29 กันยายน 2553 13:24 น.
บินเดี่ยวหมื่นลี้
๏ สารพัดเรื่องราวหลากข่าวสาร
สารพันเหตุการณ์คนขานไข
ร้อยความยกพันข้อแย้งแถลงไป
เพื่อความนัยกระจ่างร้างมลทิน
ความสองด้านสืบค้นดั้นด้นสาว
คนเสพข่าวจงตรองอย่ามองหมิ่น
จักเผชิญรอยด่างกลางดวงจินต์
อย่าตัดสินเร็วไปควรไตร่ตรอง
พุทธพจน์ศาสดาครากาลก่อน
เพียรมุ่งสอนสัตว์คนชนทั้งผอง
ใช้ปัญญากรองกลั่นตามครรลอง
แล้วจักมองเห็นแจ้งด้วยแรงธรรม
" อย่าเพิ่งเชื่อ " เพราะข่าวถูกเล่าต่อ
จากต้นตอลุกลามหลากความร่ำ
" อย่าเพิ่งเชื่อ " ด้วยฐานการกระทำ
ที่คนนำสืบสานตามกาลมา
" อย่าเพิ่งเชื่อ " คำเล่าและข่าวลือ
เขากระพือมากล้นยากค้นหา
" อย่าเพิ่งเชื่อ " ความคำอ้างตำรา
หลากมาตราถูกผิดอาจบิดเบือน
" อย่าเพิ่งเชื่อ " ความเขาโดยเดาสุ่ม
เพราะอาจลุ่มหลงจริตคิดเชือดเชือน
" อย่าเพิ่งเชื่อ " อนุมานคาดการณ์เลือน
จงหมั่นเตือนตนตัวอย่ามัวเมา
" อย่าเพิ่งเชื่อ " กริยาที่ปรากฎ
เท็จ , จริงหมดอย่างไรในใจเขา
" อย่าเพิ่งเชื่อ " เพราะเห็นตรงเช่นเรา
ความขลาดเขลาอาจเร้นมิเห็นมัน
" อย่าเพิ่งเชื่อ " ด้วยความน่านับถือ
เพราะอาจคือศิปล์ศาสตร์พลาดมหันต์
" อย่าเพิ่งเชื่อ " พจน์ถ้อยร้อยจำนรรจ์
ด้วยคนนั้นคือครูผู้ชำนาญ
ใช้ปัญญาตรองหนอให้พอเหมาะ
อย่าจำเพาะเรื่องราวดังกล่าวขาน
อันคำพูดของตนทุกบนการณ์
หากปล่อยผ่านจากปากยากเอาคืน๚ะ๛
25 กันยายน 2553 09:39 น.
บินเดี่ยวหมื่นลี้
๏ สายฝนยังชื้นชุกอยู่ทุกคาบ
โรยรินอาบแดนภพจบสวรรค์
ไร้แสงเรื่อเรืองรองของดวงจันทร์
ร้างแสงวันเคลื่อนขับเข้าจับจอง
ไผ่ยืนกอแกว่งไกวกลางสายฝน
ท่ามเมฆหม่นซึมเซาดูเศร้าหมอง
หว่างคืนวันอิ่งอ้อยให้คอยมอง
สูรย์,โสมส่องล่องฟ้า ณ คราใด
เหมือนห้วงจินต์ถวิลคอยหนึ่งรอยรัก
ซึ่งประจักษ์ค่ายิ่งกว่าสิ่งไหน
แววอาทรห่วงหาและอาลัย
ยังโชนไฟคุเชื้อทุกเมื่อกาล
หวังบางใครรับรู้แม้นครู่หนึ่ง
รักตราตรึงห้วงใจเกินไขขาน
จักฝากฟ้าส่งข่าวกลัวยาวนาน
ฝากลมผ่านหวั่นร้างบนทางจร
มาดแม้นสองห้องทรวงคล้องพ่วงจิต
นิรมิตแห่งฝันของวันก่อน
จงประกายข้ามขัณฑ์สีทันดร
ให้บังอรประจักษ์ความรักเรา
สายฝนยังชื้นชุกอยู่ทุกคาบ
โรยรินอาบภพภูดูเงียบเหงา
ไร้โสม,สูรย์เคลื่อนผ่านนับนานเนา
แต่รอยเงารักจรัสแจ่มชัดทรวง๚ะ๛
23 กันยายน 2553 13:34 น.
บินเดี่ยวหมื่นลี้
๏ ในสังคมสงครามการหยามเหยียด
ทุกกระเบียดของจิตริษยา
ย่อมหมกมุ่นศิลปะอวิชา
ที่หมายฆ่าเข่นกันให้บรรลัย
สารพันชั้นเชิงเข้าเริงรุก
กลซ่อนซุกเหลี่ยมเล่ห์สาดเทใส่
หวังอริพลาดล้มได้สมใจ
เพื่อยิ่งใหญ่ของตนบนเส้นทาง
สอพลอนายค่ำเช้าเขาถนัด
ชั้นเชิงจัดครบกระบวนถ้วนทุกอย่าง
ได้ครับพี่ดีครับท่านเพียรหมั่นวาง-
ถ้อยเสริมสร้างความชอบเข้าครอบเงา
คงมิคิดต่อกรหรือสอนสั่ง
มิอยากดังอยากเด่นเช่นใครเขา
ยังทะนงยึดถือเราคือเรา
ไม่ยื้อเอายึดติดจิตราคี
เป็นหัวหมาหากินมิสิ้นศักดิ์
ฤๅเป็นหางพยัคฆ์ไร้ศักดิ์ศรี
จงเลือกเถิดมวลชนหลากคนดี
เดินทางที่ถูกต้องครรลองธรรม
จึ่งใคร่ถามสหายที่รายล้อม
จักหัวค้อมทุกเวลาก้มหน้าต่ำ
ฤๅมองฟ้าเบื้องบนแม้นฝนพรำ
จงไขคำเผยความได้ตามใจ๚ะ๛
18 กันยายน 2553 20:15 น.
บินเดี่ยวหมื่นลี้
๏ อุษาสางเคลื่อนแสงเข้าแต่งคาบ
กวาดกลบภาพราตรีลับลี้หาย
ดวงจันทร์งามเลือนดับลับแสงกราย
ดารารายผันล่วงจากสรวงแดน
งามภาพงามแห่งฝันก็พลันจบ
ทิวาลบร่องรอยของร้อยแสน-
จินตภาพเลือนหมดถูกทดแทน
ด้วยเปลือกแก่นครรลองของโลกจริง
มิอยากพบความจริงทุกสิ่งสรรค์
ด้วยวารวันโหดร้ายทำลายสิ่ง-
ที่ถักทอก่อรักหวังพักพิง
กลับถูกทิ้งถูกขว้างเพราะวางใจ
ว่าดวงมานสองเราที่เฝ้าสร้าง
จักมิร้างลากันแม้นวันไหน
ตราบสูรย์สิ้นดินหายสลายไป
จักมั่นในวาจาสัญญารัก
มาดแม้นใครผิดคำจงช้ำชอก
ปฎักตอกทิ่มทรวงให้หน่วงหนัก
อยู่ท่ามความมืดมนร้างคนภักดิ์
จึ่งสลักคำมั่นหมายสัญญา
แต่ยามนี้ใครเล่าต้องเศร้าสร้อย
รักจางรอยเลือนไปเกินไขว่หา
ใครกันหนอผิดคำจำนรรจา
สัตย์สัญญาลอยหายกับสายลม
คนผิดคำมั่นหมายลับหายสิ้น
ผลักชีวินคนอยู่คู่ขื่นขม
ดวงฤทัยห้อมล้อมด้วยตรอมตรม
เกินจักข่มล่มเจ็บที่เหน็บทรวง
คงได้แต่รอคอยวันคล้อยแสง
ราตรีแปลงคาบจับประดับสรวง
คอยดาราพร่างพรายเรียงรายดวง
เพื่อผันช่วงวันโศกของโลกจริง
คงได้แต่รอคอยวันคล้อยแสง
เพื่อทอนแรงโศกเศร้าที่เข้าสิง
หวังดวงมานล้าหนักได้พักพิง
และหยุดนิ่งในฝันอนันต์กาล๚ะ๛
16 กันยายน 2553 14:30 น.
บินเดี่ยวหมื่นลี้
๏ พระลบร่ำทำนองตระกองฟ้า
สุริยาเคลื่อนดวงลับห้วงหาว
เพลงราตรีเจื้อยแจ้วแกมแววดาว
ร่ำเรื่องราวทำนองแห่งท้องไพร
ทิ้งสังคมอึกทึกแลครึกโครม
ที่คอยโหมโรมรันจนหวั่นไหว
ทั้งยื้อยุดฉุดลากกระชากใจ
ติดตรึงในเสน่หามายาคน
คืนกลับสู่เถื่อนถิ่นแผ่นดินเก่า
ยามวัยเยาว์เคล้าคลุกแทบทุกหน
ท่ามขุนเขาแมกไม้หลากสายชล
ย่างย่ำจนเติบใหญ่กลางไพรพง
อยู่ท่ามสังคมเมืองที่เรืองรุ่ง
ความเฟื่องฟุ้งปรุงใจจนไหลหลง
เลือนลืมถิ่นภูผาและป่าดง
ที่ยังคงสวยสดแสนงดงาม
เพลงราตรีขับขานท่ามลานป่า
กล่อมนิทราใครหนอ??ใคร่ขอถาม
กล่อมสายชล-พฤกษ์-ภูทุกผู้นาม
หรือกล่อมคนครั่นคร้ามสงครามกรุง
ขอหลับไหลท่ามดาวที่พราวแสง
เพื่อเก็บแรงคืนเมืองที่เรืองรุ่ง
ขอแนบกายซบดินกลิ่นจรุง
ก่อนสางรุ่งเยือนย่ำเอื้อนทำนอง๚ะ๛