงจากใจ
ด้วยเพราะเรา...
ต่างจิต ต่างใจ ต่างความรู้สึกนึกคิด
จึงทำให้ความผูกพันที่เป็นเส้นใยแสนเปราะบางนั้นสะบั้นมิเหลือใย...
เมื่อต้นปีฉันเดินทางมาอาศัยอยู่ในเมืองนี้
ด้วยภาระหน้าที่ และความคาดหวังที่สูงสุดพร้อมด้วยการประมวลภาพระหว่างดำเนินชีวิตแล้วเขียนมันขึ้นใหม่ เพื่อเรียนรู้รูปแบบใหม่อย่างอีกหนึ่งมนุษย์ ซึ่งไม่เคยคิดว่าต้องพลัดพรากจากเมืองเกิดและบุคคลอันเป็นที่รักมาไกลเพียงนี้
ฉันมานึกย้อนก่อนที่จะมาอาศัยอยู่เมืองนี้ พร้อมๆ กับทำให้นึกไปถึงใครคนหนึ่ง ซึ่งมีผลกับการมาเยือนและอาศัยอยู่ในเมืองนี้ เขาคนนี้มีส่วนทำให้ฉันได้มีโอกาสมาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองนี้ ไม่หรอกฉันไม่ได้มาเพื่อตามหาเขา และไม่คิดว่าจะต้องพบเจอเขาฉันไม่ต้องการพบเขา เพราะอะไรหรือ? เพราะว่าหัวใจฉันอ่อนแอเกินไป รวมถึงจิตใจของฉันมันบอบซ้ำเกินกว่าจะเยียวยาให้เข้มแข็งมากพอที่จะฝืนยิ้มให้เขาได้ แต่ฉันก็สำนึกเสมอว่า...เขาเป็นผู้ที่มีส่วนทำให้ฉันได้เดินทางมาที่นี่ และทำให้ฉันหายจากความสับสนในชีวิต ที่คอยรุมเร้าทำร้ายฉันเสมอมา เขาทำให้ฉันเห็นสว่างของชีวิตพร้อมกับทำให้ชีวิตมีความหมายในการทำสิ่งดี และยืนได้อย่างมั่นคง เขาเองคงไม่รู้หรอกว่าทำไมเขาจึงมีส่วนช่วยฉัน และฉันคงไม่เล่าผ่านอักษร ณ ที่แห่งนี้
เพียงแต่อยากบอกเขารู้เพียงว่า"น้องขอบคุณ ขอบคุณมากๆ สิ่งดีดีที่น้องได้รับ." ^^
ทุกครั้งที่ฉันไปยืนบริเวณท่าเรือของเมืองนี้
มันทำให้ฉันคิดเล่นๆ ทุกครั้งว่า ฉันกับเขาอาจเดินสวนกันไป-มา ก็เพราะว่าเขาเป็นคนเมืองนี้ แต่ฉันพร่ำวอนขอพรฟ้าว่าอย่าทำให้เรารู้จักกัน เพราะอีกไม่นานฉันก็ต้องจากเมืองนี้ไป เมื่อใดที่ภาระกิจและหน้าที่นั้นสำเร็จลุล่วงแล้ว ฉันต้องกลับไปหาอ้อมกอดของครอบครัวของบุคคลอันเป็นที่รัก ยังเมืองเกิดที่ฉันจากมา ฉันปรารถนาให้เป็นเช่นนั้น ฉันคิดถึงผืนทุ่งที่กว้างไม่ใช่ตึกสูงลิ้วบดบังมองช่างอึดอัดยิ่ง
ฉันเชื่อบุพเพจะไม่เล่นตลกกับฉันอย่างแน่นอน
และฉันปรารถนาให้เป็นเช่นนั้น
26 สิงหาคม 2555 22:20 น.
บุหรง
"มึงไม่กลัวรึ" เสียงเพื่อนเอ่ยขึ้นเหมือนว่าทึ่งปนอึ้ง
กับสิ่งที่ผมคิดและกำลังทำมันอย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน โดยไม่ยี่หระกับใครอะไรทั้งนั้น ใครจะเจ็บ ใครจะอ่อนไหว หวั่นไหว ผมไม่เห็นต้องสน ยิ่งผมทำให้ผู้หญิงคนไหนหวั่นไหวไปกับข้อความ ที่ผมพิมพ์ผ่านแป้นพิมพ์ยิ่งทำให้ผมกระหยิ่มในใจ ทุกข้อความก่อนที่จะ Enter มันไปผมไม่ได้คิดใส่ใจ ว่ามันจะเป็นอย่างไร เป็นเพียงการบริหารเสน่ห์ในโลกออนไลน์เท่านั้นเอง จะเอาอะไรมากมายกับตัวหนังสือ มีก็แต่คนโง่ และคนเหงางี้เง่าเท่านั้นที่จะซาบซึ้งกับข้อความเหล่านี้ ใครหลงติดกับดักของผมนับว่าโชคร้ายเป็นของเธอแล้วกันที่จะหลงเพ้อฝันในโลกไร้สาระ
"ทำไม? ก็แค่โลกออนไลน์มึงอย่าซีเรียสหน่อยเลยหน่า" ผมตอบเพื่อนที่มาตั้งวงในห้องชุดของผม
"นี่มึงไม่สงสาร ผู้หญิงพวกนั้นหรือไง? " เพื่อนอีกคนท้วงขึ้น
"ทำไมกูต้องสงสาร อยากโง่เอง" ผมตอบไป ทำเอาพวกมันมองหาอย่างปลง
"มึงไม่คิดบ้างรึไง ว่าถ้ามึงโดนมั่งจะเป็นไง" เพื่อนคนเดิมยังพร่ำบอก
"กูไม่สนหรอก แค่สนุกไปวันวัน" ผมหัวเราะร่า
"เวลารักใครสักคนแล้วมึงจะรู้ กูท้าไว้เลย" เพื่อนอีกคนโพล่งขึ้นกลางวงเหล้า
"ใช่ แล้วมันจะรู้ว่าการถูกหลอกลวง ยอกย้อน มันเจ็บแสบแค่ไหน?" เพื่อนอีกคนเสริมมา
"กรรมติดจรวดนะเว้ย ยิ่งยุคดิจิตอลแบบนี้มึงระวังให้ดี" เพื่อนในวงพากันรุมเมื่อได้ที
"ช่างมันเถอะว่ะ เดี๋ยวมันได้รู้แน่ว่าการไม่ได้รับความซื่อตรง ไม่มีสัจจะเป็นยังไงให้มันรู้เองเถอะว่ะ" เพื่อนอีกคนเสริม
ผลจากการกระทำของชายหนุ่มข้างต้น
ทำให้เขาขาดความเชื่อถือในทุกเรื่อง ไม่ว่าจะพูดจากับใคร ติดต่องานใดไม่บรรลุผลสำเร็จ ไม่ว่าจะพูดอะไรกับใครขาดความน่าเชื่อ ไม่มีใครให้ความไว้วางใจ แก่เขาเลย กรรม มาจากการกระทำ
"มโนภาพ" หมายถึง ความคิดเห็นเป็นภาพขึ้นในใจ
มโน หมายถึง ใจ, จิตใจ
ภาพ หมายถึง รูป, ความ ความเป็น ความมี
มโนภาพ กับ จินตนาการ ความหมายอย่างเดียวกัน เป็นการสร้างขึ้นจากสิ่งเร้า หรือกระตุ้นให้คิด ให้จับจดอยู่กับภาพที่สร้างขึ้น โลกในยุคโลกาภิวัฒน์เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในสังคม และแทบจะเกี่ยวข้องกับทุกคนในชีวิตประจำวัน ทุกอย่างในโลกใบบูดเบี้ยวนี้ มีด้านดี ก็ต้องมีด้านเลว เป็นของคู่กัน ทุกสิ่งล้วนต้องถูกควบคุมไว้ด้วย คุณธรรม ศีลธรรม ประจำใจของบุคคล ทำจะข่มและแยกได้ออกว่าสิ่งใดควร ไม่ควร สิ่งใดดี สิ่งใดเลว
แต่ยุคปัจจุบัน...
จิตใจของคนเปลี่ยนไป มีความอดทนน้อย มีคุณธรรมประจำใจน้อยเต็มที แต่มีความเอาเข้าตัวมาก โดยไม่นึกถึงผู้อื่นขอเพียงตัวเองมีความสุขและได้ทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการเป็นพอ ไม่คำนึงว่าสิ่งที่ตน ทำไปมันเบียดเบียนเพื่อนร่วมโลกหรือไม่ การเอาเข้าตัวในปัจจุบันยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ โดยมองเห็นได้อย่างชัดเจนจากวิถีของสังคม สถาบันครอบครัวเป็นสถาบันที่น่าเป็นห่วงที่สุด ไม่ว่าจะเดินไปมุ่งใด สถานที่แห่งใดของเมืองใหญ่ในทศวรรษนี้ ภาพที่เห็นคือคนจะจดจ้องอยู่กับจอขนาดเล็ก โดยไม่มองไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ไม่เห็นหรอกว่าสิ่งแวดล้อมตนนั้น มีหลายสิ่งที่ต้องทำต้องปฏิบัติที่เราเรียกว่า "ความดี" ไม่เคยได้เห็นแล้วภาพจูงคนแก่ข้ามถนน ไม่ได้เห็นแล้วภาพบนรถเมล์ที่ลุกให้คนชรานั่ง ไม่เห็นแล้วภาพที่พลโลกช่วยเหลือ เกื้อกูลกัน ต่อไปสิ่งเหล่านี้คงเลือนหายไปเหมือนไม่เคยมี ไม่เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ทุกคนเหมือนลืมหน้าที่ของตัวเองต่อสังคมแล้ว
เมื่อไม่นานมานี้
มีน้องคนหนึ่งถามว่าทำไมเขาไม่ได้รับความจริงใจจากใครเลย อยากจะบอกเขาไปเหลือเกินว่าเคยได้ให้ใครไปอย่างจริงใจบ้างล่ะ แต่ถ้าหากให้ไปแล้ว ไม่ได้รับกลับคืนถือว่าเรายังให้เขาไม่จริงแท้ เขาถามต่อว่าเวลารับฟังเรื่องราวที่ไม่ดีของเขาทำไมไม่เล่าให้เขาฟังคนอื่นมาเล่าหมด ยิ่งฟังคำถามยิ่งทำให้รู้สึกเหนื่อยกับโลกใบนี้เหลือเกิน การที่จะเล่าเรื่องที่คนอื่นพูดหรือนินทา ให้เจ้าตัวฟังนั้นมันไม่ได้ประโยชน์ใดเลย การ "คิดดี พูดดี ทำดี เป็นศรี เป็นพรสูงสุด" นั้นเป็นของแท้และจริง
19 สิงหาคม 2555 19:38 น.
บุหรง
ลมหนาวพลิ้วปะทะใบหน้าทำให้รู้สึกเย็นเยียบแต่แห้งเหือด
อากาศหนาวเย็นทางตะวันเฉียงเหนือของประเทศไทยเป็นอย่างนี้เอง
ผมเดินทางมาถึง ariport ของเมืองนี้ เวลาสายๆ ก่อนเครื่องลงจอดมองผ่านหน้าต่างเครื่องบิน ยังเห็นไอหมอกลอยฟุ้งเป็นกลุ่มควันสีขาวรานตา...
ผมเลื่อนนัดทุกอย่างในวันนี้ออกไป เพราะผมมีเรื่องที่สำคัญกว่าทุกสิ่งต้องทำ
จริงๆ ผมไม่ต้องให้ความสำคัญก็ไม่เป็นไร แต่เหมือนมีสิ่งดลใจบอกว่าผมต้องเดินทางมาที่นี่ ในวันนี้ หลังจากที่ได้รับโทรศัพท์จากเบอร์ที่ผมพยายามติดหลายต่อหลายครั้ง แต่ไม่สามารถติดต่อได้ กระทั่งเวลาผ่านมาหลายเดือนจนผมเองก็ลืมแล้วว่าเคยโทร.ไปเบอร์ที่ผมเคยพยายามติดต่อนั้นปลายทางโทร.กลับมาแต่ไม่ใช่คนที่ผมต้องการจะสนทนาด้วย เธอคนปลายสายบอกเพียงว่าถ้าอยากรู้รายละเอียดให้ผมเดินทางมาที่นี่
ผู้หญิงผิวสีแทนนัยตาสวย
ผมยาวสลวยกำลังเดินตรงมา
คิดว่าน่าจะเป็นเธอคนนี้ที่โทร.กลับไปหาผม
และมันก็เป็นเช่นนั้น
"สวัสดีค่ะ "
"สวัสดีครับ ผมณธร"
"อือ...ค่ะ ฉันเอื้องเพื่อนสนิทศิริน" เธอเอ่ยต่อ
"และนั่นคุณวศิน พี่ชายศิริน" ผู้ถูกแนะนำยิ้มรับอย่างเป็นมิตร
"คุณต้องการให้หาที่พักให้หรือไม่ค่ะ"
"ไม่ครับ ผมจองตั๋วไปกลับวันนี้ ขอบคุณมาก"
ขณะนั่งรถออกจากสนามบินไม่มีใครพูดหรือเอ่ยออกมาสักคำ
ผมเองก็ไม่รู้ว่าเขาสองคนจะพาไปที่ไหน แปลกที่ไม่คิดกังวลเลยสักนิด
ใช้เวลาประมาณ ๑ ชั่วโมง รถที่นั่งมาจอดนิ่งบริเวณหน้าวัด คนทั้งสองเปิดประตูลงไป ผมเปิดประตูรถลงเดินตามคนทั้งคู่ไป แล้วก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าที่เก็บอัฐิ ภาพที่เห็นเป็นหญิงสาวผมจำเธอได้ เธอเป็นคนที่ผมฝันถึง คิดถึง แม้ผมไม่พบหน้าเธอแต่ผมจำเธอได้ ผมเห็นภาพถ่ายของเธอบ่อยๆ ด้านล่างของภาพเขียนบอกไว้ว่า ชาตะ : ๘ ตุลาคม ๒๕๒๑ มรณะ : ๘ สิงหาคม ๒๕๕๕ ทันทีที่เห็นผู้หญิงในรูปผมชาไปทั้งตัว นี่เธอเสียชีวิตแล้วหรือ เธอไม่รอผม...
ผมมองสมุดบันทึกเล่มสีฟ้าที่ถืออยู่ในมือ
ก่อนขึ้นเครื่องเดินทางกลับเพื่อนของเธอยื่นส่งมาให้ผมพร้อมกับบอกผมว่า
"ขอคุณอ่านมันให้จบ เพราะเธอใช้เวลาทั้งชีวิตเขียนมัน"
เมื่อพูดจบเธอเดินหันหลังจากไป ผมมองตามเธอเนิ่นนิ่งจนถูกกลุ่มคนกลืนหายไป
ระหว่างอยู่บนเครื่องผมคิดย้อนกลับไปเมื่อ 8 ปีที่แล้ว
ผมได้พบหญิงสาวใบหน้าสวยมน ที่โชคชะตาลิขิตให้พบกับเธอ เราได้พูดคุยกันและค่อยค่อยเพาะบ่มร่วมความผูกพันขึ้นอย่างเงียบจนผมเองแทบไม่รู้ตัวว่ารักเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ เวลาผ่านมาเมื่อไม่นานเธอเผยความรู้สึกให้ผมรู้ว่าเธอรู้สึกอย่างไรกับผม ใช่..."เธอบอกรัก" ผม แต่ ณ เวลานั้นผมรู้สึกอิ่มอยู่ในใจแต่ไม่ได้บอกอะไรเธอไป ไม่ได้ปฏิเสธ และไม่ได้ตอบรับ วันนั้นเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมได้คุยกับเธอจนถึงเดี๋ยวนี้และมันจะเป็นตลอดไป ผมเปิดสมุดบันทึกเล่มสีฟ้าหน้าที่เส้นไหมสีฟ้ากั้นไว้ แต่ไม่ใช่หน้าสุดท้ายที่เธอเขียน
๐๕.๐๕.๒๕๕๕ : ๒๓.๐๙
"การเดินทาง นับดาว รอคอย"
ดึกแล้ว...บรรยากาศเงียบ
แต่ในใจทำไม?ครึกโครมเช่นนี้นะ
วันหยุดพี่อรรจน์มารับแต่เช้าไปทำบุญ
แล้วพาไปเดินช๊อป...ไปกินข้าวกัน
"ขอบคุณ ขอบคุณจริงจริง" ที่ทำดีกับน้องตลอดมา
วันนี้คำถามของพี่อรรจน์ทำเอานิ่งอึ้งไปเลย
"พี่อ่านเราไม่ออก ดูไม่มีคนรักดูไม่มีใครแต่เหมือนใจกำลังคอยใครบางคน
บางคนที่พี่ก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่รู้ไม่ใช่พี่แน่นอน"
พี่อรรจน์น้องบอกไม่ได้แม้ว่าเรารู้จักกันมานานว่าใจของน้องได้มอบให้เขาคนนั้นไปแล้ว นี่ก็เข้าปีที่ 8 แล้ว สำหรับการรอคอยให้บุพเพนำพาเชื่อมโยงสองใจให้มาใกล้กัน แต่น้องก็รู้ดีว่าน้องไม่มีวันสมหวังกับความรักครั้งนี้ เหมือนความรักครั้งแรก ความรักเกิดขึ้นสองครั้งแล้ว แต่ไม่สมหวังสักครั้งแต่น้องก็ยินดี....
หากเป็นเช่นนี้ตราบสิ้นลมหายใจ
แต่ขอให้ความรักของน้องเหมือนความรักของวาสิฏฐี
ขออธิษฐานคืนนี้ "ขอคุณนั้นหลับฝันดี"
ผมปิดสมุดบันทึกเล่มสีฟ้าลงแล้วนึกย้อนกลับไปเมื่อวันที่ผมได้คุยกับเธอเป็นครั้งสุดท้าย วันนั้น "เธอบอกรัก" นัยตาอันปวดร้าวนั้นยังตราตรึงอยู่ในหัวผม ดูเธอจะเจ็บแปลบและหวาดหวั่นวิตกอย่างมาก เพราะผมได้ไม่ตอบหรือให้คำมั่นใดเพียงแต่บอกเธอไปว่า "ไว้ค่อยคุยกัน แล้วจะติดต่อกลับไป" แล้วผมก็เงียบงันเป็นเวลายาวนาน ผมเองที่เป็นฝ่ายทิ้งระยะเวลาให้ห่าง จากวันนั้นจนถึงวันที่บันทึกไว้เกือบหนึ่งเดือน แม้ว่าถูกมองข้ามความรู้สึกแต่เธอยังมีความเชื่อมั่นในความรักของเธอ มันยิ่งทำให้ผมเจ็บปวดกับสิ่งที่พลั้งไป เพียงแต่เธอรอผมอีกสักนิด นิดเดียวเท่านั้นเอง
ผมก้มหน้ามองสมุดบันทึกในมือที่วางบนตักแล้วเปิดมันอีกครั้งเพื่อหาหน้าที่ "เธอบอกรัก"
๑๐.๐๔.๒๕๕๕ : ๐๒.๑๙
"บทสรุป"
น้องไม่มีบทสรุปให้ตัวเองหรอก
น้องมีเพียงคำถามว่า "น้องกำลังฝันไปใช่ไหม"
น้องทำอะไรลงไป "รักไม่ได้" รู้ดีไม่ใช่หรือ?
น้องรู้เพียงว่า "คุณเป็นคนที่น้องรอ และจะรอตลอดไป"
วันนี้น้องฟังเพลง "ดาว" ของคริสติน ร้อยรอบแล้ว
ความรู้สึกของน้องตอนนี้ก็คงไม่ต่างจากเพลงนี้เท่าใด
หากวันนี้จะหลับไปก็อิ่มใจที่ได้ "บอกรัก"
ผมปิดสมุดบันทึกลง
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ผมจะตรงไปตรงมาไม่ยอกย้อนซ่อนแง่
จะไม่ทำร้ายทำลายหัวใจผู้หญิงคนหนึ่งจนทำให้เธอเดินออกไปจากชีวิตผม
และจากไปตลอดกาล
PS. ช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตที่เราได้รู้จักกับใครสักคน บางครั้งเขาก็สามารถเป็นแรงบันดาลใจให้เราลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างได้ - -Cr.ดาริกามณี
4 สิงหาคม 2555 09:43 น.
บุหรง
"ใบพรู...ใบพรูรรรรรรรรรรรรร...."
เสียงเด็กหนุ่มทุ่มกร้าวตะโกนไล่หลังหญิงสาววัยดรุณซึ่งเป็นเจ้าของชื่อ
"ใบพรู" เหลียวซ้ายแลขวา เพื่อหาต้นเสียงว่าดังมาจากทิศทางใด
จังหวะเดียวกับที่เด็กหนุ่มผู้เป็นที่มาของเสียงวิ่งกระหือกระหอบมาหยุดอยู่ตรงหน้า
เขายืนหอบแห๊กๆ อยู่ตรงหน้าของเธอ...แล้วพูดรวนๆ ด้วยความเหนื่อย
"เราๆๆ เรียกนายหลายครั้ง ไม่ได้ยินหรอ?" เด็กหนุ่มเอ่ยทั้งที่หายใจไม่เต็มปอด
"ไม่นี่ เราไม่ได้ยินเสียงนายเรียกเลย" ใบพรูทำหน้า งง ๆ
"แล้วนี่ นายจะไปไหน? ใบพรู" เด็กหนุ่มจ้องเขม็งหมายเอาคำตอบ
"เราจะไปบ้านคุณยาย ไปด้วยกันไหม๊" ใบพรูเอ่ยชวน เด็กหนุ่มวัยไล่เลี่ยกัน
"ไปสิ ไปด้วยนะ" เด็กหนุ่มยิ้มแววตาเป็นประกาย
"ขวัญข้าว" เป็นเด็กที่เพิ่งย้ายมาอยู่ในหมู่บ้าน พ่อของขวัญข้าวเป็นนายอำเภอที่เพิ่งย้ายมาได้ไม่นาน ใบพรูกับขวัญข้าวรู้จักกันที่โรงเรียนเรียนเพราะเป็นเพื่อนร่วมห้อง พ่อของขวัญข้าวเป็นเจ้าของสวนใกล้ๆ กับบ้านคุณยายละเอียด ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านใบพรูนัก ทำให้เด็กทั้งสองคุ้นเคยกันด้วยวัยที่ไล่เลี่ยกันทำให้คุ้นเคยกันได้ง่าย อีกทั้งพ่อ-แม่ ก็รู้จักกันเป็นอย่างดี
เด็กทั้งสองเดินลัดเลาะสวนข้างบ้านมาเรื่อยๆ ไม่ไกลมานักก็ถึงบ้านเรือนไทยที่ปลูกอยู่กลางทิวไม้ร่มรื่น ในบริเวณรอบๆ บ้านเต็มไปด้วยพันธุ์ไม้ดอก ไม้ประดับที่อุดมสมบูรณ์ บอกได้ว่าเจ้าของบ้านคอยดูแลเป็นอย่างดี เพราะมองไปทางไหนก็เห็นออกดอกงามน่าจะออกดอกตลอดทั้งปี และยังดูร่มรื่น ฉอุ่มเขียวระรานตา บ้านของคุณยายละเอียดเป็นบ้านเรือนไทยทรงสูง ที่ปัจจุบันหาดูได้ยากนักคุณยายละเอียดยังคงอนุรักษ์ไว้
คุณยายละเอียดอยู่กับน้าจำรูญ น้าจำรูญเป็นญาติห่างๆ แต่รักและคอยดูแลคุณยายละเอียดตั้งแต่คุณยายละเอียดเกษียณมา แม่ของใบพรูก็เป็นหลานห่างๆ เช่นกัน เพราะคุณยายละเอียดไม่ได้แต่งงานไม่มีลูกหลาน และน้าจรูญก็ไม่ได้แต่งงานจึงมาคอยอยู่ดูแลคุณยายละเอียด
ใบพรู ชอบที่จะมาคลุกอยู่กับคุณยายละเอียดในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ แม่ของใบพรูก็ไม่ว่ากะไร กลับเห็นดีซะอีก เพราะคุณยายละเอียดเป็นคนแก่ใจดี ทั้งเป็นคนเจ้าระเบียบอีกด้วย คุณยายละเอียดจะอบรมใบพรูเสมอๆ ใบพรูเองก็เป็นเด็กว่านอนสอนง่าย ไม่ดื้อรั้น อ่อนน้อม น่ารัก น่าเอ็นดู และช่างประจบคุณยายละเอียดตามประสา
ใบพรูและขวัญข้าว...
ทั้งสองเดินมาถึงบันไดหน้าบ้านเรือนไทยทรงงามแล้วพากันล้างเท้าก่อนเดินขึ้นบันไดบ้าน เสียงน้ำทำให้คุณยายละเอียดรู้ว่ามีคนมาและเดาได้ว่าไม่ใช่ใคร น่าจะเป็นแม่ใบพรูจะเป็นใครไม่ได้
"แม่จำรูญ แม่จำรูญ...แม่ใบพรูมาแล้ว เตรียมขนมไว้หรือยัง?" เสียงคุณยายละเอียดถามน้าจำรูญด้วยความดีใจ
"เตรียมแล้วจ๊ะ " น้าจำรูญยิ้มแต้ เพราะดีใจไม่แพ้กัน
"โน่นๆ กระโดกกระเดกมาเชียวคนดีของแม่จำรูญ" คุณยายละเอียดเอ็ดแกมเอ็นดูให้น้าจำรูญฟัง
น้าจำรูญได้แต่ยิ้มแกมขำในวัยใสของหลานสาว
"แล้วนั่น มาพร้อมใครล่ะน่ะ" น้าจำรูญเอ่ยพร้อมกับมองหน้าคุณยายละเอียด
"ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนนะคะคุณยาย" น้าจำรูญแจง คุณยายได้แต่เพ่งมองหน้าเด็กหนุ่มที่เดินตามหลังใบพรูมาต้อยๆ
ใบพรูมาถึงนั่งพับเพียบลงแล้วกราบคุณยายที่ตักงดงาม แล้วหันมาไหว้น้าจำรูญที่นั่งอยู่อีกทาง
"ว่าอย่างไร? แม่ พาใครมาด้วยละนั่น" คุณยายเอ่ยขอคำตอบ
"ขวัญข้าวค่ะ คุณยาย" ใบพรูยิ้มแล้วผายมือไปที่ขวัญข้าว ขวัญข้าวไหว้คุณยายและน้าจำรูญ
"ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนนี่พ่อ ลูกเต้าใครรึ" คุณยายเอ่ยถามพร้อมมองหน้าผู้ถูกแนะนำ
"บ้านผมอยู่สวนถัดไปครับ" เด็กหนุ่มตอบด้วยเสียงนุ่มสุภาพ
"อือ...ลูกของนายอำเภอที่เพิ่งย้ายมาดอกรึ" คุณยายละเอียดเอ่ย
"ครับ" เสียงเด็กหนุ่มตอบนุ่มนวล
"แล้วไปรู้จักมักจี่กันได้อย่างไรเล่าแม่ "คุณยายหันมาถามใบพรู
"ใบพรูกับขวัญข้าวเรียนห้องเดียวกันค่ะ คุณยาย" หญิงสาววัยดรุณตอบ
"อือ....ดีจะได้มีเพื่อนเทียวเรียน" คุณยายมองหน้าทั้งสองแล้วนิ่ง
"พรุ่งนี้วันเข้าพรรษาแล้วรึแม่จำรูญ" คุณยายเอ่ยลอยๆ
"ค่ะคุณยาย "น้าจำรูญรับคำ
"พาเด็กๆ ไปนั่งเล่นริมน้ำใต้ต้นพิกุลโน้นนะ"คุณยายสำทับน้าจำรูญ
"คุณยายเหนื่อยหรือค่ะวันนี้" ใบพรูมองอย่างอ้อนๆ
"ยายขอเอนหลังแล้ว แม่ใบพรูพาขวัญขว้าอยู่คุยกับแม่จำรูญไปนะ" คุณยายบอกกับใบพรู
"คุณยายพักผ่อนก็ดีค่ะ จะได้สดชื่น" ใบพรูยิ้มอ้อนแล้วกราบคุณยายละเอียดพร้อมส่งสัญญาณให้ผู้ติดตามทำเหมือนตน
น้าจำรูญเตรียมขนมและผลไม้ พร้อมน้ำเสาวรสที่เป็นฝีมือคุณยายละเอียดแล้วบอกเด็กๆ ไปนั่งเล่นศาลาริมน้ำ
ใต้ต้นพิกุลรอเดี๋ยวน้าจำรูญต้องพาคุณยายละเอียดไปพักในห้อง เด็กทั้งสองพากันถือถาดขนมผลไม้เดินไปตามคำสั่ง
คุณยายละเอียดวัย ๗๗ นอนผ่อนลมหายใจเบาเบาๆ แล้วค่อยๆ ปิดเปลือกตาด้วยใบหน้าที่อิ่มเอิบ
"แม่จำรูญ ผ่านเจ็ดวันเจ็ดคืนค่อยจุดกำยานนะ" คุณยายละเอียดบอกน้าจำรูญด้วยเสียงเรียบๆ เบานุ่ม
"ค่ะคุณยาย" น้าจำรูญรับคำแล้วเดินออกจากห้องไป
เด็กทั้งสองกำลังนั่งเล่นกันตามประสา...
ศาลาริมน้ำที่ลมเย็น ร่มรื่นด้วยร่มจากต้นพิกุลลมพัดเย็นหอมโชยกลิ่นจำปีอ่อนๆ
บ้านคุณยายละเอียดมีแต่พรรณไม้สีขาวและมีกลิ่นหอม และเป็นไม้มงคลที่หายากเพราะพรรณไม้ต่างๆ นี่เองที่ทำให้ร่มรื่นและต้นไม้ในบริเวณก็ดูอุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก
"คุยกันถึงไหน? แล้วจ๊ะเด็กๆ" น้าจำรูญเอ่ยท้วงเด็กๆ
"คุณยายหลับแล้วหรือค่ะ คุณน้า" ใบพรูถามด้วยเป็นห่วงคุณยาย
"จ๊ะ ให้คุณยายท่านพักผ่อนเถอะเดี๋ยวน้าจะพาทำขนมไว้ใส่บาตรพรุ่งนี้" น้าจำรูญยิ้มสวย
"ดีเลยค่ะ ใบพรูจะได้เรียนทำขนมไทยกับน้าด้วย" ใบพรูพูดจบหันไปยิ้มให้ขวัญข้าว
น้าจำรูญเป็นหญิงสาววัย 38 ที่คุณยายเอ็นดูเลี้ยงมาและให้เรียนการเรือนอย่างหญิงไทย เมื่อเรียนสำเร็จก็มาอยู่กับคุณยายเสมอมา คุณน้าเป็นคนสวย สวยทั้งรูปลักษณ์ภายนอกและจิตใจงามอีกด้วย คุณน้าคอยดูแลคุณยายละเอียดและจัดการทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินหรือทุกอย่างเกี่ยวกับคุณยาย น้าจำรูญมักพาคุณยายไปทำบุญอยู่เสมอๆ นั่นเป็นกิจวัตร และคุณยายละเอียดเป็นคนชอบทำบุญสุนทาน
"คุณน้าค่ะ ใบพรูอยากรู้เรื่องคุณยายตอนสาวๆ คุณน้าเล่าให้ฟังได้ไหมค่ะ" ใบพรูยิ้มอ้อนๆ
"ทำไม? จ๊ะ "น้าจำรูญมองหน้าเด็กสาววัยดรุณ มือก็จีบใบตองห่อขนมไปด้วย
"คุณยายเป็นคนสวยแต่ทำไมไม่แต่งงานมีลูกหลานเหมือนคุณย่าและคุณยายของใบพรูละค่ะ" เด็กสาวทำหน้างงๆ
"อยากรู้จริงรึ น้าก็ฟังท่านเล่ามาบ้าง" น้าจำรูญยิ้มๆ
"คุณน้าเล่านะคะ" ใบพรูออดอ้อน
"น้าก็สงสัยอย่างใบพรูนี่แหละ คุณยายท่านก็ยอมเล่าให้ฟัง" น้าจำรูญยิ้ม
คุณยายเล่าครั้งยังสาวว่า...
"คราเมื่ออายุ ๑๖ ย่าง ๑๗ คุณยายก็มีรักครั้งแรกแล้ว เป็นรักที่งดงามแต่ไม่อาจเคียงได้เพราะคุณยายยังเด็กนัก นั่นเป็นรักแรก ที่คุณยายมีและมีครั้งเดียวไม่เคยรักใครอีกเลย มีคนมาเกี้ยวคุณยายก็เยอะ ทุกคนล้วนเป็นคนดีมีฐานะ เพียบพร้อมด้วยรูปสมบัติ คุณสมบัติแต่คุณยายก็ไม่เคยรักใคร จนล่วงเลยมาถึงอายุ ๓๕ ย่าง ๓๖ คุณยายจึงได้ตั้งจิตอธิฐานเอานิพพานเป็นที่ตั้ง จวบจนถึงปัจจุบันนี้"
ปรากฏร่างหญิงสาวใบหน้างดงาม ผิวพรรณผ่องดุจจันทร์เพ็ญ รูปร่างอรชร
แต่งอาภรณ์ประดับจินดานั่งพับเพียบนบน้อมอยู่เบื้องล่าง
"เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?" บุรุษหนุ่มรูปงามผู้นั่งอยู่เบื้องบนเอ่ยถาม
"มีความสุขดีพระองค์" พร้อมกับเงยใบหน้างดงามสบตา
"อีกไม่นานเจ้าก็จะกลับมาหาเรา" บุรุษหนุ่มสบตาแน่นิ่ง
"เหตุใดพระองค์ ไม่ปล่อยให้น้องบวชเสีย" หญิงสาวจ้องมองเมินเฉย
"เจ้ายังบวชไม่ได้ หากเราไม่อนุโมทนา" ผู้เหนือกว่าเอย
"พระองค์จะทรงเหนี่ยวรั้งน้องไว้ทำไม? " เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ตัดพ้อ
"เจ้ายังบวชไม่ได้ เมื่อใดเด็กใบพรูอายุครบ ๒๐ ปี
กายหยาบเจ้าก็จักสิ้นอายุไขย และเมื่อนั้นเจ้าจักกลับมาจุติเป็นนาคอีก ๑๐๐ กัปล์" บุรุษหนุ่มหยุดแล้วเอ่ย
"แม้ว่าเจ้าจะหนีเราไป อย่างไรเสียเจ้าก็ต้องกลับมายังวรรณะเดิมของเจ้าเรารอคอยวันนั้นนานนัก"
"ด้วยเหตุนี้ น้องจึงมิได้ครองคู่เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ใช่หรือไม่" หญิงสาวเอ่ยพ้อ
"ใช่...แม้เจ้ามีใจอ่อนไหวยามใดจะมีแรงผลักออกไป เจ้าจะรักใครมิได้เพราะวิญญาเจ้าปฏิพัทธิ์เรา" บุรุษหนุ่มเอ่ยเน้นต่อไปว่า
"ไม่ว่าอย่างไร เจ้าต้องกลับมาหาเรา เมื่อใดเด็กใบพรูอายุครบเบญจเพศ บริวารของเจ้าจะตามกลับมารับใช้เจ้าดังเดิม
และเมื่อครบ ๑๐๐ กัปล์เจ้าจักไปเกิดเป็นมนุษย์เพศบุรุษและได้บวชในพุทธศาสนาจวบเข้าสู่นิพพาน"บุรุษหนุ่มเล่าเรียบเฉย
"แล้วเหตุใดพระองค์ ไม่ให้น้องบวชเมื่อครั้งน้องอายุครบ ๓๕ " หญิงสาวมองสบตาแน่นิ่ง
"ยังไม่ถึงวาระของเจ้า เราจำเป็นต้องขัดขวางในครั้งนั้น" บุรุษหนุ่มเอ่ยน้ำเสียงเรียบ
"น้องจำยอมรับและรอคอยต่อไป อีก ๑๐๐ กัปล์ หรือ?" เสียงตัดพ้อเหนื่อยอ่อน
กลิ่นกำยานฟุ้ง โชยมาอ่อนๆ
"เจ้าต้องกลับไปแล้ว 'อินทิรานาคา' อีกไม่นานเจ้าจะกลับมาหาเรา" บุรุษหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบ
"น้องทูลลา" หญิงสาวกราบบาทนบน้อม แล้วเลือนหายพร้อมควันของกำยานที่คุ้งกำจร
ห่างจากพื้นน้ำลงไป ๑๖ โยชน์ เป็นเมืองบาดาลมีนาคราชหนุ่มผู้ครองอาณาเขตทิศบูรพาสุดเขตยังทิศปัจฉิม นามว่า อิศเรนทร์นาคินทร์ ครองนาครมาเนิ่นนานชั่วกัปล์ มีมเหสีชื่อ "อินทิรานาคา" เคียงคู่บารมีมาหลายชั่วกัปล์ แต่นางกลับมีใจใฝ่ธรรมจึงหนีองค์อิศเรนทร์นาคินทร์ไปกำเหนิดยังแดนมนุษย์หวังเจริญภาวนาศึกษาธรรมเป็นที่ตั้ง องค์อิศเรนทร์ยังคงติดตามคอยดูแลด้วยยังรักมั่นในองค์นิ่มน้องอินทิรา จึงให้บริวารไปจุติคอยรับใช้ ที่ใดมี 'อินทิรานาคา' ที่แห่งนั้นจะต้องอยู่ใกล้สายน้ำและอุดมสมบูรณ์
"แม่จำรูญ แม่จำรูญ" เสียงคุณยายละเอียดเบาแต่ชัด
"อยู่นี่ค่ะ คุณยาย" น้าจำรูญเอียงเข้าไปใกล้แล้วประคองให้คุณยายละเอียดลุกขึ้น
"แม่จำรูญ ใบพรูอายุเท่าใดแล้ว" คุณยายถามชัดแล้วเดินไปหยุดยืนอยู่ริมหน้าต่าง
"๑๖ ย่าง ๑๗ ได้ค่ะคุณยาย" น้าจำรูญตอบเน้น
"จำรูญจัดการเรื่องทุกอย่างเรียบร้อยหรือยัง?" คุณยายละเอียดเอ่ยถามพร้อมมองใบหน้างาม
"เรียบร้อยดีแล้วค่ะคุณยาย" น้าจำรูญรายงาน
คุณยายละเอียดวัย ๗๗ ยืนนิ่งเงียบ ใบหน้าหม่นเห็นได้ชัด
ใบหน้าที่มีริ้วรอยเหี่ยวย่นตามสังขารของวัยที่ล่วงมาแล้วแม้ยังดูแข็งแรงดี แต่สภาพของธาตุ ไม่อาจคงอยู่ได้ย่อมสลายไปตามกาล
"อีกไม่นาน เราต้องกลับไปแล้วสินะ" หญิงชรามองออกไปยังพื้นน้ำกว้างที่ต้องแสงแดดระยิบระยับ